ตอนที่ 1: เส้นทางลับและการพบพาน
อาคิระเดินตามเส้นทางลับที่พบในวิหารน้ำแข็งอย่างระมัดระวัง ลมหนาวยังคงพัดผ่านช่องทางแคบ ๆ จนเสียงหวีดหวิวของมันแทรกเข้าไปถึงกระดูก แม้เขาจะสวมชุดที่แม่มอบให้เมื่อเย็นนี้ มันก็ไม่ได้ช่วยบรรเทาความหนาวเย็นของโลกใบใหม่นี้มากนัก
เส้นทางที่ทอดยาวค่อย ๆ ลึกลงไปใต้ดิน ผนังหินที่เคยเป็นน้ำแข็งใสเปลี่ยนเป็นหินสีเทาเข้ม ลวดลายสลักแปลกตาที่เขาไม่เคยเห็นปรากฏอยู่เป็นระยะ บางลายดูเหมือนวงแหวนเวทมนตร์ซ้อนกัน หลายลายคล้ายสัญลักษณ์โบราณที่ราวกับบันทึกเรื่องราวบางอย่างที่ถูกลืมเลือน แสงจากทางเข้าเริ่มเลือนหาย เหลือเพียงแสงริบหรี่ที่สะท้อนมาจากผนังและพื้น ทำให้เส้นทางดูลึกลับและวังเวง
“ทำไมมันลึกขนาดนี้…” เขาพึมพำขณะเดินไปตามทาง เขาพยายามก้าวเดินต่อ แม้หัวใจจะเต้นรัวด้วยความหวาดระแวงและความสงสัย
ยิ่งเขาเดินลึกลงไป อาคิระรู้สึกเหมือนลมหายใจของตัวเองสะท้อนอยู่ในความมืด เสียงฝีเท้าของเขาดังก้องเหมือนถูกสะท้อนกลับมาจากใครบางคนที่เดินตามหลัง แม้จะไม่มีใครอยู่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองเป็นระยะ
“มันเงียบเกินไป…” เขาคิดในใจ ความกดดันเริ่มบีบคั้น หัวใจเขาเต้นแรงขึ้นทุกครั้งที่เงามืดพลิ้วไหวตามแสงริบหรี่ของทางเดิน
ในที่สุด ทางเดินก็เปิดเข้าสู่ห้องโถงขนาดใหญ่ เขาหยุดยืนตรงปากทางเข้าอย่างไม่รู้ตัว สายตาของเขากวาดมองรอบ ๆ ด้วยความตื่นตะลึง
ห้องโถงแห่งนี้แตกต่างจากส่วนอื่น ๆ ของทางลับ เพดานคริสตัลที่ห้อยระย้าลงมาราวกับดวงดาวสะท้อนแสงสีฟ้าอ่อนดูงดงามและน่าพิศวง ผนังคริสตัลบางส่วนเรืองแสงเบา ๆ สร้างเงาพลิ้วไหวเหมือนสิ่งมีชีวิตที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในมุมมืด แสงสีฟ้าอ่อนสะท้อนบนพื้นหินที่เรียบเนียน บรรยากาศเย็นยะเยือก แต่กลับสง่างามราวกับอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่ควรมีมนุษย์ล่วงล้ำ
ใจกลางห้องโถง มีรูปปั้นนางฟ้าขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนแท่นหิน ร่างของเธอสูงตระหง่านดูสง่างามและทรงพลัง ปีกสีขาวที่สลักไว้อย่างละเอียดอ่อนพลิ้วไหวเหมือนมีชีวิต ใบหน้าของเธอเปล่งประกายด้วยความเมตตา แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงความน่าเกรงขาม
“นี่มัน…ที่ไหนกันแน่?” อาคิระกระซิบเบา ๆ ราวกับกลัวว่าเสียงของเขาจะรบกวนความเงียบอันศักดิ์สิทธิ์
เขาเดินเข้าไปใกล้รูปปั้นโดยไม่รู้ตัว รอบฐานของรูปปั้นมีอักษรโบราณสลักไว้อย่างประณีตเป็นวงกลม แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นอักษรเหล่านี้มาก่อน แต่เมื่อเขาจ้องมองมัน ความหมายของคำเหล่านั้นกลับชัดเจนขึ้นในใจ ราวกับเสียงกระซิบที่บอกให้เขาอ่านออกเสียง
“แด่วัลคีรีย์แห่งแสง…” เขาเอ่ยเบา ๆ ความรู้สึกประหลาดที่เกิดขึ้นทำให้เขาชะงัก
“เราอ่านออกได้ยังไง?” อาคิระพึมพำอย่างงุนงง ดวงตาของเขาจับจ้องอักษรเหล่านั้น ความรู้สึกเหมือนความทรงจำบางอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ในจิตใจถูกปลุกขึ้น
เสียงแผ่วเบาในใจกลับเร่งเร้าให้เขาอ่านคำเหล่านั้นต่อ แม้จะลังเลในตอนแรก แต่ความอยากรู้อยากเห็นและแรงดึงดูดที่ไม่อาจอธิบายได้ทำให้เขาค่อย ๆ เอ่ยคำเหล่านั้นออกมา
“แด่วัลคีรีย์แห่งแสง ผู้ปกป้องดินแดนแห่งนี้ จงสรรเสริญเธอ และแสงของเธอจะปกป้องเรา”
ทันทีที่เขากล่าวคำสุดท้าย แสงสว่างเจิดจ้าพุ่งออกมาจากรูปปั้น เสียงหวีดหวิวของลมรอบ ๆ หยุดลงในทันที บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
แสงสีทองห่อหุ้มร่างของรูปปั้น ค่อย ๆ หลอมรวมกันจนกลายเป็นร่างของหญิงสาวร่างสูงสง่า เธอสวมชุดเกราะสีทองที่สะท้อนแสงราวกับดวงอาทิตย์ ปีกสีขาวที่ดูเหมือนแกะสลักไว้กลับเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ร่างของเธอเปล่งประกายอย่างสมบูรณ์แบบ
“เจ้าคือผู้ที่กล่าวคำสรรเสริญ… เจ้าคือคนที่เราเฝ้ารอ…” น้ำเสียงของเธอสงบนิ่ง แต่เปี่ยมด้วยอำนาจ
อาคิระจ้องมองเธอด้วยความตกตะลึง ก่อนที่เธอจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ข้ารู้จักเจ้าดีกว่าที่เจ้าคิด… อาคิน”
คำพูดนั้นทำให้อาคิระสะดุ้ง ชื่อเล่นนี้มีเพียงคนในครอบครัวเท่านั้นที่เรียกเขา “คุณรู้จักชื่อเล่นของผมได้ยังไง?” เขาถามเสียงแหบพร่า
“อาคิน เจ้ามีสิ่งที่เราต้องการ—แสงแห่งจิตใจบริสุทธิ์ที่เรารอคอยมาเป็นพันปี” วัลคีรีย์กล่าว น้ำเสียงของเธอเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
“หลายสิ่งเจ้าจะได้เรียนรู้ในภายภาคหน้า แต่ตอนนี้… จงเข้ามา” เธอยื่นมือเชื้อเชิญ
อาคิระลังเล แต่แรงดึงดูดบางอย่างทำให้เขาก้าวเข้าไปหาเธอโดยไม่รู้ตัว
“ก้มหน้าลง… หลับตา…”
เมื่อเขาทำตาม เธอแตะศีรษะของเขา แสงสีทองอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เมื่อเขาลืมตาอีกครั้ง วัลคีรีย์ได้หายไป ทิ้งไว้เพียงแหวนสีทองในมือ แหวนที่ดูเรียบง่าย แต่กลับส่งพลังงานอุ่นวาบออกมา
“นี่มัน…อะไรกัน?”
เสียงของวัลคีรีย์ดังขึ้นในอากาศ “จงเดินไปตามทางลัดที่อยู่เบื้องล่าง เจ้าจะพบสิ่งที่ต้องการความช่วยเหลือ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของภารกิจของเจ้า…”
เสียงของเธอแผ่วเบาลง ก่อนจะเหลือเพียงคำพูดสุดท้ายที่เต็มไปด้วยความอาวรณ์ “อาคิน ข้าอยากให้เจ้ามีเวลาเตรียมตัวมากกว่านี้ แต่โลกของเราไม่อาจรอได้อีกต่อไป เจ้าคือแสงสุดท้ายของเรา”
อาคิระมองแหวนในมือ ความรับผิดชอบที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงถาโถมเข้ามาในใจ
“ถ้านี่คือจุดเริ่มต้น… ฉันจะต้องไปให้ถึงจุดจบด้วยตัวเอง” เขากระซิบ ก่อนจะก้าวเดินต่อไปตามทางลับที่วัลคีรีย์บอกไว้
ตอนที่ 2: ของขวัญจากวัลคีรีย์
อาคิระยืนจ้องมองแหวนสีทองในมือ มันดูเรียบง่าย แต่กลับส่งพลังงานอุ่นวาบที่แผ่ซ่านไปทั่วร่าง ราวกับว่ามันมีชีวิต พลังงานบางอย่างจากแหวนทำให้เขารู้สึกทั้งหนักแน่นและสงบในเวลาเดียวกัน ความอบอุ่นจากแสงสีทองที่วัลคีรีย์มอบให้ยังคงหลงเหลืออยู่ในร่างของเขา
“นี่คืออะไร…” เขาพึมพำเบา ๆ
เขาค่อย ๆ สวมแหวนลงที่นิ้ว ทันทีที่แหวนสัมผัสกับผิวของเขา แสงสีทองบางเบาแผ่กระจายออกมารอบตัว ราวกับแหวนนี้ตอบสนองต่อการปรากฏตัวของเขา
ในชั่วพริบตา กล่องไม้ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา มันดูเก่าแก่แต่กลับเปล่งประกายแสงอ่อน ๆ จากร่องไม้ ราวกับว่ามันถูกสร้างขึ้นมาจากความว่างเปล่า
“นี่มัน…” อาคิระก้าวเข้าไปใกล้ ลมหายใจของเขาติดขัดด้วยความตื่นเต้น เขายกมือขึ้นแตะฝากล่อง เสียงไม้เสียดสีดังเบา ๆ เมื่อเขาค่อย ๆ เปิดมันออก
ข้างในกล่องมีสิ่งของมากมายที่ดูเหมือนจะถูกจัดเตรียมไว้สำหรับเขาโดยเฉพาะ ทุกอย่างดูเรียบง่ายแต่ทรงพลัง ราวกับมันเกิดขึ้นเพื่อภารกิจสำคัญที่กำลังจะเริ่มต้น
อาคิระถอนหายใจยาว สายตาของเขาจับจ้องไปที่ดาบคู่ที่นอนอยู่บนผ้ากำมะหยี่สีดำ เขาหยิบดาบขึ้นมาด้วยมือสั่นเล็กน้อย
“ดาบคู่นี่… ทั้งสวย ทั้งน่ากลัว” เขาพึมพำ มือขวาหยิบดาบสีขาวบริสุทธิ์ขึ้นมา ส่วนมือซ้ายจับดาบสีดำสนิทที่ดูดซับแสงจนมืดมิดเหมือนรัตติกาล
เขาแกว่งดาบเบา ๆ ทั้งสองเล่มรู้สึกสมดุลและเหมาะมือราวกับว่ามันถูกสร้างมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ น้ำหนักของดาบเบา แต่ให้ความรู้สึกทรงพลังราวกับมันมีพลังงานบางอย่างแฝงอยู่
“แบบนี้สินะที่เรียกว่าอาวุธในตำนาน” เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม ความรู้สึกตื่นเต้นเหมือนวัยเด็กที่เคยจินตนาการถึงการเป็นนักผจญภัยในเกม RPG กลับมาท่วมท้น
อาคิระวางดาบคู่ไว้ตรงหน้า ก่อนจะหยิบกำไลสถานะขึ้นมาจากกล่อง มันเป็นกำไลโลหะเรียบ ๆ แต่มีหลอดพลังงานหกสีเรืองแสงอยู่ เขาสวมมันไว้ที่ข้อมือ และทันทีที่กำไลสัมผัสผิว หลอดพลังงานแต่ละสีเริ่มแสดงค่าที่แตกต่างกัน
แดง: 80%
เหลือง: 30%
เขียว: 50%
ฟ้า: 20%
ขาว: 60%
ดำ: 0%
“แต่ละสีคืออะไรล่ะนี่ ไม่เต็มสักหลอดเลย บางสีไม่มีเลยด้วยซ้ำ?” เขาเอ่ยพลางจ้องมองค่าพลังงานเหล่านั้นด้วยความสงสัย
อาคิระหยิบแว่นขยายจากกล่องขึ้นมาลองส่องดาบคู่ทันทีที่เขาลองใช้ มันแสดงข้อความลอยขึ้นมาบนอากาศ
** “Zen Sabers:
• ดาบขาว (อาทิตย์) : ปลดปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์
• ดาบดำ (จันทรา) : ดูดซับและควบคุมพลังคาออส” **
“แว่นนี่มัน…เจ๋งชะมัด” อาคิระพูดพร้อมหัวเราะเล็ก ๆ เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวละครในเกม RPG ที่มีไอเท็มสารพัดประโยชน์
เขาหยิบแผนที่ออกมาดู มันเป็นกระดาษแปลกตาที่เปล่งแสงสีทองเบา ๆ เมื่อเขาเปิดออก ภาพของโลกใบนี้ปรากฏขึ้นด้วยรายละเอียดที่น่าทึ่ง ราวกับเป็น Google Earth เวอร์ชันแฟนตาซี
“นี่มัน… โลกนี้กว้างใหญ่กว่าที่ฉันคิดไว้ซะอีก” เขาพูดเบา ๆ
เมื่อเลื่อนแผนที่ไปยังจุดที่วัลคีรีย์บอก เขาพบเครื่องหมายสีแดงเล็ก ๆ พร้อมข้อความว่า “เป้าหมายแรก”
“โอเค เข้าใจแล้ว นี่คงเป็นที่ที่ฉันต้องไป” เขาพูดพร้อมพยักหน้า
อาคิระสำรวจของในกล่องต่อ พบอุปกรณ์ตั้งแคมป์ที่ครบครัน ทั้งเต็นท์เล็ก กระติกน้ำ ชุดทำอาหาร และชุดเสื้อผ้าหลายแบบที่เหมาะกับทุกสภาพแวดล้อม รวมถึงเงินตราที่ดูแปลกตาหลากหลายแบบ
หลังจากที่สำรวจเสร็จ เขาเอ่ยขึ้นเบา ๆ “มันคงต้องกลับเข้าไปในแหวนสินะ…”
เมื่อเขาคิดถึงแหวนที่อยู่บนนิ้ว กล่องไม้ทั้งใบก็เริ่มส่องแสงสีทอง แสงนั้นห่อหุ้มตัวกล่องทั้งหมดก่อนที่มันจะเลือนหายไปอย่างช้า ๆ ราวกับถูกดูดกลับเข้าสู่แหวน
“สะดวกจริง ๆ …” เขาพึมพำ ขณะมองแหวนบนมือที่ตอนนี้ดูเรียบง่ายเหมือนเดิม
เขาสวมชุดใหม่ที่ปรับอุณหภูมิได้ ทันทีที่สัมผัสผิว ความอบอุ่นก็แผ่กระจายไปทั่วร่าง ราวกับว่าเสื้อผ้าชุดนี้เกิดมาเพื่อปกป้องเขาจากสภาพอากาศที่เลวร้ายที่สุด
อาคิระเงยหน้ามองเพดานคริสตัลที่เปล่งแสงสีฟ้า ก่อนจะสูดลมหายใจลึกและหันไปมองทางเดินลับที่วัลคีรีย์บอกไว้
“ถึงเวลาเริ่มต้นจริง ๆ แล้ว”
เขาก้าวเท้าเดินต่อไปในเส้นทางที่ทอดยาวเบื้องหน้า แม้จะไม่รู้ว่าสิ่งใดรอเขาอยู่ แต่ในใจกลับรู้สึกถึงเป้าหมายที่ชัดเจน
นี่คือจุดเริ่มต้นของการผจญภัยที่เขารอคอยมาทั้งชีวิต และเขารู้ดีว่าไม่มีทางหันหลังกลับอีกต่อไป
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 21
Comments
Eonjin♤
โชคดีที่มีแอดเขียนเรื่องน่าอ่านแบบนี้
2024-12-26
1