'02' / 1

“มึง กูหนีกลับบ้านทันป่ะวะ” ติมพูดขึ้นพลางเอนตัวยืนพิงกับกำแพงห้องน้ำด้วยสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก

“ทำไมวะ แล้วทำไมทำหน้าอาลัยตายอยากขนาดนั้นน่ะ” ไทม์หันไปถามเพื่อนตัวดีอย่างอดห่วงไม่ได้

“ก็เมื่อวานกูซ้อมบอลกลับดึกมันล้าไปทั้งตัว เลยไม่อยากเข้ารับน้องอ่ะ”

ติมมันเป็นนักกีฬาฟุตบอลของมหาวิทยาลัยช่วงนี้อยู่ในช่วงคัดตัวเข้าทีมเลยต้องไปฝึกหลังเลิกกิจกรรมทุกวันเลยไม่แปลกที่มันจะเหนื่อยล้าขนาดนั้น

“ไม่ไหวก็ไม่ต้องเข้า ลาพี่เขาเอาก็ได้” เสียงตะโกนของบูมดังออกมาจากห้องน้ำ

“ก็ถ้าไม่ติดว่าวันนี้พี่เขาบอกว่าห้ามขาดกูก็คงลาหรอก”

เมื่อวานช่วงเย็นประธานรุ่นส่งข้อความเข้ากลุ่มว่าวันนี้ปีหนึ่งต้องเข้าทุกคนห้ามขาดเพราะเห็นว่าจะคุยเรื่องกิจกรรมอะไรสักอย่างนี่แหละ “เสร็จแล้ว ป่ะ”

พวกไทม์ลงจากตึกคณะตรงไปยังลานข้างตึกที่ที่ใช้ทำกิจกรรมรับน้องของสาขาวิทย์ฯ คอมฯ ทันทีที่พวกเขามาถึงก็จัดการวางกระเป๋าบนโต๊ะหินอ่อนพร้อมกับนั่งลงเพื่อรอทำกิจกรรม

“พวกนาย อย่าลืมจ่ายค่าห้องนะ” พวกเขาที่นั่งคุยกันอยู่หันไปมองเพื่อนผู้หญิงในสาขาคนหนึ่งพร้อมกับทำหน้าสงสัย “ค่าห้องอะไรอ่ะ”

“ก็ค่าห้องที่ต้องเก็บคนละเก้าร้อยไง เงินส่วนกลางสำหรับใช้ในกิจกรรมอ่ะ” พอเธออธิบายพวกเขาก็ร้องอ๋อทันที เกือบลืมไปเลยนะเนี่ยว่าต้องจ่ายด้วย

“โอเคๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้จ่ายนะ” ตอบเออออไปก่อนจ่ายมั้ยไม่รู้ค่อยคิดอีกที

“มึงกูสงสัยอ่ะ ทำไมต้องเก็บค่าห้องด้วยวะ” บูมถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเพื่อนผู้หญิงคนนั้นไปแล้ว

“เมื่อกี้เขาก็บอกไงว่าเอาไว้ในกิจกรรมอ่ะ”

“นี่มันมหาลัยแล้วนะยังต้องเก็บอีกหรอ แถมตั้งเก้าร้อยเลยนะนั่น อีกอย่างเก็บตอนนี้จะได้ใช้รึเปล่าวะ”

เขาเห็นด้วยกับที่ติมพูด พวกกิจกรรมของปีหนึ่งอย่างเช่นกีฬาสีหรือกิจกรรมอื่นๆที่มันต้องใช้เงินส่วนรวมมันก็ไม่ได้บ่อยขนาดนั้น อีกอย่างถ้าจะต้องเก็บเงินจริงๆ ก็ไปเก็บเอาตอนวันที่จะใช้ก็ได้ แล้วอีกอย่างเงินตั้ง 900 คูณกับจำนวนคนในสาขา 85 คนรวมกันก็เงินเป็นกว่า 76,500 ตั้งเกือบแสนมันไม่มีทางที่จะใช้หมดภายในปีสองปีอย่างแน่นอน

“แล้วมึงจะจ่ายป่ะ” ไทม์กับติมส่ายหน้า ใครจะไปจ่ายล่ะเงินเยอะตั้งขนาดนั้นพวกเขาไม่ได้กลัวเพื่อนทำเงินหายนะแต่กลัวว่าจะเพื่อนจะแอบเอาไปใช้เองซะมากกว่า

หลังจากนั่งคุยเล่นกันไปสักพักพวกรุ่นพี่ก็เริ่มทยอยกันมา

“ปีหนึ่งรวม!!” เสียงตะโกนของรุ่นพี่ทำเด็กปีหนึ่งทุกคนที่กำลังพูดคุยกันอยู่รีบกุลีกุจอวิ่งมาเข้าแถวภายในไม่กี่วินาที

“นับตลอดนับ!”

“หนึ่ง! สอง! สาม!…” เสียงนับตลอดดังฟังชัดไปเรื่อย ๆจนคนสุดท้าย “สาขามีกี่คนครับ!” พี่ประธานรุ่นถามขึ้นด้วยน้ำเสียงดังแต่ก็ไม่มีใครตอบเลยสักคน

“ถามทำไมไม่ตอบครับ!! ปากเป็นอะไรกัน!!” เสียงของพี่ว๊ากทำเอาพวกปีหนึ่งพากันสะดุ้งเฮือก “แปดสิบห้าคนครับ!!” หนึ่งในเพื่อนตะโกนตอบ

“เมื่อวานผมบอกว่าไงครับ ผมบอกว่าห้ามขาดไม่ใช่หรอ แล้วทำไมวันนี้ถึงมาแค่แปดสิบคน! ตอบ!” ไม่มีเสียงตอบรับ ไทม์แอบเหลือบสายตามองเพื่อนพบว่าทุกคนต่างก้มหน้ากันทั้งนั้น

“ใครจะไปรู้วะว่ามันจะหยุดกัน” ติมแอบบ่นเบาๆแต่เหมือนพี่ว๊ากจะได้ยิน

“คุยอะไรกัน!!! ผมสั่งให้พวกคุณคุยรึไง!!” เสียงของพี่ว๊ากทำเอาพวกเขาสะดุ้งโหยงก่อนที่จะเหลือบมองคนข้างๆพบว่าติมมองบนพร้อมกับเบะปากอยู่

ไทม์หลุดขำเล็กน้อยก่อนจะเม้มปากกลั้น “ปีหนึ่ง!! กอดคอ!!”

ปีหนึ่งพร้อมใจกันกอดคอจะเรียกว่าพร้อมใจก็ไม่ได้เพราะคงไม่ได้มีใครอยากทำแบบนั้น

“ลุกนั่งห้าสิบครั้ง ปฏิบัติ!!” สิ้นเสียงคำสั่งปีหนึ่งเริ่มลุกนั่งพร้อมกับเสียงนับที่ดังลั่นแต่ไม่มีความพร้อมกันเลยสักนิด “หยุด! หยุด!! เอาใหม่ ลุกนั่งห้าสิบครั้ง ปฏิบัติ!!”

“ฮึ่ม!” เสียงถอนหายใจแรงจากคนข้างๆ ดังขึ้นที่ข้างหู ไม่ใช่แค่ติมหรอกเขาก็ด้วย เข้าใจนะว่าช่วงนี้มันยังไม่ปลดระเบียบ เด็กปีหนึ่งจะต้องเชื่อฟังรุ่นพี่ทุกอย่างห้ามขัดแต่แค่เพื่อนมาไม่ครบก็ไม่ถึงกับต้องสั่งลงโทษขนาดนี้ก็ได้มั้ง “หนึ่ง!! สอง!! สาม!!…”

หลังจากลุกนั่งจนครบพวกรุ่นพี่ก็ปล่อยให้ปี 1 นั่งพักกันอยู่ครู่ ไทม์รับน้ำจากรุ่นพี่คนหนึ่งมาดื่มพร้อมกับสูดหายใจลึก

“ปีหนึ่งลุก!! เรียงแถว เดี๋ยวจะให้ซ้อมบูมกัน” พี่ประธานรุ่นจัดการแบ่งเป็นกลุ่มๆ หลังจากถูกจับแยกเป็นกลุ่มบูม ไทม์ ติมและเพื่อนอีกเจ็ดแปดคนคนก็เริ่มซ้อมบูมโดยมีรุ่นพี่สองสามคนคอยกำกับ

ผ่านไปครึ่งชั่วโมงซ้อมไปพักไป ไทม์หย่อนตัวนั่งลงที่ขอบปูนใกล้ๆ พลางใช้มือนวดขาที่ปวดเมื่อย บูมหย่อนตัวลงข้างๆ เอื้อมมือแตะที่บ่าด้วยความเป็นห่วง

“มึงไหวมั้ยเนี่ย” พยักหน้าตอบเนือยๆ

“มึงแน่นะ”

“เออ ไหวๆ” อยากจะบอกว่าไม่ไหวนะแต่กลัวจะเป็นตัวถ่วงเพื่อนเลยตอบแบบนั้นไป

“ปีหนึ่งรวม!!” เสียงเรียกรวมทำเอาเด็กปีหนึ่งกุลีกุจอวิ่งรวมแถวภายในไม่กี่นาที

“จัดแถวเลยเดี๋ยวจะบูมกัน ผู้ชายมาอยู่ข้างหน้าผู้หญิงไปอยู่ข้างหลัง”

เดินอ้อมไปด้านหน้าจัดแถวตามพี่ประธานสั่งโชคดีที่ไม่ได้อยู่แถวหน้าสุด ไม่อยากเด่น เดี๋ยวผิดขึ้นมาเดี๋ยวขายหน้าแย่

“กอดคอ!! พร้อม!!” เสียงแขนที่กระทบกับเนื้อผ้าพร้อมกับเสียงเท้าก้าวขาไปข้างหน้าเพื่อตั้งท่าพร้อมบูม

“บูม!!!” เสียงบูมประสานดังก้องไปทั่วบริเวณโดยมีสายตาของรุ่นพี่คอยดู

“อีกรอบนะ กอดคอ!! พร้อม!! บูม!!!” บูมกันอีกครั้งจนเสร็จ เงยหน้าขึ้นสูดหายใจลึกแต่ก็ต้องหรี่ตาเพราะจู่ ๆ ภาพตรงหน้าก็เบลอขึ้นมากระทันหัน พยายามหรี่ตากวาดมองไปรอบๆ ก็พบว่ารอบๆ ด้านภาพก็เบลอเหมือนกัน

“ไอ้ไทม์ แว่นมึงตก”

“ห๊ะ? ไหน ๆ”

ไทม์ก้มมองหาแว่นรอบๆ แต่ด้วยภาพทุกอย่างมันเบลอไปหมดทำให้มองอะไรแทบไม่เห็นเลย

“อยู่นี่ๆ มึงอย่าขยับดิเดี๋ยวเหยียบ” พยายามขยับขาเพื่อจะหลบให้ติมหยิบแว่นให้แต่ด้วยสายตาที่เบลอจัดทำให้รู้สึกมึนหัวทรงตัวไม่ค่อยอยู่

แกร๊บ

“ไอ้ไทม์ มึงเหยียบแว่นแล้ว”

“ห๊ะ? จริงดิ” พยายามก้มมองเท้าเพื่อหาแว่นตัวเองแต่เหมือนยิ่งขยับตัวก็ยิ่งเหยียบแว่น

“ไอ้ไทม์มึงยกขาดิ” บูมตีขาข้างขวาให้ยกขึ้น เขาพยายามหรี่ตามองคนข้างๆ ที่ก้มๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา

“เอ้า สภาพเละเทะเลย” ไทม์รับแว่นมาใส่พลางกระพริบตาปรับภาพตรงหน้าจนมันเหมือนจะเริ่มชัดขึ้นแต่มันก็ไม่ชัดขนาดจนเหมือนปกติแถมยังมีแต่รอยแตกกับคราบดินที่เกาะและยังเช็ดออกไม่หมดอีก

“มึงมีอันสำรองมั้ย” ได้แต่ส่ายหน้า ราคาแว่นสายตามันค่อนข้างจะแพงเลยไม่ได้ซื้ออันสำรองเก็บไว้ ตอนแรกก็คิดว่ากะจะใช้อันนี้ไปสักช่วงปีสองปีสามแล้วค่อยเปลี่ยนนั่นแหละแต่ดันมาแตกเอาซะก่อน

“สงสัยคงต้องตัดใหม่แล้วล่ะ”

“ก็ต้องตัดใหม่แหละ หรือมึงจะใส่ต่อก็ได้นะไม่มีใครว่า” เขามองค้อนติมก่อนจะเอื้อมมือฟาดแขนไปทีนึงแต่ก็ต้องวืดเพราะติมดันลุกหนีซะก่อน

“แถวข้างมอมันมีร้านตัดแว่นอยู่ลองไปดูดิ น่าจะไม่แพงหรอกมั้ง”

“จริงหรอ เออๆ เดี๋ยวไปดู”

ทำกิจกรรมไปเรื่อยๆ จนมาถึงช่วงห้าโมงเย็นเป็นเวลาเลิกพอดี ตอนแรกบูมก็กะจะมาเป็นเพื่อนแต่มีธุระด่วนเลยต้องกลับก่อน ส่วนติมก็มีซ้อมฟุตบอลเลยเป็นผลให้เขาต้องมาคนเดียว

ไทม์เดินไปตามฟุตบาทข้างมหาวิทยาลัยพลางกวาดสายตามองหาร้านตัดแว่นที่เพื่อนบอก แต่ด้วยสภาพการมองเห็นมีแต่รอยแตกของแว่นเต็มไปหมดทำให้เดินลำบากกว่าปกติ

สายตาหยุดไปที่ร้านหนึ่งที่มีป้ายหน้าร้านใหญ่มากมีตัวหนังสือสีฟ้าเด่นหราอยู่ด้านบนร้าน ‘แว่นสวยรวยตา’ ไทม์หยุดมองซ้ายมองขวาดูรถเพื่อจะข้ามถนน ยานพาหนะสารพัดชนิดขับผ่านหน้าไปหลายนาทีตอนนี้ก็ยังไม่ได้ข้ามสักที

รออยู่กว่าเกือบยี่สิบนาทีในที่สุดเขาก็ได้ข้าม ไทม์รีบวิ่งจากอีกฝั่งมาถึงอีกฝั่งได้อย่างปลอดภัย เดินต่อมาอีกนิดจนมาหยุดยืนที่หน้าร้าน พยายามหรี่ตามองชะเง้อด้านในก่อนจะเอื้อมมือไปจับประตูแต่ก็ต้องชะงักก่อนเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นป้ายหน้าร้านที่โชว์ว่า ‘close’

“ไม่นะ”

ได้แต่ยืนมองป้ายอย่างหมดอาลัยอาวรณ์พลางถอนหายใจก่อนจะเดินออกมาอย่างช่วยไม่ได้ อุตส่าห์ไปกดตังค์มาเพื่อตัดแว่นแท้ๆ แต่ร้านดันมาปิดซะงั้น แต่เอาจริงๆร้านก็ไม่ได้ผิดหรอกนะถ้าจะผิดก็ผิดที่เขาที่ไม่เช็คเวลาเปิดปิดของร้านให้ดี

ไทม์เดินเอื่อยไปตามริมถนนพลางถอดแว่นที่แตกออกมาเช็ด ขณะนี้เองจู่ๆ ก็ไดัยินเสียงแตรรถจากด้านหลัง เขาหันไปมองด้วยภาพทุกอย่างมันเบลอไปหมดจากการถอดแว่นก่อนจะโดนมือของใครบางคนกระชากแขนอย่างแรงจนหงายหลังไปกับพื้น

“โอ๊ย” ความเจ็บแล่นแปล่บที่ขาพลางกวาดมือไปตามพื้นเพื่อหาแว่นของตัวเอง “โทษทีที่ดึงแรง เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

เสียงคุ้นเคยให้หันไปมองแต่ด้วยภาพที่เบลอจนแทบจะปวดหัว ไทม์หรี่ตามองคนหน้าพร้อมกับลุกขึ้นยืนโดยมีคนตรงหน้าช่วยพยุง พอยืนขึ้นเต็มตัวก็เห็นร่างของคนตรงหน้าได้อย่างชัดเจน เป็นผู้หญิงผมสีบลอนด์กับรูปร่างที่ได้สัดส่วนเดาได้ทันทีว่าเธอต้องเป็นคนที่สวยมากแน่ๆ

“นี่! เจ็บตรงไหนรึเปล่า” เสียงเรียกของเธอทำเขาหลุดออกจากภวังค์

“ครับๆ! ไม่เป็นไรครับ! ผมสบายดีครับ!” เสียงหัวเราะเยาะจากคนตรงหน้าทำเขาถึงกับขมวดคิ้ว

“ค่ะ ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว แต่ที่น้องคุยมันคือกรวยนะคะ”

คำตอบของเธอทำเขาถึงกับเงยหน้าทันที ไทม์พยายามหรี่ตามองพบว่าไอ้ที่เขาคุยอยู่มันคืออะไรบางอย่างรูปทรงกรวยสีแดงจริงๆ ไทม์หันขวาเล็กน้อยเห็นว่าเธอยืนถัดจากกรวยแค่นิดเดียวก่อนจะหันไปยิ้มแห้งให้เธอพร้อมกับก้มหัวขอโทษ

“ขอโทษด้วยครับ ผมมองไม่ค่อยเห็น”

“ไม่เป็นไรค่ะ แล้วนี่…แว่นตาเธอ”

รับแว่นตามาไว้ในมือพร้อมกับคลำๆ เพื่อสำรวจสภาพของแว่นก่อนใส่ แต่ก็ต้องคิ้วขมวดเพราะดูเหมือนว่ากระจกแว่นจะแตกจนเหลือแต่กรอบแล้ว

“พี่ขอโทษนะที่ทำแว่นของเราแตก แต่เมื่อกี้รถมอไซค์จะขับชนเราพี่เลยต้องดึงเธอเข้ามาก่อน” พอรู้เหตุผลของเธอก็แทบอยากจะก้มขอบคุณเธอโดยทันที

“ไม่เป็นไรครับ ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณและขอโทษพี่มากกว่าทั้งที่รู้อยู่ว่าตัวเองสายตาสั้นก็ยังไม่ระวังตัวเอง”

เม้มปากแน่นพร้อมกับพูดขอโทษ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นคนสายตาสั้นมากและรู้ว่าแถวนี้รถเยอะก็ยังจะไม่ระวังตัวเอง นี่ถ้าเกิดเธอไม่ดึงเอาไว้ป่านนี้คงไปนอนเจาะน้ำเกลือแล้ว

“แล้วนี่เธอกำลังจะไปไหนหรอ”

“ผมมาตัดใหม่แว่นที่ร้านนี้อ่ะครับ แต่ร้านมันปิดผมเลยจะไปหาร้านที่ห้างแทนน่ะครับ”

“สภาพนี้น่ะนะ?”

“ครับ”

สภาพนี้ของเธอคงหมายถึงเขาในตอนนี้ที่ไร้แว่นตาช่วยในการมองเห็น ก็อยากจะกลับบ้านเลยนะแต่แว่นมันแตกจนละเอียดไปแล้วถ้าไม่ไปตัดใหม่พรุ่งนี้ก็ไม่มีใช้ สายตาของไทม์สั้นกว่า 300 ถือว่าค่อนข้างเยอะ ถ้าไม่ใส่แว่นภาพทุกอย่างจะเบลอไปหมดแทบไม่เห็นอะไรเลยความรู้สึกจะเหมือนหายตาไปข้างนึง

“เดี๋ยวพี่ส่งไปดีกว่า ให้เดินไปแบบนี้มันอันตราย”

“ไม่ดีกว่าครับ ผมเกรงใจ อีกอย่างเราก็พึ่งรู้จักกันด้วยผมไม่อยากรบกวนน่ะครับ” จะให้เธอที่พึ่งจะเจอกันเป็นธุระพาไปตัดแว่นมันก็กะไรอยู่

“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

ยกมือสวัสดีเธอก่อนจะเดินผละออกมาแต่ก็ยังไม่ทันที่จะก้าวพ้นจากตรงนั้นก็เท้าเจ้ากรรมก็ดันไปสะดุดอะไรบางอย่าง ทันทีที่รู้ว่ากำลังจะล้มลงพื้นผมหลับตาปี๋รับความเจ็บที่จะตามมาแต่ก็มีอะไรบางอย่างสอดเข้ามารับที่หน้าท้องทำให้ไม่รู้สึกเจ็บ

“ไม่เป็นไรใช่มั้ย” เสียงนุ่มที่ข้างหูรู้ได้ทันทีว่าเป็นพี่คนสวยคนเมื่อกี้ เธอใช้มืออีกข้างจับหลังพร้อมกับค่อยๆ ดันตัวจนยืนตรงตามปกติ

“ขอบคุณครับ” หันไปขอบคุณ เธอช่วยไว้อีกแล้ว

“ให้พี่ไปส่งเถอะ เธอมองไม่เห็นแบบนี้เดินไปคนเดียวมันจะอันตรายนะ”

“แต่…”

“ไม่มีแต่ค่ะ ถ้ายังดื้อพี่จะทำโทษนะคะ” เสียงนุ่มที่กระซิบข้างหูทำเอาขนลุกซู่ ไปทั้งตัว

“งั้นพี่ไปเอารถก่อน รอตรงนี้นะคะ ห้ามไปไหน” ประโยคสุดท้ายทำเอาเขาถึงกับต้องกลืนน้ำลายอึกไม่กล้าปฏิเสธ ได้ยืนนิ่งรอเธอมาอย่างโดยดี

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!