มิติรักบัลลังก์หงษ์
ตอนที่ 9 เสแสร้ง - ไม่ใช่แต่จูบ..แต่!
"ท่านพี่?...เหตุใดจึงตบข้า?" สีหน้าของเสี่ยวเฟิ่งเต็มไปด้วยคำถาม ยิ่งคิดนางยิ่งไม่เข้าใจว่าเหตุใดลู่อันฉีถึงทำเช่นนี้ นางเรียบร้อยอ่อนหวานแต่กลับบันดาลโทสะซ้ำยังใช้สายตาดูหมิ่นดูแคลนกับเสี่ยวเฟิ่งอีก
ลู่อันฉีเยื่องย่างเข้ามาใกล้อย่างใจเย็นสีหน้านางไม่มีความสลดเลยแม้แต่น้อย
"เจ้าคิดหรือว่าข้าไม่รู้ สตรีด้วยกันย่อมดูออก" กระทั่งน้ำเสียงของนางก็เปลี่ยนไป แม้จะยังนุ่มนวลแต่กลับอาบไปด้วยยาพิษ
"ท่านพี่พูดถึงสิ่งใด ข้าไม่เข้าใจ?" เสี่ยวเฟิ่งยังคงสับสนอยู่ เรียวคิ้วของนางขมวดเข้าหากันเป็นปม
"เจ้าตั้งใจยั่วยวนรัชทายาทใช่หรือไม่?"
"ไม่ใช่นะ!"
"โกหก! ข้าดูก็รู้ว่าเจ้าตั้งใจยั่วยวนพระองค์! องค์รัชทายาทรูปงามออกปานนั้นขนาดคนตาบอดยังรู้ แล้วมีหรือที่เจ้าจะมิรู้!"
เสี่ยวเฟิ่งอ้างปากค้าง ลู่อันฉีไปเอาความคิดเช่นนี้มาจากไหน!
"ข้าไม่รู้จริงๆนะข้าไม่ได้คิดเช่นนั้นเลย!"
"หึ หากเจ้าไม่คิดก็ดี! จงสำเหนียกตนไว้ว่าเจ้าต่ำต้อยเพียงใด ถึงจะได้เป็นบุตรบุญธรรมของท่านแม่ทัพ แต่ใช่ว่าเจ้าจะริอาจมักใหญ่ใฝ่สูงได้! กรวดที่กำเนิดมาจากโคลนตม ต่อให้เอาน้ำทั้งแม่น้ำซานซีมาล้างก็มิอาจชำระกลิ่นสาบของโคลนไปได้หรอก! เป็นแค่คางคกอย่าริอาจจะกินเนื้อห่านฟ้า! จงเจียมกะลาหัวเอาไว้!"
".......!" เสี่ยวเฟิ่งนึกคำพูดใดๆไม่ออกเลย คำพูดเหล่านี้หลุดออกมาจากปากของอันฉีจริงๆหรือ? อันฉีคนที่นางเจอเมื่อตอนเช้า ใช่คนเดียวกันกับอันฉีในตอนนี้รึเปล่า? เหตุใดนางถึงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้เช่นนี้?
เมื่อนางพูดจบฮูหยินลู่ก็เดินกลับเข้ามา สีหน้าและท่าทางของนางก็กลับไปสงบเสงี่ยมเจียมตัวเช่นเดิม และนั่นยิ่งทำให้เสี่ยวเฟิ่งประหลาดใจเข้าไปใหญ่ นางเอียงคอมองอันฉีโดยไม่รู้จะหาคำใดมาเปรียบ
ช่างตีสองหน้าได้อย่างแยบยล...
"ท่านแม่มีอันใดอีกหรือเจ้าคะ?" อันฉีเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้า
"แม่จะมาคุยกับเสี่ยวเฟิ่ง...เจ้าออกไปก่อนเถิด"
"เจ้าค่ะ" อันฉีโค้งคำนับก่อนจะเดินจากไป เมื่ออยู่หน้าต่อผู้อื่นนางจะเป็นดั่งผ้าที่พับไว้ เป็นสตรีที่เพรียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง ทั้งรูปร่างหน้าตาและกิริยา ผู้คนเอ็นดูนางรักใคร่นางเพราะความอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ผู้คนเหล่านั้นหารู้ไม่ว่านั่นเป็นเพียงการ
เสแสร้ง!
เมื่ออันฉีเดินออกไปฮูหยินก็เรียกเด็กรับใช้นางหนึ่งเข้ามา ดูจากท่าทางและสีหน้า อายุอานามของนางก็คงไล่เลี่ยกันกับเสี่ยวเฟิ่ง ฮูหยินถอนหายใจเบาๆก่อนจะกล่าวตักเตือนนางอีกแต่น้ำเสียงในตอนนี้อ่อนลงกว่าเดิมมาก
"เอาล่ะ ข้าเองก็ไม่อยากจะต่อว่าเจ้ามากเกินไป เพราะข้าเองก็ผิด แต่อย่าลืมที่ท่านพ่อของเจ้าสั่งเป็นอันขาด ยามอยู่ต่อหน้าองค์รัชทายาทและทุกคนในราชวงศ์เจ้าต้องสำรวม เข้าใจใช่หรือไม่"
"ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะสำรวมและจะระวัง มิให้เกิดความผิดพลาดเช่นนี้อีก"
"เข้าใจก็ดีแล้วและยังมีอีกอย่าง ต่อจากนี้ไป อาเจี่ย จะมาเป็นสาวรับใช้ส่วนตัวของเจ้า นางอยู่กับข้ามาตั้งแต่เด็ก นางรู้ทุกสิ่งที่เจ้าควรรู้ หากมีอะไรมิเข้าใจหรือสงสัยก็ให้ถามนาง "
อาเจี่ยเดินเข้ามาพร้อมทำความเคารพ "คาราวะคุณหนูข้าน้อยชื่ออาเจี่ยเจ้าค่ะ นับแต่นี้ไปขอคุณหนูโปรดชี้แนะ" อาเจี่ยเป็นเด็กสาวตัวเล็กหน้าตาจิ้มลิ้ม ดวงตาของนางเรียวเล็กเหมือนเมล็ดแตงกวา ซ้ำยังปากนิดจมูกน้อย เพียงเห็นครั้งแรกเสี่ยวเฟิ่งก็รู้สึกถูกชะตากับนางมาก
"ข้าต่างหากที่ต้องให้เจ้าชี้แนะ เจ้าไม่ต้องสำรวมกับข้ามากก็ได้" เสี่ยวเฟิ่งบอกแต่เสียงของฮูหยินลู่ก็ค้านขึ้นมาอีก
"นางถูกฝึกมาเช่นใด นางก็ต้องปฏิบัติตัวเช่นนั้น เจ้าเองก็ควรเรียนรู้จากนาง"
เสี่ยวเฟิ่งทำหน้าหงอยก่อนจะพยัก "เจ้าค่ะท่านแม่"
"เจ้ากลับไปที่ห้องของเจ้าเถิด หมดเรื่องแล้ว" ฮูหยินลู่สั่ง
"เจ้าค่ะ..."
----------------------
--ห้องนอนของเสี่ยวเฟิ่ง--
เสี่ยวเฟิ่งถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า นางนั่งอยู่ที่ริมหน้าต่างทอดสายตาออกไปชมสวนดอกไม้ที่อยู่ด้านนอก เรื่องที่นางเจอวันนี้ทำให้นางฉุดคิดได้ว่า นางไม่ควรเชื่อหรือไว้ใจใครง่ายๆ เพราะนางได้เห็นอันฉีเป็นตัวอย่างแล้ว ผู้คนรู้หน้าแต่มิอาจรู้ใจในโลกแห่งนี้มีแต่คนที่เสแสร้งทำเป็นดี จากนี้นางต้องระวังตัวให้มากขึ้น แต่หนทางยังมืดมิดพัวพันยุ่งเหยิงไปหมด ไหนจะต้องเอากระดูกมังกร ไหนจะต้องหาทางกลับไปที่แคว้นฉางอิ๋น นี้มันยังไม่ครึ่งทางเลยนะ แต่กลับทำให้นางปวดหัวเจียนบ้าอยู่แล้ว เสี่ยวเฟิ่งหลับตาพลางถอนหายใจฮึดฮัดโดยมีอาเจี่ยยืนอยู่ไม่ห่าง
"อาเจี่ยเจ้านั่งลงเถอะยืนไปก็ปวดขา" เสี่ยงเฟิ่งพูดโดยไม่ได้หันมามอง
"ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้ายืนได้"
"โอ๊ยยยย นั่งลงเถอะข้าเห็นแล้วเมื่อยขาแทน นั่งลงเร็วเข้า" เสี่ยวเฟิ่งไม่พูดเปล่าแต่กลับดึงแขนของอาเจี่ยให้มานั่งลงข้างๆตน
"อาเจี่ย เจ้าเคยรู้สึกมืดแปดด้านบ้างมั๊ย?"
"เคยเจ้าค่ะ" อาเจี่ยตอบ เสี่ยวเฟิ่งจึงรีบหันกลับมาที่นาง
"เคยด้วยหรือ?"
"เจ้าค่ะ ในตอนนั้นพ่อแม่ของข้าป่วยเพราะติดโรคระบาด ที่บ้านไม่มีข้าวปลาอาหาร และในตอนนั้นข้าเองก็ยังเด็กไม่รู้ว่าต้องทำเช่นไร ข้าอับจนหนทางทำได้เพียงนอนรอความตายไปวันๆ"
"นี่เจ้าลำบากขนาดนั้นเลยหรือ?"
"ใช่เจ้าค่ะ ในตอนนั้นข้ามืดแปดด้านไปหมด ไม่มีทางสว่างใดๆเลย จนกระทั่งฮูหยินมาพบเข้า นางช่วยชีวิตข้าและชุบเลี้ยงข้า จนข้าเติบใหญ่มาถึงทุกวันนี้ และนั้นทำให้ข้าคิดได้ว่าชีวิตมิได้มืดมิดเสมอไป มันต้องมีทางสว่างที่เป็นของเราสักทางเจ้าค่ะ.."
เมื่อได้ฟังเช่นนั้นเสี่ยวเฟิ่งก็รู้สึกใจชื่นขึ้นมาบ้าง นางต้องทำได้มันต้องมีสักทางที่นางจะเข้าไปเอากระดูกมังกร เสี่ยวเฟิ่งถอนหายใจอีกครั้งพร้อมกับหันไปยิ้มให้อาเจี่ย
"ขอบใจเจ้ามากที่เตือนสติข้า ข้าพอจะเข้าใจแล้ว ว่าแต่...?อาเจี่ยนั่นมันห่านใช่หรือไม่?" เสี่ยวเฟิ่งชี้ไปที่ห่านตัวใหญ่สีขาวขนฟู มันกำลังเดินอุ้ยอ้ายอยู่ในสวน อาเจี่ยมองตามที่คุณหนูของตนชี้แล้วจึงพยักหน้า
"ใช่เจ้าค่ะ ห่านตัวนี้มาจากไหนกัน?" อาเจี่ยขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เพราะในจวนแห่งนี้มิเคยเลี้ยงห่านมาก่อน
"พอเห็นห่านตัวนี้ ข้าก็นึกถึงเรื่องห่านฟ้า หนอย!หาว่าเราเป็นคางคก จับย่างกินซะดีมั๊ย?" เสี่ยวเฟิ่งบ่นพึมพำแต่เหมือนว่าห่านตัวนั้นจะได้ยินและฟังออก เพราะมันรีบวิ่งหางจุกตดเข้าไปในโพรงหญ้าทันที ทางท่าตอนวิ่งหนีน่ารักตุ้ยนุ้ยเหลือเกิน เสี่ยวเฟิ่งยิ้มขำก่อนจะหันมาพูดกับอาเจี่ยอีก
"อาเจี่ย ข้าอยากไปดูเมือง อยากไปดูตลาดเจ้าพาข้าไปได้หรือไม่"
"ข้าพาไปได้เจ้าค่ะ แต่ต้องขออนุญาตฮูหยินก่อน" เมื่อได้ฟังอาเจี่ยพูดเช่นนั้นสีหน้าของเสี่ยวเฟิ่งก็แลดูหนักใจขึ้นมาทันที หากไปขอจะมิโดนด่ากลับมาหรือ แต่นางยากไปจริงๆหากโดนด่านางก็จะทนรับเอา
เมื่อตัดสินใจได้นางจึงยอมเสี่ยงไปร้องขอ ครั้นเมื่อไปถึงกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะนอกจาฮูหยินจะไม่ต่อว่าแล้ว ยังให้เงินอีกห้าสิบตำลึงไว้ซื้อของ คงเป็นเพราะฮูหยินสงสารที่นางเจอเรื่องเฉียดตายแต่เช้า จึงอนุญาตให้นางออกไปเที่ยวเล่น เผื่อจิตใจจะได้สงบผ่อนคลายลง
-----------------------------‐-------
--ตลาดในเมืองชิงหยวน--
เมื่อเสี่ยวเฟิ่งและอาเจี่ยเข้ามาถึงในเมือง ทั้งคู่ก็ดูตื่นเต้นกับทุกสิ่งที่พานพบ ผู้คนมากมายสัญจรไปมา ข้าวของเครื่องใช้ก็ว่างขายอยู่เต็มไปหมด ไหนจะของกินไหนจะขนมที่มีให้เลือกซื้อเป็นร้อยอย่าง แผ่นดินชิงหยวนช่างมั่งคั่งจริงๆ
"อาเจี่ยเจ้าอยากกินอะไร?" เสี่ยวเฟิ่งถามพร้อมล้วงเงินในห่อ
"ไม่เป็นไรเจ้าค่ะข้าไม่หิว"
"ไม่หิวไม่ได้มาตลาดก็ต้องกินสิ มานี่...ถ้าเจ้าเลือกไม่ได้ข้าจะเลือกให้เอง.." ในขณะที่เสี่ยวเฟิ่งกำลังสอดส่ายสายตามองหาของกินที่จะซื้อ อยู่ๆนางก็ได้ยินเสียงคนร้องโวกเวกโวยวาย
"ช่วยด้วยหัวขโมย!!!!" พอสิ้นเสียงนั้นเสี่ยวเฟิ่งก็รีบหันไปตามเสียงร้องทันที แต่ทว่ากลับมีเด็กชายคนหนึ่งอายุราวๆสิบห้าสิบหกกำลังวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนและพุ่งตรงมาที่นาง เด็กคนนั้นพลักนางให้พ้นทางแล้ววิ่งไปต่อ โดยไม่รู้เลยว่าร่างของเสี่ยวเฟิ่งนั้นเซถลาไปข้างหลังและกำลังจะล้มลงไปในกระทะที่มีน้ำมันเดือดปุดๆ กระทะนั้นมีขนาดใหญ่ซึ่งแม่ค้าเตรียมไว้ทอดขนม หากนางตกลงไปคงตายสถานเดียว เสี่ยวเฟิ่งหลับตาปี๋นางต้องตายเช่นนี้จริงๆหรือ!!
แต่เพียงเสี้ยววินาทีของความคิด ร่างของนางก็ถูกใครบางคนคว้าเอาไว้ได้ทัน คนผู้นั้นเป็นบุรุษเขารั้งตัวเอาไว้ กำลังจากมือหนาใหญ่ทำให้ร่างของนางพุ่งเข้ามาที่แผงอกของชายผู้นั้นในทันที เขาโอบร่างของนางเอาไว้ก่อนจะพลิกหมุนตัวให้แผ่นหลังของตนกระแทกพื้น แต่ทว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ! เพราะแรงกระแทกจากการล้มทำให้ริมฝีปากของทั้งคู่ประกบกันโดยมิได้ตั้งใจ! ดวงตาของเสี่ยวเฟิ่งเบิกกว้าง! ก่อนจะรีบถอนริมฝีปากนั้นออกมา! ใบหน้าของเขาและนางห่างกันไม่ถึงคืบ....
"เหมี๊ยวววว~" เสียงร้องของแมวตัวหนึ่งดังขึ้นทำให้เสี่ยวเฟิ่งได้สติ เมื่อนางหันไปมองก็พบว่า มีแมวสีดำตัวใหญ่ยืนคลอเคลียอยู่ใกล้ๆ จากนั้น...นางจึงหันกลับมามองบุรุษที่นอนอยู่เบื้องล่าง ดวงตาคมเข้มจ้องนางตาไม่กระพริบ ใบหน้าของหญิงสาวร้อนผ่าวพลางบอกตัวเองในใจว่าให้ลุกขึ้น...
แต่เมื่อนางขยับตัวจะลุก..ก็พบว่ามือหนาๆของชายผู้นั้นได้โอบอุ้มสองเต้าเอิบอิ่มของนางเอาไว้อยู่! เสี่ยงเฟิ่งก้มมองหน้าอกของตนพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้างยิ่งกว่าเดิม...!
"กรี๊ดดดดดดด!!!" นางกรีดร้องเสียงหลงก่อนที่จะ
ตุ๊บ!!!!!
-
-
-
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 25
Comments