Alternate Liberation : The Conqueror Of Chaos
บทที่ 1: จุดเริ่มต้นที่ไม่ธรรมดา
ตอนที่ 1: วันธรรมดาของอาคิระ
กลางดึกของคืนที่ดูเหมือนเงียบสงบ แสงจันทร์ยามดึกสาดส่องลอดผ่านผ้าม่านสีขาวเนื้อบาง ทิ้งเงาจาง ๆ ไว้บนผนัง เสียงพัดลมหมุนดังคลอเบา ๆ ท่ามกลางบรรยากาศอันนิ่งเงียบของห้องนอนที่เต็มไปด้วยแสงสลัวจากโคมไฟเล็ก ๆ ข้างเตียง เผยให้เห็นห้องนอนขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยข้าวของที่สะท้อนตัวตนของเด็กหนุ่มวัยเรียน อาคิระ วัฒนกุล หนังสือการ์ตูนวางกองบนโต๊ะไม้ที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วน หุ่นฟิกเกอร์ของตัวละครในเกมโปรดตั้งเรียงรายบนชั้นวาง ข้างเตียงมีคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่จอภาพยังเปิดค้างจากคืนที่ผ่านมา เสียงลมหายใจของเด็กหนุ่มเริ่มเปลี่ยนจากมั่นคงเป็นสั่นไหว
แม้เปลือกตาของเขาจะปิดสนิท แต่สมองกลับทำงานหนัก ภาพความคิดเกี่ยวกับโปรเจกต์เกมที่ต้องส่งและการบ้านวิชาดนตรีวนเวียนอยู่ในหัวราวกับคลื่นกระแสไฟฟ้า ทว่าไม่นาน ความเหนื่อยล้าก็เริ่มกดทับ อาคิระค่อย ๆ ดำดิ่งเข้าสู่ห้วงนิทรา
ในความเงียบสงัดนั้น ทุกอย่างพลันเปลี่ยนไป ไม่มีความอบอุ่นของเตียง ไม่มีเสียงพัดลม ไม่มีแสงจันทร์ที่ส่องลอดหน้าต่างมาอีกต่อไป มีเพียงความมืดมิดที่ค่อย ๆ กลืนกินทุกสิ่งรอบตัว และนั่นคือจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน…
ความมืดรายล้อมรอบตัวอาคิระ ราวกับว่าเขากำลังลอยอยู่ในอวกาศอันเวิ้งว้าง ไม่มีแสง ไม่มีเสียง มีเพียงความว่างเปล่าที่ชวนให้อึดอัด ทันใดนั้น พื้นใต้เท้าของเขาก็สว่างวาบขึ้น เผยให้เห็น วงกลมประหลาด ที่เปล่งแสงเรืองรองราวกับแผนที่โลกแต่ไม่ใช่
ในวงกลมนั้นปรากฏเส้นสายสลับซับซ้อนเหมือนเส้นทางจักรวาล มันค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นดวงจันทร์เล็ก ๆ 12 ดวงที่ลอยอยู่รอบวงกลม แต่ละดวงเปล่งแสงที่แตกต่างกันออกไป บางดวงเป็นสีฟ้าสดราวกับมหาสมุทรกำลังเคลื่อนไหว บางดวงแดงฉานเหมือนเปลวเพลิงจากภูเขาไฟ บางดวงเจิดจ้าเหมือนดวงอาทิตย์ที่เปล่งประกายไม่มีที่สิ้นสุด ขณะที่อีกดวงหนึ่งดำมืดสนิท ไร้แสง ไร้ชีวิต
สายตาของอาคิระหยุดลงที่ดวงจันทร์ดวงหนึ่งที่มีสีเขียวและน้ำเงินราวกับโลกใบเล็ก มันดูคล้ายกับโลกอย่างมาก มันดูลึกลับแต่น่าคุ้นเคยอย่างประหลาด เขาจ้องมองมันด้วยความสงสัยและตั้งใจ ทันใดนั้น เสียงกระซิบที่เย็นยะเยือกแต่กลับอบอุ่นและโหยหาราวกับญาติที่ไม่ได้พบกันมานานก็ดังขึ้นจากทุกทิศทาง แต่เป็นเสียงที่คุ้นเคยราวกับได้ยินมาก่อนหลายต่อหลายครั้ง
“อาคิน… มาเถิด… สมดุลได้พังทลายลงแล้ว… อาร์เคเดียต้องการเจ้า”
เสียงนั้นก้องกังวานในหัว ราวกับเรียกให้เขาก้าวเข้าไปใกล้ดวงจันทร์เหล่านั้น ทันใดนั้น ก็ปรากฏปลาคราฟสีดำและสีขาวสองตัวเวียนว่ายรอบเขา แล้วพูดว่า “จงสร้างสมดุลให้กลับมาอีกครั้งเถิด ทายาทแห่งอาร์เคเดีย...”
จากนั้น ฟองอากาศกลายเป็นขนนกเรืองแสงที่ลอยพร้อมลมหนาวรอบตัวเขา วงกลมที่ลอยอยู่รอบตัวก็สว่างจ้าขึ้น เสียงกระจกร้าวดังขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็แตกออก พร้อมภาพปรากฏการณ์อันน่าสะพรึงกลัวที่พุ่งเข้ามาในสายตา
เขาเห็น สิงโตตัวใหญ่ในชุดซามูไร ที่ลุกโชนไปด้วยเปลวไฟ มันแผดเสียงคำรามราวกับจะเผาทุกสิ่งให้มอดไหม้ อีกด้านหนึ่งคือ ร่างของคนที่มีหัวงูหกหัว แต่ละหัวส่งเสียงขู่คำรามเหมือนสัตว์ป่าในเงามืด เงาดำจำนวนมากปรากฏขึ้นรอบตัวเขา พวกมันดูเหมือนจะเป็นตัวตนบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ หัวใจของเขาหวาดหวั่นกับบรรยากาศแสนน่ากลัวของตัวตนปริศนา
จู่ ๆ พวกมันส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนพร้อมพุ่งเข้าใส่เขาอย่างรุนแรง ร่างของอาคิระถูกแรงกระแทกจนลอยกระเด็นไปในความมืดมิด เขาพยายามลุกขึ้น แต่ร่างกายเหมือนถูกพันธนาการด้วยความกลัว
ทันใดนั้น มือหนึ่งที่กำยำปรากฏขึ้นตรงหน้า มือที่มีสนับมือสุดดุดันที่เปล่งประกายด้วยเปลวไฟร้อนแรง ยื่นมาให้เขา
“ลุกขึ้นมาเถอะเพื่อน เราจะผ่านมันไปด้วยกัน”
อาคิระเงยหน้ามองเจ้าของมือ แต่ภาพนั้นพร่ามัวจนเขามองเห็นเพียงเปลวไฟที่ลุกโชนเหนือไหล่ของอีกฝ่าย ขณะเดียวกัน เขาเริ่มสังเกตเห็นร่างของคนอื่น ๆ ที่ยืนเคียงข้างเขา พวกเขาแต่ละคนเปล่งประกายด้วยพลังที่แตกต่างกัน ทั้งเปลวไฟที่ใจกลางเป็นน้ำแข็ง ทั้งสายฟ้าเล็กๆที่กำลังร่ำร้องราวกับต้องการจะพุ่งออกไป
ร่างหนึ่งเดินเข้ามาพยุงเขา มือเล็ก ๆ ที่อบอุ่นจับที่แขนของเขา พร้อมเสียงหวานใสดังขึ้น
“ไม่เป็นไรนะคะ พี่อาคิระ เราจะเคียงข้างพี่เสมอ”
อาคิระพยายามมองหน้าเธอชัด ๆ เขาเห็นแค่เงาที่เธอใส่ที่คาดผมเป็นหูแมวเท่านั้น แต่ก่อนที่เธอจะพูดอะไรต่อ เสียงของเธอก็แปรเปลี่ยนคำพูดกลายเป็นเสียงนาฬิกาปลุกที่ดังขึ้นแทนเพื่อให้เขาหลุดจากภวังค์ของห้วงแห่งความฝัน
อาคิระสะดุ้งตื่นขึ้นมาบนเตียง หัวใจเต้นรัวแรงเหมือนเพิ่งผ่านการต่อสู้ เขามองไปรอบ ๆ ห้องที่มืดสลัวด้วยแสงไฟจากจอคอมพิวเตอร์ที่ยังเปิดค้างอยู่ โต๊ะทำการบ้านยุ่งเหยิงเต็มไปด้วยหนังสือและสมุดที่วางระเกะระกะ
เขาพิงหัวกับกำแพง ถอนหายใจยาว “ฝันบ้าบออะไรเนี่ย…อย่างกับพวกผู้กล้าในการ์ตูนที่เคยดูแหน่ะ...แต่มันจะเหมือนจริงเกินไปป่ะและนั่นอะไร ปลาคราฟ? ขนนก? บ้าบอแท้” เขาพึมพำกับตัวเอง ขณะที่ในหัวพยายามปะติดปะต่อภาพที่เลือนราง
“คงเพราะเมื่อคืนคิดโปรเจกต์เกมมากเกินไปแน่ ๆ… แล้วคนที่เรียกพี่นั่นอะไรอีก? ฮ่า ๆ นี่เราคงอิจฉาที่คนอื่นมีน้องอีกแล้วสินะ” เขาหัวเราะเบา ๆ พลางคิดเล่น ๆ “ถ้ามีน้องจริง ๆ ขอแบบมีหูกระต่ายหรือหูแมวแบบในฝันด้วยก็ดีนะ ฮ่า ๆ”
ความคิดเพ้อฝันของเขายังไม่ทันจบ เสียงแม่ก็ดังขึ้นจากชั้นล่าง
“อาคิน! ตื่นหรือยังลูก เดี๋ยวไปโรงเรียนสายนะ!”
“ครับแม่!”อาคิระตอบกลับเสียงดังพอให้ได้ยิน เขาหันไปมองนาฬิกา ตกใจเมื่อเห็นเวลา เขาถอนหายใจพลางยืดแขนขาที่เหมือนกำลังจะถูกพันธนาการด้วยความขี้เกียจของตัวเอง จากนั้นรีบลุกขึ้นเก็บข้าวของอย่างลวก ๆ ก่อนคว้าผ้าเช็ดตัวไปล้างหน้าในห้องน้ำเล็ก ๆ ที่ติดกับห้องนอน ความเย็นของน้ำช่วยปลุกให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่า เขาเดินกลับมาแต่งตัวอย่างง่าย ๆ หยิบโทรศัพท์มือถือกับหูฟังที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วเดินลงบันไดไปยังชั้นล่าง“เฮ้อ… แค่ฝันบ้า ๆ ใช่ไหม? ไม่มีอะไรหรอกน่า…”
แต่ในใจลึก ๆ เขารู้ว่าฝันนั้นต่างจากฝันธรรมดา และบางสิ่งบางอย่างในนั้นอาจกำลังเชื่อมโยงกับชีวิตของเขาโดยที่เขายังไม่รู้ตัว…
บรรยากาศในครัวหอมอบอวลไปด้วยกลิ่นต้มยำกุ้งร้อน ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะไม้เรียบง่าย ข้าง ๆ มีจานเล็กที่ใส่ไข่เจียว และแก้วน้ำฝรั่งคั้นสดที่แม่ของเขาบรรจงเทไว้ให้ ไอรีน หรือ อาภาวรรณ วัฒนกุล ผู้เป็นแม่ยืนอยู่ข้างเคาน์เตอร์ครัว เธอกำลังล้างจานที่ใช้ทำอาหารเช้าอย่างขยันขันแข็ง
“วันนี้ทำไมลงมาช้าจังล่ะลูก” แม่ถามโดยไม่หันกลับมามอง ขณะที่มือยังล้างจาน
“ก็แค่เมื่อคืนนอนดึกนิดหน่อยน่ะแม่” อาคิระตอบพลางนั่งลงที่โต๊ะอาหาร เขาหยิบช้อนขึ้นมาชิมต้มยำกุ้งคำแรกแล้วพยักหน้าเบา ๆ
“อร่อยเหมือนเดิมเลย ขอบคุณนะครับแม่”
ไอรีนหันมายิ้ม “รีบกินเถอะลูก เดี๋ยวไปโรงเรียนสาย”
ขณะที่อาคิระกำลังกิน พ่อบุญธรรมของเขา ริน หรือ ปริญ วัฒนกุล เดินเข้ามาในครัวพร้อมเอกสารปึกหนึ่งในมือ เสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสแล็คที่เขาสวมใส่สะท้อนบุคลิกสุขุมและมั่นคง
“อาคิน วันนี้มีอะไรสำคัญไหม?” พ่อถามขณะนั่งลงที่โต๊ะ
“ไม่มีอะไรมากครับพ่อ แค่ไปโรงเรียน ทำโปรเจกต์เกมกับพวกเมย์ แล้วก็ซ้อมเกมตอนเย็น”
ปริญพยักหน้าเบา ๆ พร้อมยิ้มมุมปาก “ดีแล้ว แต่จำไว้นะลูก อย่าเอาเวลาไปเล่นจนลืมการบ้าน”
“ครับพ่อ” อาคิระตอบพลางเกาหัว รู้ดีว่าพ่อมักเตือนเรื่องนี้เสมอ
หลังจากอาหารเช้าเสร็จสิ้น อาคิระหยิบกระเป๋าเป้ เตรียมตัวออกจากบ้าน สวมรองเท้าผ้าใบตรงหน้าประตูและใส่หูฟังเปิดเพลงโปรดพลางนึกถึงการบ้านวิชาดนตรีที่ต้องเล่นกันกับกลุ่มเพื่อน
“ดูแลตัวเองด้วยนะลูก” ไอรีนพูดพร้อมมองตามลูกชาย
“ครับแม่ พ่อด้วยนะครับ”
ปริญยิ้มบาง ๆ “ตั้งใจเรียนนะ”
อาคิระเดินออกจากบ้านพร้อมกระเป๋าเป้พาดบ่า สายลมยามเช้าพัดผ่านใบหน้าของเขา กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ริมทางผสมกับความสดชื่นของอากาศเช้า สองข้างทางเป็นต้นไม้ใหญ่เรียงรายทอดเงาบนพื้นถนน เสียงนกร้องเบา ๆ คลออยู่ไกล ๆ
เขาเสียบหูฟัง ฟังเพลงโปรดพลางเร่งฝีเท้า เส้นทางที่เดินทุกวันยังคงเหมือนเดิม ถนนลาดยางเรียบง่ายที่มุ่งตรงไปยังโรงเรียน แต่ในใจกลับรู้สึกแตกต่างเล็กน้อย
“ฝันแปลก ๆ นั่นมันอะไรนะ…เสียงกระจกพวกนั้นอีก พักนี้ได้ยินบ่อยเกินไปแล้วนะ” ความคิดหนึ่งแทรกเข้ามาในหัว เขาส่ายหน้าเบา ๆ พยายามปัดมันออกไป
“ไม่หรอก คงเป็นเพราะต้องคิดโปรเจกต์เกมกับการบ้านแน่ ๆ”
แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามปัดความคิดนั้นออกไปมากแค่ไหน ความรู้สึกบางอย่างยังคงติดค้างอยู่ในใจ… ราวกับว่าเส้นทางธรรมดาที่เขาเดินอยู่นี้ จะนำไปสู่บางสิ่งที่ไม่ธรรมดา
อาคิระเงยหน้ามองท้องฟ้า แสงแดดยามเช้าทอประกายบนฟ้าสีคราม เมฆบาง ๆ ลอยเอื่อยไปตามลม เขาถอนหายใจเบา ๆ ก่อนก้าวต่อไปบนเส้นทางที่ดูจะเงียบสงบ
…โดยที่เขาไม่รู้เลยว่า นี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่จะเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล
———————————
บทที่ 1: จุดเริ่มต้นที่ไม่ธรรมดา
ตอนที่ 2: มิตรภาพใต้ร่มไม้ใหญ่
แสงแดดยามสายสาดส่องผ่านกระจกหน้าต่างของอาคารเรียน โรงเรียนนานาชาติที่อาคิระศึกษาอยู่เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา อาคารทันสมัยถูกออกแบบให้กลมกลืนกับพื้นที่สีเขียวโดยรอบ ทำให้บรรยากาศสดใสและเป็นกันเอง นักเรียนหลากหลายเชื้อชาติต่างสานสัมพันธ์กันผ่านกิจกรรมและบทเรียนที่แฝงไปด้วยความคิดสร้างสรรค์
อาคิระเดินเข้าห้องเรียนพร้อมกระเป๋าเป้ที่พาดบ่า หูฟังข้างหนึ่งยังเสียบอยู่ในหู เพลงโปรดจากลิสต์ของเขาคลอเบา ๆ ขณะที่เขาก้าวเท้าเข้าไปในห้อง เมย์ หรือ ณิชาพัชร์ วงศ์ปรีชา เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเด็กของเขาเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะเรียนพร้อมโบกมือให้
“อาคิน! มาแล้วเหรอ?” เมย์เรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่เขาคุ้นเคย
“สายอีกแล้วนะ กีกี้” จิน หรือ ชลธิชา สุขสมบัติ เพื่อนผู้ร่าเริงแซวทันที ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ก็ไม่ได้สายขนาดนั้นสักหน่อย” อาคิระตอบพลางหัวเราะเบา ๆ
“อากี้!” วิน หรือ ธนวินท์ สุขเจริญ ทักขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ “ฉันเกือบจะโทรไปลากนายมาจากบ้านแล้วนะ!”
“นายไม่ต้องห่วงขนาดนั้นก็ได้” อาคิระตอบพร้อมยิ้มกว้าง เขารู้สึกอบอุ่นทุกครั้งเมื่ออยู่ท่ามกลางเพื่อน ๆ
“หวังว่านายจะไม่ลืมแผนที่พวกเราซ้อมเมื่อวานนะ” นนท์ หรือ อนนท์ วิริยะศักดิ์ ผู้จริงจังประจำกลุ่มเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเขาเต็มไปด้วยความตั้งใจขณะก้มหน้าจดอะไรบางอย่างในสมุด
“ไม่น่าลืมหรอก” อาคิระตอบพลางยักไหล่ ก่อนเดินไปนั่งที่โต๊ะของเขา ซึ่งอยู่ข้างเมย์
เสียงพูดคุยของเพื่อน ๆ เต็มไปด้วยความสนุกสนานและบรรยากาศที่แสนผ่อนคลาย จินขยับเข้าไปนั่งใกล้เมย์ พร้อมแซวนนท์ที่ยังคงจดแผนอย่างตั้งอกตั้งใจ
“นนท์ นายจริงจังเกินไปหรือเปล่า?” จินถามพร้อมหัวเราะ
“ถ้าจะทำ ต้องทำให้ดีที่สุด” นนท์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ก็จริงนะ” วินเสริม “แต่ถ้าเราได้รางวัลใหญ่ด้วย มันจะเจ๋งสุด ๆ ไปเลย!”
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุย เสียงกระซิบแผ่วเบาก็ดังขึ้นในหัวของอาคิระ มันฟังดูเหมือนเสียงเรียกชื่อเขา “อาคิน…”
เขาขมวดคิ้ว หันไปมองเมย์ด้วยความสงสัย “เมย์ เธอเรียกฉันเหรอ?”
“ไม่ได้เรียกนะ” เมย์ตอบพลางยิ้ม “มีอะไรหรอ?”
“เปล่า… ไม่มีอะไร” อาคิระตอบ แต่ความสงสัยยังคงติดอยู่ในใจ
เสียงกริ่งบอกเวลาพักกลางวันดังขึ้น นักเรียนคนอื่นพากันมุ่งหน้าไปยังโรงอาหาร แต่กลุ่มของอาคิระเลือกเดินไปยังสนามกีฬาที่มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา ซึ่งเป็นจุดนัดพบประจำของพวกเขา
เมย์หยิบกล่องข้าวที่เตรียมมาเองออกมาเปิด เผยให้เห็นข้าวปั้นสอดไส้ที่จัดไว้อย่างสวยงาม
“วันนี้ฉันทำข้าวปั้นมาด้วย ลองสิ อาคิน นายด้วย” เมย์พูดพลางยื่นข้าวปั้นให้เพื่อน ๆ
อาคิระกัดคำแรกก่อนจะพยักหน้า “อื้ม อร่อยมากเลย ฝีมือไม่เคยตกจริง ๆ นะ”
“อร่อยจนเหมือนซื้อจากร้านดังเลย!” วินเสริมพร้อมหยิบอีกชิ้นเข้าปาก
“ขอบคุณนะ” เมย์พูดพร้อมรอยยิ้มเขิน ๆ แต่สีหน้าของเธอเปี่ยมไปด้วยความดีใจ
ขณะที่พวกเขากำลังเพลิดเพลินกับมื้อเที่ยง เสียงกระซิบแผ่วเบานั้นดังขึ้นอีกครั้งในหัวของอาคิระ “อาคิน… มานี่สิ…”
เขาสะดุ้งเงียบ ๆ ก่อนหันไปมองรอบตัว แต่ไม่มีอะไรผิดปกติ
“เป็นอะไรหรือเปล่า?” เมย์ถามด้วยความเป็นห่วง
“เปล่าหรอก แค่คิดอะไรนิดหน่อย” อาคิระตอบ พยายามทำตัวให้ปกติ
หลังจากมื้อเที่ยงจบลง ทุกคนเริ่มพูดคุยถึงแผนการซ้อมเกมในตอนเย็น นนท์หยิบสมุดจดของเขาออกมาอธิบายกลยุทธ์ใหม่ เมย์และจินช่วยเติมไอเดีย ขณะที่วินฟังอย่างตั้งใจ
“ฉันว่าเราเริ่มด้วยการบุกป่าฝั่งตรงข้ามก่อนดีไหม?” เมย์เสนอ
“ถ้าทำแบบนั้นต้องดูจังหวะดี ๆ อย่าให้เสียเปรียบกลางเกม” อาคิระเสริมด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แผนนี้ดูใช้ได้เลย” วินพูดพลางพยักหน้า “แต่ถ้าฝั่งตรงข้ามบุกสวนกลับจะทำไงดี?”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น คงต้องถอยมาตั้งรับก่อน” นนท์ตอบพร้อมวาดเส้นบนแผนที่
จินหยิบกล้องโพลารอยด์ขึ้นมาถ่ายรูปกลุ่ม “มา ๆ ถ่ายไว้เผื่อวันไหนเราไม่ได้มารวมตัวกันแบบนี้อีก”
อาคิระมองภาพถ่ายในมือ รู้สึกถึงมิตรภาพที่แน่นแฟ้นของพวกเขา
“พวกเรานี่เจ๋งที่สุดจริง ๆ” วินพูดพลางยิ้ม
“แน่นอน!” อาคิระตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง
แม้เสียงหัวเราะจะเติมเต็มช่วงเวลานั้น แต่เสียงกระซิบที่ดังก้องอยู่ในหัวของอาคิระก็ยังคงคอยรบกวนเขา มันเป็นเสียงที่เขารู้สึกว่ากำลังเรียกเขาไปสู่อะไรบางอย่างที่เขาไม่อาจเข้าใจได้ในตอนนี้…
—————————————
บทที่ 1: จุดเริ่มต้นที่ไม่ธรรมดา
ตอนที่ 3: วันหยุดแห่งมิตรภาพ
เช้าวันเสาร์ แสงแดดอ่อน ๆ สาดลอดผ่านกิ่งไม้ใหญ่ริมถนนในซอยเงียบสงบ บ้านของนนท์ตั้งอยู่ในย่านที่เต็มไปด้วยต้นไม้ร่มรื่น ทำให้บรรยากาศดูสงบและเย็นสบาย อาคิระเดินมาถึงหน้าบ้านช้าไปเล็กน้อย เหงื่อซึมเล็กน้อยจากการเดินทางในแสงแดดอุ่น ๆ จินที่นั่งอยู่ตรงม้านั่งหน้าบ้านรีบลุกขึ้นกวักมือเรียกทันที
“กีกี้! ทำไมมาสายแบบนี้ล่ะ พวกเรารอจนเหงาแล้วนะ!” จินพูดพลางย่นคิ้ว แต่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเธอก็ยังคงอยู่
“ก็ไม่ได้สายขนาดนั้นสักหน่อย” อาคิระตอบพร้อมเกาหัวแก้เก้อ “รถมันติดนิดหน่อยน่ะ”
“ก็มาให้มันเช้ากว่านี้สิ” จินยังคงแหย่ไม่หยุด
“เข้ามาข้างในเถอะ นนท์กำลังตั้งค่าคอมพิวเตอร์อยู่” เมย์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ห้องนั่งเล่นของนนท์เป็นพื้นที่เล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยข้าวของเกี่ยวกับเกมและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ทุกคนล้อมกันอยู่รอบจอคอมพิวเตอร์ตัวใหญ่ วินนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาพร้อมแก้วน้ำอัดลมในมือ ส่วนนนท์จดจ่ออยู่กับการเปิดโปรแกรมออกแบบเกม
“มาพอดีเลย อากี้!” นนท์หันมาทักเมื่อเห็นเขา “เรากำลังจะเริ่มวางแผนฉากใหม่กัน”
“ดีเลย!” อาคิระตอบก่อนจะวางกระเป๋าแล้วนั่งลงข้าง ๆ
ทุกคนเริ่มต้นพูดคุยถึงไอเดียใหม่ อาคิระที่รับหน้าที่คิดเนื้อเรื่องเริ่มอธิบาย “ลองคิดดูนะ ถ้าเริ่มเกมด้วยฉากที่ผู้เล่นต้องทำภารกิจในป่า เจอมอนสเตอร์ง่าย ๆ แล้วค่อยเข้าสู่เมืองใหญ่ จะสมเหตุสมผลแล้วก็ดึงดูดคนเล่นได้ดี”
“เจ๋งเลย! แล้วในป่าควรมีไอเท็มลับด้วยนะ ให้ผู้เล่นต้องขยันสำรวจ” จินพูดพลางตบเข่า
“แบบนั้นน่าสนใจมาก” เมย์เสริม “อาจจะใส่กับดักหรือปริศนาเล็ก ๆ เข้าไป ให้ผู้เล่นได้ลองใช้ไหวพริบด้วย”
วินที่นั่งเงียบอยู่พักใหญ่พูดขึ้น “เพิ่มศัตรูที่ฉลาดขึ้นอีกหน่อยก็น่าจะดีนะ แบบที่ผู้เล่นต้องวางแผนสู้ ไม่ใช่แค่พุ่งเข้าไปฟันอย่างเดียว”
“เจ๋งเลยวิน!” นนท์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนจะรีบพิมพ์สิ่งที่วินเสนอเข้าไปในโปรแกรม
ระหว่างที่พวกเขากำลังคิดเนื้อเรื่องอยู่นั้น อาคิระกลับได้ยินเสียงแปลก ๆ มันเหมือนเสียงกระจกแตกร้าว เสียงนั้นเบาและแว่วในหัว เขาชะงักเล็กน้อย หันไปมองรอบตัว
“เป็นอะไรหรือเปล่า?” เมย์ถามเมื่อสังเกตเห็นท่าทีแปลก ๆ
“เปล่าหรอก” อาคิระตอบ พร้อมพยายามเก็บความสงสัยไว้ในใจ
เวลาเคลื่อนผ่านไปจนถึงเที่ยง นนท์ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายก่อนจะพูดขึ้น “แวะไปเที่ยวสวนสนุกกันไหม? อยู่ไม่ไกลจากนี่เอง เดี๋ยวฉันขับรถพาไป”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยอย่างตื่นเต้น พวกเขาเก็บอุปกรณ์ทั้งหมดก่อนออกเดินทาง
สวนสนุกเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยสีสันสดใสและเสียงหัวเราะของผู้คนกำลังคึกคัก จินเป็นคนแรกที่วิ่งนำไปยังมุมขายตั๋ว “รีบมาเร็ว ๆ!”
“เราจะเริ่มเล่นอะไรกันดี?” วินถามพลางมองแผนผังสวนสนุกในมือ
“รถไฟเหาะก่อนเลย!” จินตะโกนอย่างกระตือรือร้น
ทุกคนหัวเราะกับความตื่นเต้นของเธอ ก่อนจะพากันไปต่อแถว เมย์กับอาคิระได้นั่งคู่กัน เมย์จับแขนอาคิระไว้แน่นเมื่อรถไฟเริ่มไต่ขึ้นไปบนรางสูง
“กลัวเหรอ?” อาคิระแซวพร้อมรอยยิ้ม
“เปล่าสักหน่อย…อาคิน” เมย์ตอบเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่สีหน้าของเธอก็เผยให้เห็นความตื่นเต้นปนกลัว
เมื่อรถไฟเหาะพุ่งลงอย่างรวดเร็ว เสียงกรีดร้องของทุกคนดังลั่น แต่เมื่อเครื่องเล่นหยุด เมย์กลับหัวเราะออกมาพร้อมพูด “มันสนุกกว่าที่คิดแฮะ!”
พวกเขาเดินเล่นต่อในสวนสนุก เล่นเครื่องเล่นอีกหลายอย่าง เช่น บ้านผีสิงและชิงช้าสวรรค์ ระหว่างนั้นเสียงกระจกแตกร้าวดังขึ้นอีกในหัวของอาคิระ เขาชะงักและมองรอบตัว แต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ
“นายเป็นอะไรหรือเปล่า?” เมย์ถามอีกครั้ง
อาคิระลังเลก่อนตอบ “ก็แค่… เหมือนจะได้ยินเสียงแปลก ๆ น่ะ”
“เสียงแปลก ๆ?” จินหันมามองด้วยสายตาสงสัย “หรือว่านายกำลังจะถูกต่างโลกเรียกตัวไปเป็นผู้กล้า?”
“ไม่ใช่สักหน่อย!” อาคิระตอบพลางหัวเราะ แต่ลึก ๆ แล้วคำพูดของจินก็ทำให้เขาอดคิดไม่ได้
“เอาน่า ไม่ว่ายังไงก็ตาม เราพร้อมจะอยู่ข้างนายเสมอ” วินพูดพร้อมยิ้มให้ “ฉันจะปกป้องนายเอง ไม่ต้องห่วง”
“ใช่! พวกเราทุกคนจะอยู่ด้วยกัน ไม่ว่านายจะไปเจออะไร” เมย์เสริมด้วยน้ำเสียงจริงจัง แต่ก็มีความเขินเล็กน้อยในแววตา
เสียงหัวเราะของเพื่อน ๆ ยังคงก้องอยู่ในบรรยากาศ ขณะที่พระอาทิตย์ค่อย ๆ ลับขอบฟ้า แม้อาคิระจะยังคงรู้สึกแปลก ๆ กับเสียงกระจกแตกร้าวในหัว แต่เขาก็ไม่อยากให้มันมาบดบังช่วงเวลาที่มีค่ากับเพื่อน ๆ เขาไม่รู้เลยว่าในอีกไม่นาน เสียงเหล่านั้นจะเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปตลอดกาล…
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 21
Comments