ตอนที่ 3: การเผชิญหน้าครั้งแรก
เสียงลมหวีดหวิวดังลอดเข้ามาจากโพรงด้านหลังอาคิระ ขณะที่เขาเดินไปตามเส้นทางลับที่วัลคีรีย์บอกไว้ รอยเท้าของเขาทิ้งไว้บนพื้นน้ำแข็งบาง ๆ ที่แตกเป็นเสี่ยงเล็ก ๆ ทุกครั้งที่ก้าว ความหนาวเย็นแผ่ซ่านจนเขารู้สึกถึงความชืดของอากาศ แม้จะมีชุดปรับอุณหภูมิช่วยปกป้อง แต่มันก็ไม่อาจปัดเป่าความเย็นที่แทรกซึมถึงกระดูก
“ที่นี่มัน… โลกแบบไหนกันแน่?” เขาพึมพำกับตัวเอง พลางจับดาบคู่ที่สะพายไว้บนหลัง
ดาบที่เคยเป็นเพียงจินตนาการในวัยเด็ก ตอนนี้กลับรู้สึกหนักอึ้ง ไม่ใช่เพราะน้ำหนักของมัน แต่เป็นเพราะความจริงที่ว่ามันคืออาวุธที่เขาต้องใช้เพื่อเอาชีวิตรอด
ทางเดินเริ่มแคบลง และแสงจากคริสตัลที่ฝังอยู่ในผนังหินก็จางลงเรื่อย ๆ จนความมืดเริ่มปกคลุม อาคิระหยุดเดินและหยิบโคมไฟพกพาออกมาจากกล่องอุปกรณ์ แสงจากโคมไฟสาดส่องเผยให้เห็นผนังหินที่เต็มไปด้วยรอยข่วนลึก
“เหมือนมีบางอย่างเคยผ่านมาที่นี่…” เขากล่าวเบา ๆ
ทันใดนั้น เสียงแปลกประหลาดก็ดังก้องในอากาศ มันเป็นเสียงคำรามต่ำ ๆ ผสมกับเสียงข่วนพื้นน้ำแข็งที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
อาคิระหยุดเดิน ใจเต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขาย่อตัวลง มือคว้าดาบคู่ที่สะพายไว้ทันที สายตาจับจ้องไปยังทางเดินข้างหน้า เงาร่างบางอย่างเริ่มปรากฏในแสงสลัว
“อะไรกันน่ะ…” เขากล่าวเบา ๆ ร่างนั้นเคลื่อนที่เข้ามาใกล้เรื่อย ๆ และในที่สุดก็เผยให้เห็นรูปร่าง—หมาป่าขนสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาเรืองแสงสีแดงฉานราวกับมีเปลวไฟสุมอยู่ในนั้น
เสียงคำรามของมันกึกก้อง ทำให้อาคิระขยับเท้าถอยหลังโดยไม่รู้ตัว แต่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเผชิญหน้ากับมัน
หมาป่าพุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว อาคิระกัดฟันแน่นก่อนยกดาบดำในมือซ้ายขึ้นตั้งรับ เสียงโลหะกระทบกับกรงเล็บดังสนั่นจนมือเขาชา เขาพยายามตั้งตัวและใช้ดาบขาวในมือขวาฟันสวนกลับ
หมาป่ากระโดดหลบได้อย่างรวดเร็ว มันหมุนตัวกลับมาและพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง กรงเล็บของมันเฉียดผ่านใบหน้าอาคิระไปเพียงเล็กน้อย
“นี่มันไม่ใช่เกมแล้วนะ…” เขาพึมพำ มือที่ถือดาบเริ่มสั่น แต่เขายังคงยืนมั่น
เสียงคำรามของหมาป่าทำให้สัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดของเขาถูกปลุกขึ้น อาคิระพยายามใช้การฝึกที่แม่เคยสอนให้เป็นเครื่องมือในการต่อสู้ เขาหลบการโจมตีของหมาป่าพร้อมกับหมุนตัวกลับมาใช้ดาบดำปัดกรงเล็บ
“เพลงดาบดาว…” เขาเอ่ยเบา ๆ ราวกับปลุกความทรงจำในวัยเด็ก
เขาเริ่มใช้เทคนิคที่เคยคิดค้นร่วมกับครูฟันดาบ ดาบทั้งสองในมือฟันตัดเป็นรูปดาวห้าแฉก เส้นคมที่ไขว้กันสร้างเป็นรูปทรงที่เหมือนจะล้อมหมาป่าไว้
หมาป่ากระโจนเข้าใส่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่สามารถหลบพ้น เสียงดาบฟันกระทบร่างของมันดังสนั่น แสงสีขาวเจิดจ้าพลันแผ่ซ่านออกมาจากดาบขาว
หมาป่าล้มลงกับพื้น ส่งเสียงคำรามครั้งสุดท้ายก่อนที่ร่างของมันจะสลายกลายเป็นเถ้าถ่านสีดำ
อาคิระยืนหอบหายใจ ดาบในมือทั้งสองยังคงเปล่งแสงริบหรี่ ความรู้สึกหลากหลายวิ่งวนอยู่ในใจ ทั้งความกลัว ความสับสน และความรู้สึกผิดที่ต้องฆ่าสิ่งมีชีวิตครั้งแรก แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกถึงความตื่นเต้นที่ยากจะอธิบาย
“นี่คือ…การต่อสู้จริง…” เขากล่าวเบา ๆ ขณะจ้องมองไปที่เถ้าถ่านที่เหลืออยู่
เขาเงยหน้าขึ้นมองไปข้างหน้า และพบว่ามีหมาป่าอีกสองตัวยืนอยู่ในระยะไกล ดวงตาสีแดงของมันจ้องตรงมาที่เขา
“ไม่สิ้นสุดง่าย ๆ สินะ…” เขาพูดพร้อมกับตั้งท่าพร้อมสำหรับการต่อสู้ครั้งใหม่
เสียงคำรามดังก้องไปทั่วทางเดิน หมาป่าทั้งสองเริ่มเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ ร่างกายของอาคิระตึงเครียด เขากระชับดาบในมือแน่น
“ฉันต้องรอด… และฉันต้องช่วยโลกนี้ให้ได้”
เขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่รออยู่เบื้องหน้า แม้ว่าใจเขาจะยังสั่นไหว แต่ความมุ่งมั่นในสายตากลับชัดเจน
นี่ไม่ใช่การผจญภัยในเกมที่เขาเคยเล่น นี่คือชีวิตจริง—และเขาต้องต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด
ตอนที่ 4: การช่วยเหลือที่ไม่คาดคิด
เสียงหอบหายใจของอาคิระยังคงดังอยู่ในอุโมงค์ที่มืดสลัว หลังจากที่เขาเอาชนะหมาป่าคาได้ เขาเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากอย่างลวก ๆ ดาบคู่ในมือยังคงเปล่งแสงจาง ๆ น้ำหนักของมันไม่ได้มาจากโลหะที่ประกอบกัน แต่เป็นความรู้สึกหนักอึ้งที่บรรทุกอยู่ในใจ
“ทำไม… ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่…” เขาพึมพำเบา ๆ คำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวไม่มีคำตอบ
เขาเดินต่อไปในอุโมงค์ที่ทั้งแคบและยาว ความเงียบเข้าครอบงำ มีเพียงเสียงฝีเท้าของเขาที่ดังสะท้อนกลับจากผนังหิน บรรยากาศรอบตัวเย็นยะเยือก แต่ในใจกลับร้อนรนด้วยความไม่แน่นอน
ในที่สุด อาคิระก็มาถึงพื้นที่เปิดกว้างซึ่งแตกต่างจากทางเดินที่เขาเพิ่งผ่าน แสงสีฟ้าจากคริสตัลส่องประกายอยู่รอบห้องโถง บรรยากาศโดยรอบดูสงบนิ่งและงดงาม ราวกับเขาหลุดเข้ามาในโลกแห่งความฝัน
แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าทำให้เขาหยุดนิ่ง
กลางห้องโถงกว้าง มีมนุษย์หมาป่าสองตัวยืนอยู่ พวกมันกำลังล่ามจิ้งจอกตัวเล็กเอาไว้ด้วยโซ่สีดำที่เรืองแสงอ่อน ๆ ร่างของจิ้งจอกดูอ่อนแรง มันดิ้นรนสุดชีวิตพร้อมกับส่งเสียงร้องแหลมด้วยความเจ็บปวด มนุษย์หมาป่าทั้งสองคล้ายกำลังทำพิธีบางอย่าง พวกมันขยับมือที่เต็มไปด้วยกรงเล็บราวกับกำลังร่ายมนตร์
“นี่มัน…อะไรกัน…” อาคิระขมวดคิ้ว รู้สึกได้ถึงความมืดที่ปกคลุมรอบตัวเขาและสิ่งมีชีวิตตรงหน้า
หัวใจของเขาบอกให้ทำอะไรสักอย่าง แม้จะไม่เข้าใจสถานการณ์ชัดเจน แต่เขารู้ว่าต้องช่วยจิ้งจอกตัวนั้น
เขาก้าวเข้าไปใกล้ เสียงฝีเท้าของเขาก้องสะท้อนไปทั่วห้องโถง ความเคลื่อนไหวของเขาดึงดูดสายตาของมนุษย์หมาป่าทั้งสอง พวกมันหันมามองพร้อมกับส่งเสียงคำรามต่ำ
“มนุษย์? เจ้ามาทำอะไรที่นี่!” หนึ่งในนั้นพูด น้ำเสียงหยาบกร้าว
“ปล่อยจิ้งจอกตัวนั้นเดี๋ยวนี้!” อาคิระตะโกนตอบ ดาบคู่ในมือเปล่งแสงสว่างจ้าขึ้น
มนุษย์หมาป่ามองหน้ากันก่อนจะหัวเราะเสียงต่ำ “เจ้าเด็กโง่ นี่ไม่ใช่ที่ของเจ้า”
ทันใดนั้น พวกมันก็พุ่งเข้ามาโจมตี
อาคิระยกดาบดำขึ้นตั้งรับ กรงเล็บแหลมของมนุษย์หมาป่ากระแทกเข้ากับคมดาบ เสียงโลหะกระทบกันดังก้อง เขาถอยหลังหลบการโจมตี แต่มนุษย์หมาป่าอีกตัวกระโจนเข้ามาซ้ำ
“แย่แล้ว…” อาคิระพึมพำ พลางหมุนตัวหลบและใช้ดาบขาวฟันสวนกลับ แสงจากดาบสีขาวทำให้มนุษย์หมาป่าถอยหลังไปเล็กน้อย
การต่อสู้ไม่ง่ายอย่างที่เขาคิด มนุษย์หมาป่ามีพลังและความเร็วที่น่ากลัว อาคิระต้องใช้ทั้งสองดาบในมือเพื่อป้องกันและโจมตีอย่างต่อเนื่อง
“อย่าลืมสิ่งที่แม่เคยสอน… อย่าลืมการฝึกฝน…” เขากล่าวกับตัวเองเพื่อเรียกสมาธิ
เขาถอยหลังหนึ่งก้าว ก่อนจะตั้งท่า ใช้เทคนิคที่เคยฝึกฝนในวัยเด็ก—เพลงดาบดาว
ดาบทั้งสองในมือของเขาฟันตัดเป็นรูปดาวห้าแฉก เส้นคมไขว้กันสร้างเป็นกรอบแสงที่ล้อมรอบศัตรูไว้ มนุษย์หมาป่าตัวหนึ่งถูกโจมตีโดยตรง ร่างของมันล้มลงก่อนจะสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน
ตัวที่เหลือส่งเสียงคำรามดังลั่น มันพุ่งเข้าโจมตีอาคิระด้วยพลังทั้งหมด เขายกดาบดำขึ้นป้องกันและสวนกลับด้วยดาบขาวที่เปล่งแสงเจิดจ้า เสียงฟันดังสนั่น ก่อนที่มนุษย์หมาป่าตัวนั้นจะล้มลงและกลายเป็นเถ้าถ่านเช่นกัน
อาคิระหอบหายใจ ร่างของเขาสั่นเล็กน้อยด้วยความเหนื่อยล้า ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังจิ้งจอกตัวเล็กที่ยังคงถูกล่ามด้วยโซ่สีดำ
“รอก่อนนะ… ฉันจะช่วยเธอ” เขาพูดเสียงเบา พลางยกดาบดำขึ้น
โซ่สีดำเริ่มสั่นไหวเมื่อสัมผัสกับพลังของดาบ ดาบดำดูดซับพลังงานสีดำจากโซ่ ขณะที่ดาบขาวในมืออีกข้างปล่อยแสงสว่างเจิดจ้าจนโซ่แตกกระจาย
จิ้งจอกตัวเล็กมองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่แฝงด้วยความขอบคุณ มันค่อย ๆ คลานเข้ามาใกล้ ร่างเล็ก ๆ ของมันสั่นเทาเพราะความหนาวและความหวาดหวั่น
“ไม่ต้องกลัว… เธอปลอดภัยแล้ว” อาคิระพูดเสียงอ่อนโยน เขาคุกเข่าลงเพื่อให้ระดับสายตาเท่ากับมัน
จิ้งจอกตัวเล็กยังคงลังเล แต่เมื่อเขายื่นมือไปลูบขนของมันเบา ๆ ความรู้สึกอุ่นใจเริ่มปรากฏในดวงตาของมัน
“เราเพิ่งเคยเจอกัน… แต่ฉันสัญญาว่าจะปกป้องเธอ”
คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความจริงใจ จิ้งจอกตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เริ่มเปล่งประกายแห่งความหวัง
นี่คือจุดเริ่มต้นของมิตรภาพที่ไม่คาดฝันในโลกใบใหม่นี้ และอาจเป็นก้าวสำคัญที่จะเปลี่ยนโชคชะตาของเขาไปตลอดกาล
ตอนที่ 5: แสงแห่งการเปลี่ยนแปลง
อาคิระนั่งพิงกำแพงหินคริสตัลที่เย็นเฉียบ เขาจ้องมองจิ้งจอกน้อยซึ่งยังคงตัวสั่นอยู่ไม่ไกล โซ่สีดำที่เคยพันธนาการร่างเล็กนั้นถูกทำลายจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงเศษชิ้นเล็ก ๆ กระจัดกระจายบนพื้น
“เธอปลอดภัยแล้ว” อาคิระพูดเสียงอ่อนโยน ดาบคู่ที่เขาวางพิงกำแพงไว้ยังคงเปล่งแสงจาง ๆ แต่ในใจของเขายังไม่สงบ
จิ้งจอกตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความขอบคุณ มันคลานเข้ามาใกล้ทีละน้อย ก่อนจะหยุดอยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่ก้าว
“เธอเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” อาคิระถามอีกครั้ง น้ำเสียงนุ่มนวลของเขาทำให้ความตึงเครียดในดวงตาของอีกฝ่ายคลายลงเล็กน้อย
จิ้งจอกตัวเล็กยังคงลังเล แต่มันพยักหน้าเบา ๆ ราวกับเข้าใจคำถาม
ก่อนที่อาคิระจะพูดอะไรต่อ เขาก็สังเกตเห็นบางสิ่งที่ผิดปกติ แสงสีดำที่ลอยออกมาจากเศษโซ่บนพื้นเริ่มรวมตัวกันอีกครั้ง
“นี่มัน…ยังไม่จบเหรอ?” เขาพึมพำ ขณะที่กลุ่มพลังงานสีดำลอยวนในอากาศราวกับสิ่งมีชีวิตที่กำลังหาหนทางหลบหนี
อาคิระคว้าดาบดำขึ้นมาในทันที ดาบในมือของเขาสั่นไหวเบา ๆ ราวกับตอบสนองต่อพลังงานสีดำที่กำลังก่อตัว
“เจ้ากำลังดูดซับมัน…ใช่ไหม?” เขาพูดเบา ๆ สายตาจับจ้องไปที่ดาบดำที่เริ่มเปล่งแสงสีม่วงเข้ม หลอดพลังงานสีดำที่กำไลบนข้อมือของเขาค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้น
พลังงานสีดำทั้งหมดถูกดาบดูดซับจนหมดสิ้น แต่แทบจะในทันที ดาบขาวที่วางอยู่ใกล้ ๆ กลับเปล่งแสงสีทองสว่างเจิดจ้า หลอดพลังงานสีดำลดลงเหลือศูนย์ ขณะที่หลอดสีขาวเพิ่มขึ้นในระดับที่เท่ากัน
“พลังของสองดาบนี้…คือความสมดุล” เขาพึมพำด้วยความประหลาดใจ
ทันใดนั้น แสงสีทองจากดาบขาวพุ่งตรงไปยังจิ้งจอกน้อย ร่างเล็ก ๆ ของมันถูกปกคลุมด้วยแสงเจิดจ้าจนต้องยกมือขึ้นบังตา
“อะไรเกิดขึ้นน่ะ!” อาคิระตะโกน เสียงของเขาสะท้อนไปทั่วห้อง
แสงสว่างจางลงอย่างช้า ๆ เมื่อเขาเอามือลง สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าทำให้อาคิระแทบลืมหายใจ
จิ้งจอกน้อยไม่ได้เป็นเพียงสัตว์ตัวเล็กอีกต่อไป ร่างของเธอเปลี่ยนเป็น
เด็กสาวในชุดกิโมโนสีขาวบริสุทธิ์ สะท้อนแสงอ่อนโยนราวกับแสงจันทร์ ตัดกับลวดลายสีส้มทองที่ประณีตและพลิ้วไหวอย่างลงตัว ชุดประดับด้วยสายโซ่และดอกไม้ที่ร้อยเรียงกันอย่างงดงาม สายคาดเอวสีดำประดับตราสัญลักษณ์ดูสง่างาม พร้อมริบบิ้นที่ไหลพลิ้วตามแรงลม หางสีขาวฟูฟ่องทั้งสองของเธอสะท้อนความนุ่มนวลของตัวตน ขณะที่ดวงตาสีทองอร่ามเปล่งประกายความอบอุ่นและความสง่างามในเวลาเดียวกัน
เด็กสาวก้าวเข้ามาหา น้ำตาเอ่อคลอเบ้าตา ก่อนจะโถมตัวเข้ากอดเขาแน่น
“ขอบคุณ… ขอบคุณที่ช่วยฉัน…” น้ำเสียงของเธอสั่นเครือ แต่เต็มไปด้วยความจริงใจ
อาคิระนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มบาง ๆ และตอบออกไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“ไม่เป็นไร… เธอปลอดภัยแล้วล่ะ” เขาเงียบไปชั่วครู่ แล้วจึงพูดต่อ “ฉันชื่ออาคิระ ยินดีที่ได้รู้จัก”
เด็กสาวเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีทองของเธอเป็นประกายเล็กน้อย “อาคิระ…” เธอทวนชื่อเขาเบา ๆ ราวกับต้องการจดจำมันเอาไว้
ขณะนั้น อาคิระตัวแข็งทื่อไปชั่วครู่ ก่อนจะค่อย ๆ ยกมือขึ้นลูบหัวของเธอเบา ๆ
“ไม่เป็นไร… แต่เธอ…คือใคร?” เขาถาม น้ำเสียงยังคงแฝงความตกใจ
เด็กสาวผละออกจากอ้อมกอดเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มให้เขาอย่างขลาด ๆ “ฉันชื่อ…ยูเอะ ลูเซนเทล ฉันเป็นลูกสาวของจิ้งจอกเก้าหาง ผู้พิทักษ์เซเลสแห่งนี้”
“จิ้งจอกเก้าหาง?” อาคิระทวนคำ พลางมองเด็กสาวตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา
“ฉันถูกจับตัวมาที่นี่…โดยพวกมนุษย์หมาป่าคาออส” ยูเอะพูด น้ำเสียงของเธอแผ่วเบา “พวกมันต้องการใช้ฉันในพิธีกรรมเพื่อเพิ่มพลังให้ตัวเอง”
“ฉันกลัวเหลือเกิน…” เธอเอ่ยพร้อมน้ำตาที่คลอเบ้าตา “แต่แล้วคุณก็เข้ามาช่วย…ฉันคิดว่าฉันคงไม่รอดแล้ว”
อาคิระถอนหายใจ เขายิ้มให้อย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องกลัวอีกแล้ว ตอนนี้เธอปลอดภัย”
ยูเอะมองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความศรัทธา เธอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะถาม “คุณ…มาจากที่อื่นใช่ไหม?”
คำถามนั้นทำให้อาคิระชะงัก ก่อนจะพยักหน้า “ใช่ ฉันมาจากโลกที่ไม่ใช่ที่นี่ ทุกอย่างที่นี่ใหม่สำหรับฉัน”
ยูเอะตาเป็นประกายทันที “ฉันขออะไรสักอย่างได้ไหม?”
“อะไรล่ะ?” อาคิระถาม
“ช่วยตามฉันไปพบแม่ของฉันได้ไหม?” เธอพูดเสียงจริงจัง “แม่ของฉันอาจช่วยตอบคำถามหลายอย่างให้คุณได้”
อาคิระนิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “ได้สิ แต่เธอแน่ใจนะว่าจะพาฉันไปถูกทาง?”
ยูเอะยิ้มกว้าง น้ำเสียงมั่นใจ “ฉันรู้ทาง! ฉันจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง!”
อาคิระยื่นมือให้เธอจับ “งั้นไปกันเถอะ”
ยูเอะจับมือของเขาแน่น ความอบอุ่นจากมือเล็ก ๆ ของเธอทำให้อาคิระรู้สึกถึงความหวังเล็ก ๆ ที่เริ่มก่อตัว
ทั้งสองเริ่มออกเดินทาง มุ่งหน้าไปยังจุดหมายที่อาจเปิดเผยความลับของโลกใบนี้ เส้นทางข้างหน้าดูยาวไกล แต่ในใจของอาคิระกลับเริ่มเต็มไปด้วยความมั่นใจ
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 21
Comments