(Daybreak) Morning Is Broken #ชั่วโมงหลงรัก
01
นาฬิกาของผมมันหยุดเดิน
ตั้งแต่มีคุณเข้ามาในชีวิตแล้ว
คุณเกลียดตอนเช้าหรือเปล่า? เกลียดตอนที่อากาศหนาวเบาบางของลมกลางคืนค่อยๆจางลง
เกลียดตอนที่แสงอ่อนๆของดวงอาทิตย์ส่องกระทบต้นแขนจากรูผ้าม่านที่ปิดไม่สนิท
เกลียด...
ตอนที่ตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอคนที่นอนข้างกันอีกต่อไป
เกลียด...ทั้งๆที่ก็รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นมาตลอด
แต่กลับไม่สามารถทำความรู้สึกให้ชินได้
“ลม…”
ตัวของผมน่ะ เกลียดมันทั้งหมดเลย
ครืดด ครืดด!
ผมยันตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียงอันแสนว่างเปล่าหลังเดิม
เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่กำลังสั่นครืดคราดอยู่ข้างโคมไฟ
มองสายเรียกเข้าที่โทรปลุกช้ากว่าเสมอ
เหลือบมองบานประตูห้องนอนที่ปิดสนิทพร้อมกับถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะกดรับสายดังกล่าวลงไป
[ตื่นหรือยังเนี่ยมึง]
“อืม”
มันเป็นคำถามเดิมที่ถูกถามซ้ำในทุกๆเช้า
แล้วผมก็ตอบรับไปอย่างเดิมเหมือนอย่างในทุกๆเช้า
ราวกับทั้งผมและปลายสายต่างรู้กันดีว่าต่อให้ผมจะเผลอตื่นก่อนการโทรปลุกบ่อยเท่าไหร่
ก็จะเป็นมันที่ยังคงเลือกจะโทรปลุกผมในทุกๆวัน
[เจอกันอน. จะแดกอะไรก็ไลน์มา
เนี่ยเดี๋ยวกูต้องโทรปลุกไอ้ภาสอีก]
“ทีหลังโทรปลุกแค่ไอ้ภาสก็ได้”
[เอาเห๊อะ มีกันอยู่สามคน ก็โทรมันให้หมดนี่แหละ]
รู้ดีว่าเช้าของผมนั้นแตกสลายมาเนิ่นนานแล้ว
เป็นเช้าพังๆที่ตื่นขึ้นมาเจอเศษซากอันไม่มีชิ้นดี
ก่อนผมจะประกอบมันขึ้นมาใหม่เพื่อรอให้มันพังทลายอีกครั้งในเช้าต่อมา…
‘ตื่นมาทำห่าไรตั้งแต่เช้า’
เสียงที่เหมือนกันจากคนที่หน้าตาเหมือนกันดังสะท้อนผ่านบานกระจกห้องน้ำ
ผมหยิบยาสีฟันขึ้นมาบีบใส่แปรงอย่างไม่คิดจะใส่ใจ
เปิดก๊อกให้ของเหลวด้านในหลังลงตามแรงโน้มถ่วง วักของเหลวที่ว่าเข้าใบหน้าให้สดชื่นแล้วจึงเริ่มตอบอีกฝ่ายกลับไป
“ไปเรียน ใครจะสายเหมือนมึง”
‘คนหล่อต้องการการพักผ่อนนะฝุ่น’
“มึงก็รู้กูนอนไม่ค่อยหลับ”
‘เห้อ อยากคุยเรื่องอาการมึงต่อ
แต่กูต้องไปนอนแล้ว นี่ตื่นมาขี้เฉยๆ ไว้คุย’
ไม่ทันจะได้เอ่ยคำร่ำลา ภาพที่สะท้อนตรงหน้าก็เหลือเพียงเงาของผมคนเดียว
ผมไม่ได้ใส่ใจถึงการหายไปของอีกฝ่ายนอกจากแปรงสีฟันด้ามสีน้ำเงินที่วางข้างกันอยู่ในแก้วใส
ผมรู้ดีว่าควรจะทิ้งของทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขาไป อื้ม เคยทำแล้ว...ไม่ใช่ว่าไม่เคย
หากสุดท้ายทุกอย่างก็จบลงด้วยการที่สิ่งของเหล่านั้นถูกย้ายกลับมาอยู่จุดเดิม
ผมใจไม่แข็งพอที่จะทิ้งทุกๆอย่างเกี่ยวกับเขา
ไม่เคยทำได้เลย...
องค์การนักศึกษาในวันนี้ดูครึกครื้นกว่าทุกวัน
แน่นอนว่าสาเหตุย่อมมาจากกิจกรรมประจำปีอย่างงานเปิดค่ายที่วนมาอีกครั้ง องค์การนักศึกษาของมหาลัยผมขึ้นชื่อเรื่องการจัดค่ายเยอะที่สุดเมื่อเทียบกับมออื่นๆ
ไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลเท่าไหร่ แต่ตั้งแต่อยู่มาก็ยังเข้าร่วมค่ายอาสาของที่นี่ไม่เคยครบซักทีเพราะมันเยอะจริงๆ
“พายุ เหมือนน้องฝ่ายพายุจะมากันเยอะแล้ว
ไปฝ่ายเลยก็ได้”
ผมพยักหน้ารับใบเตยที่ชี้นิ้วไปยังตึกด้านหลังซึ่งเป็นแหล่งประชุมของฝ่ายสถานที่
วันนี้เป็นวันปฐมนิเทศค่ายปันฝันขององค์การเรา อันที่จริงยังมีค่ายอีกมากมายให้เลือกเข้าร่วม
แต่ผมกับพวกไอ้กฤตและไอ้ภาสก็เลือกที่จะทำค่ายปันฝันต่อเป็นปีที่สองเพราะอยากส่งต่อความสุขให้เด็กๆ
ภาสเป็นหัวหน้าฝ่าย ส่วนผมเป็นรอง
ในขณะที่กฤตถึงแม้จะอยู่คนละฝ่ายอย่างประสานงาน
แต่ด้วยเนื้องานก็ทำให้เจ้าตัวต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับฝ่ายผมบ่อยๆ
ภาสขึ้นพูดแนะนำตัวรวมถึงค่อยๆเล่ารายละเอียดของฝ่ายเมื่อเวลามาถึง
ผมยืนข้างๆ กวาดสายตามองไปรอบๆรอจังหวะให้เพื่อนสนิทส่งไมค์มา
ทว่ามันเป็นตอนนั้นเองที่สายตาของผมสบประสานเข้ากับสายตาของใครบางคนที่นั่งอยู่ด้านหลังสุด
‘ไม่ต้องมองหาก็เจอผมเลยหรอ’
ร่างสูงโปร่งที่ไม่ได้อ้วนขึ้นหรือผอมลงไปจากเดิม
ทรงผมที่ยาวปรกหน้าผากเล็กน้อยคงเพราะไม่มีใครคอยบ่นให้ไปตัด
รวมถึงใบหน้านิ่งเรียบที่ถ้าไม่รู้จักกันมาก่อนก็คงเหมารวมไปว่าผู้ชายคนนี้ไม่น่าคบเอาซะเลย
‘ครับ
ยุเห็นลมก่อนคนอื่นเสมอนั่นแหละ’
‘ก็ผมตัวสูง’
‘ไม่เกี่ยวซักหน่อย เพราะยุสนใจลมต่างหาก’
เขาไม่ได้ต่างไปจากเดิมเลย
ไม่สิ...เขาเหมือนเดิมทุกอย่าง ดวงตา ริมฝีปาก สันจมูก
วิธีการยกยิ้มที่ถึงแม้จะเห็นได้ยาก ทว่าก็เป็นเขาคนเดิมเช่นเดียวกับเมื่อสองปีก่อน
“ยุ...พายุ”
ลมหนาว...
ผมคิดถึงคุณเหลือเกิน
“พายุ...ไอ้ยุ เห้ย!”
สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกภาสตบเบาๆที่ไหล่ ถึงเวลาที่ผมต้องพูดกล่าวอะไรซักอย่างในฐานะรองประธานฝ่ายสถานที่
แต่ผมไม่รู้เลย ผมทำอะไรไม่ถูก ในหัวผมมีเพียงหน้าเขา นัยน์ตาผมจ้องเพียงหน้าเขา
เขาที่เราไม่ได้เฉียดเข้าใกล้กันมาเกือบสามปี
“...ขอบคุณที่มาร่วมฝ่ายสถานที่กับเรา”
เขาที่ผมไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกแล้ว
หรือบางที...อาจเพราะระยะเวลาทั้งหมดที่ผ่านมามันช่างประจวบเหมาะให้เราได้คลาดกันบ่อยๆ
ประจวบเหมาะให้ชั่วโมงของเราไม่ตรงกันบ่อยๆ จริงอยู่ที่ผมรู้ว่าเขาเรียนอยู่คณะไหน
และผมก็ใช้ช่วงเวลาสามปีในการแวะเวียนเพื่อไปแอบลอบมองเขาที่นั่นบ้าง แต่ไม่เลย...
ผมไม่เจอลมหนาวเลยซักครั้ง
มันเหมือนกับว่าเขาได้ตายไปจากชีวิตผม
แล้วจู่ๆ...เขาก็กลับมา
“ขอบคุณทุกๆอย่างที่ทำให้ผมกับทุกคนได้มาเจอกัน ขอบคุณทุกๆอย่างที่ทำให้ทุกคนตัดสินใจเลือกฝ่ายสถานที่
และไม่ว่าจะเป็นอะไร ผมเชื่อมั่นว่ามันคงเป็นต้องเป็นเรื่องที่ดีแน่ๆ”
ถึงแม้จะเป็นการกลับมาที่เราต่างอยู่ในสถานะพี่ค่ายเพียงแค่นั้นก็ตาม
หลังปฐมนิเทศ ทางฝ่ายของเรามีกิจกรรมให้คนที่ว่างจากภาระงานสามารถอาสาช่วยฝ่ายอาร์ตตกแต่งชั้นหนังสือสำหรับเอาไปบริจาคโรงเรียน
หากผมกลับไม่ได้สนใจกิจกรรมอะไรแม้แต่น้อย ฝีเท้าของผมก้าวไปหาใครบางคนที่กำลังลุกขึ้นสะพายกระเป๋าเตรียมเดินออกไป
และดูเหมือนว่าใครบางคนที่ว่าจะรู้ตัว
เขารีบมากๆ แต่นั่นก็ไม่เท่าฝ่ามือของผมที่คว้ำแขนของเขาไว้ได้ทันพอดิบพอดีจนอีกฝ่ายหันมา
ผมมองใบหน้าแสนคิดถึงในระดับที่ใกล้มากๆ มันใกล้ในระดับที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนเองจะมีโอกาสได้มองหน้าเขาใกล้ๆอีกครั้ง
“รุ่นพี่ มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
สรรพนามอันแสนห่างเหินทำแววตาผมวูบไหวเล็กน้อย
ผมรู้ดีว่าเขาคงอยากห่างเหินกับผมมากๆ เพราะทันทีที่เราเลิกกันเขาก็เลือกที่จะซิ่วหนีไปคณะอื่นทันที
มันไม่มีสัญญาณเตือนอะไรซักอย่าง และคงเพราะผมรักเขามากเกินไป ในวันนั้นผมจึงไม่ยอมรั้งเขาไว้
“หึ รุ่นพี่งั้นหรอ?”
ด้วยส่วนสูงและแรงที่เท่าๆกันทำให้เขาไม่ต้องขยับอะไรมากก็สะบัดมือผมออกได้สบาย
เขายังเย็นชาไม่เปลี่ยน เป็นลมหนาวที่ปราศจากความอบอุ่น
เป็นลมหนาวที่หนาวเหน็บสมดังชื่อ
“ไอ้ลม มึงรู้จักพี่พายุด้วยหรอวะ”
เด็กผู้ชายที่ผมเดาว่าน่าจะเป็นเพื่อนของอีกฝ่ายว่าขึ้นพร้อมกับหันหน้าไปมาด้วยความสงสัย
นั่นสินะ...ลมหนาวซิ่วไปแล้ว นั่นก็เท่ากับว่าเขาอยู่ปีสาม เป็นรุ่นน้องผมหนึ่งปี
จะแปลกอะไรถ้าเพื่อนรุ่นเดียวกันจะเป็นเพื่อนที่เด็กกว่า
“อืม...แฟนเก่าน่ะ”
คำพูดดังกล่าวทำผมแปลกใจขึ้นมาไม่น้อย
แน่นอนว่าเด็กคนนั้นสตั้นท์ไปเรียบร้อย ผมคิดมาตลอดว่าลมหนาวจะไม่อยากพูดถึงผมในแง่นี้ซะอีก
แต่ไม่เลย ผมยังเป็นแฟนเก่าของเขา อย่างน้อยก็เคยได้เป็น ไม่ได้เป็นอะไรที่ไม่มีตัวตนหรือเลวร้ายกว่านั้น
อื้ม...มันทั้งดีใจแล้วก็เจ็บหัวใจชะมัด
“สรุปรุ่นพี่มีอะไร?”
“ทำไมไม่เรียกยุเหมือนเดิม”
“เพราะเลิกกันแล้ว”
ลมหนาวยังคงตรงเสมอ ตั้งแต่รู้จักกันครั้งแรก กระทั่งคบกัน
รวมไปถึงวันที่เราเลิกกัน ทุกคำพูดของลมหนาวล้วนติดแน่นอยู่ในหัวใจของผมไม่เคยจางลง
ทุกคำพูดที่รวมทั้งคำบอกรัก
แล้วก็...คำบอกลา
“ลม...”
“ไหนวันนั้นบอกว่ามึงจะไม่กลับมายุ่งกับไอ้ยุแล้วไงไอ้ลม
แล้ววันนี้มึงกลับมาทำไม! จะมาทำให้มันเจ็บมากขึ้นกว่าเดิมหรอ”
กฤตที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนตรงดิ่งเข้ามายังจุดที่ผมกับลมหนาวยืนคุยกันอยู่
ข้างๆเป็นไอ้ภาสที่คงถูกลากสอยห้อยตามมาด้วยกัน
“เชี่ยกฤต ไม่เอาน่า เรื่องมันก็นานแล้ว
มึงจะเดือดอะไรขนาดนั้นวะ”
ภาสรีบลูบแขนห้ามปรามเพื่อนรักให้ใจเย็นลงราวกับรู้ดีว่าสถานการณ์ต่อจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น
“นานแล้วไง ผลลัพธ์ที่มันทำกับไอ้ยุก็ยังคงอยู่กับไอ้ยุมาจนถึงทุกวันนี้
มันเคยรู้ตัวมั้ยว่าตัวเองทำเรื่องเหี้ยๆกับเพื่อนเราไว้ขนาดไหน”
“เห้ยพี่! เป็นอะไรมากปะ
เรื่องของคนสองคนก็ให้เขาเคลียร์กันดิ อยู่ๆก็มาด่าเพื่อนผมฉอดๆ
แบบนี้เรียกเสือกแล้ว”
“มึงสิเสือก ไอ้เด็กเมื่อวานซืน”
“กูก็เด็กกว่ามึงแค่หนึ่งปีล่ะโว้ย”
เด็กชายคนดังกล่าวคงเดือดแทนลมหนาวมากๆถึงพยายามจะพุ่งเข้ามาซัดปากไอ้กฤต
ส่วนทางไอ้กฤตของผมก็ไม่ยอมใครเช่นกัน โชคดีที่ผมและลมหนาวต่างล็อคแขนคนของตัวเองไว้ได้ทัน
“ลม กูว่าเราไม่ต้องทำค่ายห่านี่หรอก เข้ามามึงก็เจอแฟนเก่า
แถมยังเจอรุ่นพี่ประสาทแดก”
“ก็ลาออกไปสิวะ ไม่ต้องมาทำ
ไม่มีมึงสองคนค่ายพวกกูก็ไปต่อได้”
“ไอ้กฤต...”
คราวนี้ผมกับภาสต้องเข้าประกบเพื่อนคนเดียวในกลุ่ม
ส่ายหน้าเบาๆ รวมทั้งลูบหลังและส่งสายตาแทนข้อความว่าอย่ามีเรื่องเลย อีกฝ่ายถึงยอมเย็นลง
“ลม กูพูดจริงนะ มึงจะกลับมาทำไมวะ
มึงรู้ปะว่าไอ้เหี้ยยุเป็นหนักแค่ไหนตอนมึงทิ้งมันไปน่ะ มันป่วย แถมยัง…”
“กฤต”
ผมเรียกชื่ออีกฝ่ายให้หยุดเล่าเรื่องที่กำลังจะเอ่ย
ผมรู้ดีว่าตนเองเป็นอะไร และผมก็ไม่ได้อยากให้ลมหนาวต้องมารับรู้เรื่องแบบนี้
จริงอยู่ที่ส่วนหนึ่งมันเกิดขึ้นเพราะเขา
แต่ก็ต้องยอมรับว่าอีกส่วนหนึ่งนั้นก็เกิดจากความอ่อนแอของผม
“ทำไมวะยุ? มันต้องรู้ดิว่าที่มันทำกับมึงแม่งทำให้มึงแย่มากๆ”
“ช่างเถอะ กูดีขึ้นแล้ว”
“มึงไม่เคยดีขึ้นพายุ”
“กฤต พอ”
“ยุ มันไม่แฟร์กับมึง”
“กูขอร้อง”
กฤตกำมือแน่นจนสุดท้ายก็เป็นฝ่ายเดินปึงปังแยกออกไปเอง
ภาสที่ยืนอยู่ด้วยกันพยักหน้าเป็นรหัสลับให้ผมเคลียร์ปัญหาตรงหน้าให้เสร็จ
ก่อนเจ้าตัวจะแยกตามไปติดๆ
ผมเข้าใจดี แล้วก็ไม่โกรธที่ไอ้กฤตเป็นห่วงผม
เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่มอหนึ่งยันปีสี่ มันไม่ใช่แค่เพื่อน
แต่เป็นเหมือนกับครอบครับ เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกเลยถ้ากฤตจะเป็นห่วงผมมากๆ
“กูรอด้านนอกแล้วกัน”
เด็กผู้ชายตัวเล็กตบไหล่ลมหนาวปุๆแล้วจึงแยกออกไปบ้างอย่างรู้งานบ้าง
ทำให้ตอนนี้เหลือเพียงผมกับเจ้าของตำแหน่งแฟนเก่าที่แค่เจอกันครั้งแรกในรอบสามปีผมก็ดันทำเรื่องให้เขาเสียแล้ว
“ผมจะลาออก”
ไม่ผิดจากที่คาดไว้นัก ลมหนาวไม่ชอบความวุ่นวาย
ผมก็เหมือนกัน แต่เพราะการเลิกกับเขาทำให้ผมต้องหาอะไรวุ่นวายทำตลอดเพื่อลดความฟุ้งซ่าน
ผมจึงต้องฝืนทำอะไรหลายอย่างที่ไม่ใช่ตัวเอง
แต่ทั้งหมดที่ทำก็เพื่อให้ลืมเขา
“ลมไม่ต้องรู้สึกผิด เรื่องมันจบไปแล้ว”
สาบานเลยว่าคำพูดของผมสวนทางกับความรู้สึกทั้งหมด
มันไม่เคยจบ ผมไม่เคยจบกับลมหนาวได้ซักครั้ง ถึงแม้อีกฝ่ายจะจบกับผมไปแสนนานแล้ว
“แล้วรุ่นพี่ล่ะ จะลืมผมได้หรือเปล่า?”
“ยุไม่เอาเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวมาปนกัน”
ผมเกลียดคำว่ารุ่นพี่นั่น เจ็บกับคำว่ารุ่นพี่นั่น
มันทั้งห่างเหินแล้วก็เย็นชา ไหนจะสีหน้านิ่งเรียบรวมถึงน้ำเสียงการพูดห้วนๆราวกับไม่เคยรู้สึกต่อกันแบบนั้น
เขาเหมือนเดิมแค่ภายนอก
ทว่าภายในไม่ใช่แม้แต่นิดเดียว
เป็นลมหนาวที่ไม่ใช่ลมหนาวของผมแม้แต่นิดเดียว
“เพราะงั้นลมอยู่ต่อไปเถอะ
อย่าทำให้ยุรู้สึกว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ลมไม่ได้ทำค่ายเลย”
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะถามเขามาตลอด เป็นสิ่งที่ผมสงสัยมาจนถึงทุกวันนี้
เป็นสิ่งที่ผมอยากจะเอ่ยถามตั้งแต่วันที่เขาเลือกเดินจากผมไป เป็นสิ่งที่อยากจะเอ่ยถามให้แน่ใจว่าที่ผ่านมา...
“ลมเคยรู้สึกอะไรกับยุบ้างหรือเปล่า”
ใต้ความสัมพันธ์ของเรา ผมไม่ได้รู้สึกไปเองฝ่ายเดียวใช่หรือเปล่า
“...ไหนว่าไม่มีเรื่องส่วนตัวไงครับ?”
“ก็แค่อยากรู้ ยุติดกับความรู้สึกนี้มาสามปีแล้ว”
มันเป็นความรู้สึกทั้งอาวรณ์แล้วก็อ้อนวอน
อ้อนวอนให้เขาตอบคำถามผม อ้อนวอนให้เขาบอกในสิ่งที่ผมอยากได้ยิน
อ้อนวอนให้เขาพูดว่าที่ผ่านมา ถึงเรื่องของเราจะจบไปแล้ว แต่อย่างน้อยเราก็เคยรักกัน
แต่อย่างน้อย ทั้งหมดที่ทำด้วยกันก็เพราะเรารักกัน
“ไม่เลย”
แต่สุดท้ายก็เป็นผมนั่นแหละ
ที่ยังคงจมปรักอยู่กับวันนั้น
“ผมไม่เคยรักคุณเลย...พายุ”
เป็นผมอีกนั่นแหละ ที่ไม่ยอมพาตัวเองออกมาจากความทรงจำในวันนั้น
tbc.
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 30
Comments