2nd morning x 01| Slyer or Serial Killer

02

กว่าจะรู้ตัว

ก็เจ็บปวดไปหมดเพราะคุณ

‘ดูดนตรีอื่นบ้างก็ได้นะ’

‘แสดงว่าดูผมมาตลอดงั้นสิ?’

‘ก็เหมือนที่คุณมายืนตรงนี้ตั้งแต่หกโมงเย็น’

‘พายุ’

‘ครับ?’

‘ผมชื่อพายุ’

‘อ้อ’

‘แล้วที่ผมมองก็คือคุณ ไม่ใช่กีตาร์เลยซักนิด’

เพล้ง!

ชามกระเบื้องสีขาวที่บรรจุมื้ออาหารซึ่งน่าจะเป็นมื้อเช้าถูกปัดออกจากโต๊ะทานข้าวจนแตก

แสงแดดที่ส่องกระทบดวงตาทำผมหงุดหงิดจนต้องกวาดทุกอย่างกระจัดกระจาย ภาชนะระเกะระกะรายเรียงอยู่บนพื้น

แต่นั่นก็ไม่เท่าความรู้สึกของผมที่แตกละเอียด

“ผมไม่กิน!!”

มันไม่เหลือชิ้นดี

ไม่เหลือแม้แต่รูปร่าง

“คนไข้คะ”

“ลมหนาว ลมหนาวอยู่ไหน! ผมจะหาลม”

“มาช่วยทางนี้หน่อย เอาไม่ไหวแล้วค่ะ”

“ปล่อยผม ผมจะไปหาลม ไม่! ปล่อย!!”

ชายฉกรรจ์สองสามคนที่สวมชุดบุรุษพยาบาลตรงเข้ามายึดแขนผมไว้

แนบมันไปกับเตียง ถ้าเป็นผมในสภาพที่เต็มร้อยคงจะสะบัดปัดป้องแล้วเอาตัวรอดได้

แต่ตอนนี้ ตรงท้ายทอยรวมถึงแผ่นหลังยังปวดระบมเนื่องจากถูกทำร้าย ให้ตายเถอะแม่ง

แขนของผมถูกมัดขึงกับราวเตียง ผมไม่อาจขัดขืน ขาของผมถูกจับตรึงจนไม่อาจขยับ

สลัดเท่าไหร่ก็ไม่หลุด ก่อนเข็มแหลมเล็กจะค่อยๆแตะลงบนท่อนแขน แทงทะลุชั้นผิวหนัง ปล่อยให้ของเหลวด้านในไหลผ่านเข้ามา

ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือบานประตูที่เปิดค้างไว้

ผมร้องไห้ หัวใจเต้นแรง

แล้วก็หลับไปทั้งอย่างนั้น...

“ไอ้ยุ...พายุ”

เสียงเรียกพร้อมแรงตบเบาๆที่ค้างแก้มทำเปลือกตาของผมค่อยๆยกขึ้น

ผมมองภาพเรือนลางที่กำลังก้มหน้าเข้ามาใกล้ด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ออก และก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยความรู้สึกแตกสลาย

“ลม...ลมหนาว”

เป็นเขาใช่มั้ย ลมหนาวของผมใช่มั้ย

เขาจะมาบอกใช่มั้ยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเป็นเพียงแค่ความฝัน เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ใช่ความจริง

ไม่สิ...มันไม่เคยเข้าใกล้ความจริง

“ลมหนาวอะไร กูเอง”

แต่แล้วความหวังของผมก็ร่วงหล่นลงจากก้อนเมฆ กระแทกกับพื้นดินจนไม่เหลือแม้แต่แรงจะลุก

ภาพของคนที่อยู่เบื้องหน้าไม่ใช่ลมหนาว เป็นเพื่อนชายคนสนิทต่างหาก

“ภาส”

“เออ ไหวมั้ยเนี่ย

เชี่ย! มึงร้องไห้ทำไม”

ภาพของเขาไม่อาจลบหายไปจากหัวผมได้เลย

ดวงตาที่เบิกค้าง ริมฝีปากที่กระอักไปด้วยลิ่มเลือด เราสบตากัน แม้จะพร่าเบลอจากละอองฝน

เสียงร้องไห้ถูกใช้แทนคำพูดทั้งหมดเพื่อบอกกับภาส

มันคงจะเป็นการบรรยายความรู้สึกของผมในตอนนี้ได้ดีที่สุด

“กูเชื่อแล้วว่าหนักจริง”

ภาสลากเก้าอี้มานั่งลงข้างๆ

ลูบแขนผมที่ไม่อาจกลั้นน้ำตาได้ซักหยด อีกฝ่ายไม่คิดจะห้ามปราม

อาจเพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าความรู้สึกอยู่เหนือการควบคุม ผมร้องไห้ ยกแขนปิดใบหน้าอันแสนอ่อนแอ

ทำอยู่อย่างนั้นร่วมชั่วโมง ร้องจนสุดท้ายน้ำตาก็ถูกเปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้น

ไม่ใช่ว่าผมเจ็บน้อยลงหรอก

แต่มันเจ็บจนร้องไม่ออกแล้วต่างหาก

“ไหน ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น

ทำไมมึงกับไอ้กฤตถึงสภาพเป็นหมาแบบนี้ ไปฟัดกับใครมา”

ภาสเอ่ยถามในที่สุดเมื่อผมสงบลง

พยามจะยันตัวลุกขึ้นนั่งจนเพื่อนชายต้องเข้ามาช่วยประคอง

ใบหน้าของผมคงเต็มไปด้วยคราบน้ำตา สภาพผมในตอนนี้คงย่ำแย่ไม่ต่างจากแคคตัสเน่าๆ

“ไอ้กฤต...ไม่ได้เล่า?”

ผมประหลาดใจเล็กน้อย

ภาสบอกว่าอีกฝ่ายไปเยี่ยมกฤตมาก่อนผม คิดว่าทางนั้นจะเล่าเรื่องเหตุการณ์เมื่อคืนไปเรียบร้อย

แต่ไม่ใช่เลย กฤตไม่ปริปาก และถ้าให้ผมเดา...

“มันบอกมึงควรจะเป็นฝ่ายพูดมากกว่า”

นั่นสินะ เพราะคนที่เจ็บปวดที่สุดคือผม

“พวกกู...ถูกจี้เอาเงิน”

“ห๊ะ จี้เอาเงิน?”

ผมเลือกที่จะปกปิดความจริง

ทั้งๆที่รู้ดีว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นยังไง แต่ผมไม่อยากให้ใครกล่าวหาลมหนาวในทางแย่ๆ

ไม่อยากให้ใครพูดถึงลมหนาวในทางร้ายๆ ไม่อยากให้ใครก่นด่าลมหนาว จะว่าผมปกป้องฆาตกรก็ได้

แต่ในเมื่อ...เขาไม่อยู่กับผมแล้ว

ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ขอให้เป็นผมคนเดียวที่แบกรับเรื่องของเขาไว้เถอะ

“ถึงว่า แม่งเล่นพวกมึงอย่างแรง

ดีนะที่ไม่มีใครเป็นอะไร ตอนเปิดประตูไปเจอไอ้กฤตกูตกใจฉิบหาย”

“อืม...กฤตไม่เป็นไรก็ดี”

เพราะผมเองก็เป็นหนึ่งในต้นเหตุที่ทำให้มันต้องพลอยเจ็บตัวไปด้วย

“แล้วไอ้ลมหนาว มึงพูดถึงมันทำไม

อย่าบอกนะว่าอยู่ด้วยกัน”

“ลม...ลมโดนไปด้วย”

เสียงผมสั่นสะอื้นเมื่อต้องพูดถึงเรื่องของใครบางคน

ถ้าผมรู้อนาคต รู้ว่าเขาจะจากไป วันนั้นผมจะไม่ยอมปล่อยมือจากเขา จะกอดรั้งเขาไว้

ต่อให้ต้องทำเขาไม่มีความสุขผมก็จะทำ...

“ไอ้ยุ มึงหยุดร้องก่อน”

“...กูสงสารลม ฮึก ทำไมต้องเป็นแบบนี้”

ต่อให้ต้องกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวผมก็จะทำ...

“เป็นอะไร? ไอ้ลมมันเป็นอะไร”

“มึงถามกูแบบนี้เพื่ออะไรภาส มึงไม่รู้หรือไงวะ!”

“เห้ย จะขึ้นเสียงทำไมเนี่ย

พูดเหมือนไอ้ลมตายห่าซะอย่างนั้น”

ผมใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีกระชากคอเสื้อเพื่อนสนิทจนอีกฝ่ายเซเล็กน้อย

ดวงตาผมวาวโรจน์จนไม่อาจควบคุมโทสะ ต่อให้เลิกกัน ต่อให้ไม่ได้อยู่ด้วยกัน

ต่อให้พรากจากกัน ผมก็ไม่เคยสบอารมณ์ทุกครั้งเวลามีคนพูดถึงลมหนาวของผมแบบนี้

“ลมโดนยิง! ลมไม่อยู่กับกูแล้วภาส ฮึก ลมไม่อยู่กับกูแล้วมึงได้ยินมั้ย!!”

“โดนยิง?”

“…..”

“เดี๋ยว มึงตั้งสติก่อนพายุ”

ภาสค่อยๆแกะมือผมออกจากคอเสื้อพร้อมกับเปลี่ยนมาลูบเบาๆตรงต้นแขน

ผมเหมือนล่องลอยออกไปนอกอวกาศเมื่อคิดถึงเรื่องของลมหนาว มันเคว้งคว้าง

แล้วก็วูบโหวง ยิ่งความจริงที่ว่าลมหนาวไม่อยู่กับผมแล้ว ยิ่งตอกย้ำว่าโลกของผมคงไม่เป็นอย่างเดิม

“จะเป็นแบบนั้นไปได้ไง กูยังเห็นมันลงรถเดินเข้ามามอเมื่อเช้าอยู่เลย”

เดินเข้ามาในมอ?

“...ว่ายังไงนะ?”

“เออ สวนกับกูที่กำลังจะมาเยี่ยมพวกมึงที่โรงพยาบาลเลยเนี่ย

เอาหัวเป็นประกัน หน้าหล่อๆแบบนั้นมีคนเดียวในโลก”

ไม่จริง ไม่มีทาง ผมเห็นลมตายต่อหน้าต่อตา

หรือถ้าจะบอกว่าไม่ตายยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ ลมโดนยิงเข้าที่จุดสำคัญตั้งหลายนัด

ยิ่งนึกถึงภาพที่เกิดขึ้นหัวใจผมก็ปวดหนึบไปหมด แล้วไอ้ภาสดันมาบอกว่าลมไม่เป็นอะไรเลย…

“ภาส กูไม่เล่น”

“กูจะโกหกมึงทำไมไอ้สัด

มึงไปดูให้เห็นกับตาเลยมั้ยล่ะ พรุ่งนี้ก็มีนัดประชุมฝ่ายหนิ”

“กูจะไปหาลม”

“ไม่ใช่วันนี้ไอ้ยุ”

“กูต้องไปหาลม กูจะไปดูให้แน่ใจว่าลมยังอยู่”

“หมอยังไม่ให้มึงออกวันนี้ไอ้เหี้ย หยุดเดี๋ยวนี้”

“ภาส มึงอย่าเสือก”

“กูจะยิ่งเสือก แล้วก็จะโทรบอกแม่มึงกับอาดีนเรื่องที่เกิดขึ้น”

ผมกำมือแน่น

กัดฟันกรอดเมื่อได้ยินคำขู่ของเพื่อนสนิท แม่เป็นคนเดียวที่ผมไม่อยากให้รับรู้เรื่องการเจ็บตัวที่สุด

ไม่ใช่ว่าผมเกลียดแม่ แต่ผมไม่อยากให้แม่เป็นห่วงผมมากเกินไปต่างหาก

เพราะครั้งล่าสุดที่แม่ส่งบอดี้การ์ดมาตามประกบเกือบเดือนก็ทำผมไม่เป็นอันทำอะไร

แถมยังรู้สึกไม่เป็นส่วนตัวมากๆ

“ยังไม่ได้โทรบอกจริงๆใช่มั้ย”

“กูจะโทรบอกเดี๋ยวนี้ถ้ามึงยังจะดันทุรังไปหาไอ้ลม”

“แม่งเอ๊ย!”

ผมล้มตัวลงนอน ทุบฝ่ามือลงข้างเตียงอย่างหัวเสีย

หัวใจผมมันกระวนกระวายไปหมด ทั้งห่วงลมหนาว แล้วก็ไม่อยากให้แม่กับอาดีนต้องมาเครียดเรื่องของผม

สาบานเลยว่าถ้าผมรู้เรื่องนี้ก่อนที่ไอ้ภาสจะบอก

ร่างของผมคงไม่อยู่ในโรงพยาบาลแน่ๆ

“กูจะโกรธไปจนวันตายถ้ามึงโกหกกู”

“พอเป็นเรื่องแฟนเก่านี่ไม่ได้เลยนะ”

“ภาส”

“เออไอ้สัด กูไม่ได้โกหก มันไม่ได้เป็นอะไรหรอก

ยกเว้นมันจะหนีหน้ามึงอีกรอบนั่นแหละ”

“เย็นนี้...กูจะไปหาลม”

“มึงควรนอนพักไปอีกสองสามวันด้วยซ้ำพายุ”

“กูจะไปหาลม”

“กูให้พรุ่งนี้”

“จะไปหาลม จะไปเย็นนี้”

“ไปเย็นนี้กูโทรหาแม่มึงกับอาดีน”

“มึงจำไว้นะภาส”

สุดท้ายผมก็ถูกทิ้งไว้บนเตียงผู้ป่วยด้วยใจกระวนกระวาย

ผมหยิบโทรศัพท์ที่หน้าจอแตกนิดหน่อยขึ้นมาต่อสายหาลมหนาว และมันก็เป็นเหมือนอย่างเดิมทุกครั้ง...เขาปิดเบอร์ไปแล้ว

และเรื่องที่ตลกกว่าก็คือ

ผมมักโทรหาเบอร์นี้บ่อยครั้ง

ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าจะไม่มีคนรับ

ภาสบ่นผมเรื่องที่ทำพฤติกรรมไม่ดีกับพี่พยาบาล

ผมรู้สึกผิดเมื่อคิดได้ทีหลัง แต่อารมณ์ในตอนนั้นมันดิ่งเกินแบกรับไหว

คุณเคยรักใครมากๆแล้วตื่นมาเพื่อพบว่าเขาไม่อยู่อีกแล้วมั้ย? ยอมรับว่าตอนภาสบอกข่าวดีผมยังรู้สึกไม่ค่อยเชื่อ

จนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น  ไม่มีทาง...

ผมจะต้องได้เห็นลมหนาวปลอดภัยด้วยตาของตนเอง

‘ฝุ่น เชี่ย ใส่ชุดคนป่วย มึงเข้าโรงบาลหรอ!?’

ผมมองเงาสะท้อนของตนเองที่กำลังปั้นหน้าตื่นตระหนกตกใจบนบานกระจกที่ถูกผ้าม่านปิดไว้ครึ่งหนึ่ง

มันเป็นเวลาสี่ทุ่มที่พี่พยาบาลเดินเข้ามาดับไฟเพื่อส่งผมเข้านอนพร้อมจ่ายยาแก้ปวด

แต่ผมนอนไม่หลับ ข่มตายังไงสมองก็พลันนึกถึงแต่เรื่องของใครบางคน

‘สตอร์มมึงเลิกเสียงดังได้ไหม

กูนึกว่าผีทุกครั้ง’

‘กูก็เสียงดังกับเฉพาะแค่พวกมึงแหละ

ตัวจริงกูเท่ๆคูลๆ’

‘รำคาญ น่ารำคาญไปหมด’

“กูนอนเฉยๆ”ผมว่าเมื่อเห็นอีกคนทำท่าหัวร้อนหน่อยๆ

‘กูไม่ได้ว่ามึงไอ้ฝุ่น’

‘อะไรวะ เมื่อกี้ยังบอกอยู่เลยว่าน่ารำคาญไปหมด’

‘เปลี่ยนเป็นมึงคนเดียวแล้วกัน’

‘เห้อ’

‘แล้วว่าแต่เป็นอะไรวะฝุ่น ทำไมเข้าโรงบาล’

“เรื่องมันยาว ไว้ค่อยเล่า ขอนอนก่อน”

‘เมื่อกี้ยังไม่เห็นทำท่าจะนอน ฝุ่น เห้ย

ไอ้ฝุ่น ไต้ฝุ่น!’

ผมตื่นขึ้นมาตอนเจ็ดโมงเช้า

แน่นอนว่าเมื่อคืนที่พูดจาตัดบทก็เพราะไม่อยากเล่าเรื่องลมหนาวล้วนๆ ยิ่งนึกถึงภาพในคืนนั้นก็ยิ่งวิ่งเข้ามาในหัว

ความรู้สึกของผมในตอนนี้ยังรับอะไรทำนองนั้นไม่ไหวเท่าไหร่

คุณหมอเข้ามาดูอาการพร้อมบอกว่าถ้าอยากกลับก็กลับได้

แต่ให้มาเช็คร่างกายทันทีถ้ารู้สึกปวดตรงไหนเป็นพิเศษ

เคลียร์ค่าใช้จ่ายเสร็จผมก็แวะไปรับกฤตที่ห้องข้างๆ

มันบอกว่าถ้าผมกลับมันก็กลับด้วยเพราะค่าห้องโรงพยาบาลเอกชนแบบนี้ขืนอยู่นานก็คงจ่ายไม่ไหว

“ยุ มึง...เห็นเหมือนกูใช่มั้ย”

“ลมยังไม่ตาย ไอ้ภาสบอกแบบนั้น”

ผมว่าขึ้นในตอนที่เลี้ยวรถเข้าจอดยังตึกเรียนรวม

ตลอดทางเหมือนกฤตกับผมยังคงติดอยู่ในเหตุการณ์คืนนั้นไม่หาย

เพียงแค่ไม่มีใครยอมเอ่ยปากบอกความคิดในหัวออกมาก่อน ทีแรกกฤตชวนกลับไปพักผ่อนที่ห้อง

แต่ผมดันทุรังจะมาเจอใครบางคนให้ได้

“จะเป็นไปได้ยังวะ

ถึงกูจะเห็นแว้บๆเพราะสลบไปก่อน แต่โดนยิงตั้งขนาดนั้น

ถ้าไม่ตายอย่างน้อยก็คงต้องนอนโรงบาลเป็นปี”

“กูถึงต้องมาพิสูจน์ให้เห็นกับตา”

“มึงคงไม่ได้ยังอาวรณ์มันอยู่ใช่มั้ย?”

ผมไม่ใช่คนโกหก

ยิ่งเป็นเรื่องของความรู้สึกที่มีต่อลมหนาวยิ่งยากจะโกหก

ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อไหร่ตนเองจะออกความรู้สึกนี้ได้ ผมคิดว่าตลอดระยะเวลาสามปีมันคงทำให้ผมลืมเขาไปได้บ้าง

แต่ไม่ใช่เลย เพราะแค่เพียงวินาทีที่เราเจอกันอีกครั้ง

 “ยุ”

ผมก็ตกหลุมรักเขาซ้ำๆ

“กูห้ามอะไรไม่ได้เลยกฤต”

“มึงต้องห้ามได้ จำความรู้สึกที่มันทำกับมึงได้มั้ย

จำวันที่มันทิ้งมึงไปอย่างไม่ใยดีได้มั้ย ไหนจะอาการป่วยของมึงอีก

มันเคยรับรู้อะไรบ้างหรือเปล่า คนรักกันเขาทำแบบนี้ให้กันหรอวะ โคตรเลว”

ถ้าทุกอย่างที่กฤตพูดมามันทำง่ายเหมือนปิดสวิตช์ไฟก็คงดี

ถ้ามีปุ่มกดให้ลืมความเจ็บปวดที่ลมหนาวทำไว้ผมก็จะรีบกดปิดมันเสียเดี๋ยวนี้

แต่ความเป็นจริงไม่ใช่เลย…

“กูจะพยายาม”

ปุ่มนั้นต้องเป็นลมหนาวคนเดียวนั่นแหละที่ปิดได้

เรามาถึงอาคารเรียนรวมก่อนเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง

นั่นเท่ากับว่านักศึกษาหลายคนยังคงอยู่ในช่วงเดินทาง ผมรอเวลาให้ถึงตอนบ่ายที่จะต้องเข้าองค์การนักศึกษาเพื่อนัดประชุมฝ่ายสถานที่ของค่ายปันฝันไม่ไหว

ผมอยากเห็นหน้าเขา อยากรู้ว่าเขายังปลอดภัยดี

หรือถ้าให้ออกไปคณะศิลปกรรมตอนนี้ได้ผมก็จะทำ

อย่างน้อยก็เพื่อให้หัวใจของผมเลิกเจ็บปวดเพราะคอยเอาแต่รับรู้ว่าได้สูญเสียเขาไป

“กฤต กูขอไปคณะสินกำ”

สุดท้ายผมก็ทนไม่ไหว ผมอยากเจอลมหนาว

“ยุ กูรู้นะว่ามึงคิดอะไร”

“กูขอร้อง

กูต้องรู้ให้ได้จริงๆว่าเขาไม่เป็นอะไรแบบที่ไอ้ภาสพูด”

“ยุ เห้ยไอ้ยุ!”

ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ ผมก็รีบวิ่งลงจากบันไดสโลปของห้องตรงไปยังประตู

ทว่าขาของผมกลับต้องหยุดชะงักเมื่อภาพของคนที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าคือคนคนเดียวกันกับคนที่ผมกำลังจะตามหา

“ลม”

เขาอยู่ตรงนี้...

อยู่ตรงนี้แล้วจริงๆ

 “อ๊ะ!”

ร่างสูงโปร่งถูกผมดึงเข้ามารัดไว้เต็มอ้อมกอด

คนถูกกอดหลุดอุทานออกมาเล็กน้อยด้วยความตกใจ มันอาจจะดูเก้ๆกังๆเพราะตัวเราเท่ากัน

แต่ผมไม่ได้ใส่ใจ ผมรับรู้เพียงแค่ว่าคำพูดของภาสได้รับการพิสูจน์

ลมหนาวอยู่กับผมแล้ว

“ลม...ลมจริงๆด้วย! ลมไม่เป็นอะไร”

ผมทาบมือไปตามกรอบหน้าของอีกฝ่าย หยดน้ำสีใสเริ่มเอ่อคลอ

หัวใจผมเต้นลิงโลดจนเผลอดึงเขาเข้ามากอดอีกรอบ ดวงตาอย่างนี้ จมูกอย่างนี้

ทรงผมอย่างนี้ สัมผัสอบอุ่นอย่างนี้ เป็นเขาจริงๆ เป็นลมหนาวของผมจริงๆ

ลมหนาวของผมกลับมาแล้ว

“ขอโทษนะครับ!”

แขนของผมที่โอบรัดถูกแกะออกอย่างไม่ใยดีจากเจ้าของฝ่ามืออันแสนคิดถึง

นั่นทำให้ผมรับรู้ว่าตนเองกำลังล้ำเส้น

นั่นสินะ...สถานภาพของเราในตอนนี้ไม่ใช่คนรักกันอีกต่อไป

เราเป็นเพียงคนที่‘เคย’รัก

“คือ...ลมไม่เจ็บตรงไหนใช่มั้ย

ไม่ได้เป็นอะไรใช่มั้ย”

พอนึกขึ้นได้ก็พยายามจับไปตามเนื้อตัวของเขา แต่สิ่งที่ได้รับกลับมานั่นคือฝ่ามือที่ถูกปัดออกจากลำตัวของคนตรงหน้า

ผมล้ำเส้นเขาเป็นครั้งที่สอง

“ยุ มึงเลิกห่วงคนแบบนี้เสียที โคตรเสียเวลาเลย

ดูมันดิ แคร์มึงที่ไหน”

กฤตที่เฝ้าดูเหตุการณ์จนไม่ไหว เดินเข้ามาดึงไหล่ผมให้เอนโอนไปทางเจ้าตัว

“แล้วไอ้ลม ไหนบอกว่าเลิกยุ่งกับเพื่อนกูแล้วไง

แล้วนี่อะไร มึงมาที่นี่ทำไม”

“ผมมาเรียน วิชา000”

“เหอะ”

“โอ้ย ถ้าพวกผมรู้ว่าลงเรียนแล้วต้องมาเจอคนอย่างพวกพี่

พวกผมก็คงไม่ลงหรอก เสียอารมณ์ฉิบหาย”

เด็กชายตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างลมหนาวว่าขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจเอามากๆ

เจ้าตัวก็คงจะเฝ้าดูเหตุการณ์จนทนไม่ไหวเช่นเดียวกัน

“ถอนไปดิ ค่ายก็ด้วย

ไสหัวออกไปจากชีวิตเพื่อนกูให้หมด”

“เป็นใครมาสั่งคนอื่นวะ”

“แล้วมึงจะทำไมไอ้เตี้ย?”

“นั่นไม่ใช่ปัญหาของผม กฤตมีปัญหาอยู่คนเดียว”

“มึงว่าไงนะ”

กฤตคิ้วกระตุกพร้อมกับหันไปมองเมื่อสิ้นคำพูดของลมหนาว

เป็นผมที่จับไหล่เพื่อนชายไว้ไม่ให้พุ่งตัวเข้าใส่ใครบางคน เหมือนไอ้กฤตจะเริ่มฟิวส์ขาดเพราะคำพูดของคนที่แสนจะเย็นชา

“พอมาคิดดูทำไมผมต้องออก

ทั้งเรื่องเรียนแล้วก็เรื่องค่าย ผมไม่ได้มีปัญหากับใคร ผมเรียนได้ ทำกิจกรรมได้

แต่คนที่มีปัญหามีแค่พวกกฤต เพราะฉะนั้นคนที่ควรออกไปก็คือพวกกฤตมากกว่า”

ลมหนาวไม่ใช่คนพูดเยอะผมรู้ดีที่สุด

แถมตลอดเวลาที่คบกันผมเห็นเขาโกรธแทบนับครั้งได้เว้นเสียแต่ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่จริงๆ

กระทั่งวันนี้ ลมหนาวคงจะไม่พอใจมากๆที่กฤตหาเรื่องไม่หยุด

“ปากเก่งขึ้นนี่ งั้นมึงก็ช่วยแคร์คนอื่นด้วยนะ

โดยเฉพาะไอ้ยุ ช่วยเห็นหัวมันด้วย มันห่วงมึงแทบตาย

แต่นี่คือการตอบแทนความห่วงใยจากมึงงั้นหรอ”

“ผมว่านั่นก็ไม่ใช่เรื่องของกฤตอยู่ดี”

ผัวะ!

หมัดหนักซัดเข้าที่ข้างแก้มของคนตรงหน้าแทบจะในวินาทีเดียวกัน

กฤตหอบหายใจราวกับพยายามอดกลั้นความโกรธ ดวงตาของมันเต็มไปด้วยเชื้อเพลิงขุ่นหมอง

แถมยังจะปรี่เข้าไปซ้ำคนที่ล้มลงกับพื้น แต่ผมรีบล็อคแขนทั้งสองข้างของมันไว้ทัน

ของเหลวสีแดงไหลซิบออกจากปากลมหนาวจนหัวใจผมวูบโหวง

“ไอ้กฤต มึงทำเกินไปแล้วนะ!”

“นี่มันยังน้อยไปยุ น้อยไปด้วยซ้ำกับสิ่งที่มันเคยทำกับมึง”

“แต่กฤต มึงไม่มีสิทธิ์ไปทำร้ายเขา”

“แล้วมันมีสิทธิ์มาทำกับมึงหรอวะ

อย่าให้กูพูดนะว่านอกจากเรื่องของมึงมันทำอะไรบ้าง”

“พอแล้วหรือยัง?”

คนที่ถูกต่อยค่อยๆยันตัวขึ้น เช็ดมุมปากที่เลอะหยดเลือดออกด้วยนิ้วโป้ง

ใบหน้านิ่งเรียบฉายแววไม่สนใจโลก

นั่นยิ่งทำให้คนอารมณ์ร้อนอย่างกฤตเดือดดาลมากขึ้นเท่าทวีคูณ

“ไม่พอ!” เสียงตอบรับดังกร้าวพร้อมกับปลายนิ้วที่ยกขึ้นชี้คู่สนทนาด้วยมวลโทสะ “จำไว้นะลมหนาว กูจะเปิดโปงมึง จะทำให้ทุกคนได้รู้ว่าธาตุแท้ของมึงเป็นใคร

ทุกคนต้องได้รู้แน่ มึงคอยดูไอ้สารเลว!!”

 

 

 

 

tbc.

ฮอต

Comments

ผมว่านะถฤตคุณควรต่อยเพื่อนคุณมากกว่าเพื่อนคุณเป็นคนไม่มูฟออนไปยุ่งกับเค้าเองลมหนาวเเม่งมาเรียนอยู่เฉยๆโดนต่อยเเล้วคือวิ่งเข้าไปกอดเค้า?เพื่อเป็นคนเก่าไปเเล้วนะยังไม่รู้ตัวอีกหรอ?ลองต่อยดูสักทีให้ได้สติมั้ยอ่ะ

2022-05-14

1

ทั้งหมด
เลือกตอน

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!