ทางด้านโชคกับอิงที่เดินตามอาร์ตติดๆ เมื่ออาร์ตเริ่มเดินเร็วขึ้น ทั้งสองก็พยายามเร่งฝีเท้าตาม จนเหนื่อย เลยขอให้อาร์ตหยุดพักก่อน แต่อาร์ตดูเหมือนจะไม่ได้ยิน
อิงที่เห็นว่าข้างหลังซึ่งมีตูนกับแป้งเดินตามมา ดูเงียบไปจึงหันกลับไปมอง แต่กลับไม่พบเพื่อนสองคน จึงตะโกนเรียก
“เฮ้! ตูน! แป้ง!” อิงตะโกนเสียงดังพลางหันกลับไปมองทางเดิม แต่สิ่งที่เธอเห็นกลับเป็นเพียงหมอกหนาที่ปกคลุมจนมองอะไรไม่เห็น
โชคเองก็เริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศที่แปลกไป “ทำไมหมอกมันถึงหนาขนาดนี้” เขาพึมพำเสียงเบา พลางขยับเข้าใกล้อิง “หรือเราจะหลงทาง?”
“ไม่นะ เมื่อกี้พวกเขายังเดินตามเรามาอยู่เลย” อิงหันไปพูดกับโชค แต่สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวล “หรือว่า… มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเขา?”
“อาร์ต!” โชคตะโกนเรียกพลางหันไปมองร่างของเพื่อนที่เดินนำอยู่ข้างหน้า “พวกเราเหนื่อยแล้ว ขอพักสักครู่ได้ไหม?”
แต่อาร์ตกลับไม่ตอบอะไร และยังคงเดินต่อไปโดยไม่ชะลอฝีเท้า “ไอ้อาร์ต! ได้ยินไหม!” โชคตะโกนซ้ำเสียงดังขึ้น
เมื่อไม่มีสัญญาณตอบรับจากอาร์ต โชคและอิงเริ่มรู้สึกถึงความหวาดกลัวที่แฝงอยู่ในบรรยากาศรอบตัว
“มันไม่ได้ยินเราหรือว่า…” อิงพูดเบาๆ ราวกับจะยืนยันกับตัวเอง “หรือว่ามันไม่ได้อยากหยุดจริงๆ?”
ในขณะที่ทั้งสองลังเลว่าจะตามต่อหรือหันกลับไปหาตูนกับแป้ง ทันใดนั้นอาร์ตก็หยุดเดินกะทันหัน เงาร่างของเขาดูเลือนลางในหมอกจนเหมือนจะกลืนหายไปกับความมืดรอบตัว
โชคและอิงรีบเร่งเข้าไปหา “อาร์ต! มึงเดินเร็วเกินไปแล้ว เราควรพักก่อน” โชคพูดเสียงสั่น ขณะที่มือของเขาจับแขนของอาร์ตเบาๆ
อาร์ตค่อยๆ หันกลับมาช้า ๆ ใบหน้าของเขาดูแปลกประหลาด รอยยิ้มที่ไม่เป็นธรรมชาติเผยขึ้นในความมืด แววตาไร้ชีวิตของเขาจ้องมาที่ทั้งสอง ราวกับไม่ใช่เพื่อนคนเดิมที่พวกเขารู้จัก
“รีบตามมา… อย่าหยุดเดิน…” อาร์ตพูดเสียงเบา ๆ แต่กลับแฝงไปด้วยความน่ากลัว
“อาร์ต… มึงเป็นอะไรรึเปล่า?” อิงถามเสียงสั่น รู้สึกขนลุกชันไปทั้งตัว ขณะที่เธอถอยหลังไปเล็กน้อย
อาร์ตไม่ได้ตอบ แต่รอยยิ้มนั้นยังคงอยู่ และแววตาเขาก็เริ่มเบิกกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับจะจ้องทะลุไปในจิตใจของพวกเขา
“ไปกันเถอะอิง” โชคกระซิบเบา ๆ ขณะจับมือเธอแน่น “กูไม่แน่ใจว่านี่…ใช่ไอ้อาร์ตจริงๆ หรือเปล่า”
“แต่ถ้าไม่ใช่มัน แล้วมันคืออะไรกัน?” อิงพูดพลางกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ความกลัวค่อยๆ คืบคลานขึ้นในใจ
อาร์ตยิ้มกว้างขึ้น แล้วพูดด้วยเสียงที่ไม่คุ้นเคย “อยากรู้ใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น… งั้นรีบตามมาสิ”
ก่อนที่ทั้งสองจะทันได้ตอบรับอะไร อาร์ตก็หันหลังและเริ่มเดินลึกเข้าไปในหมอกหนาอย่างรวดเร็ว
“เอาไงดี? เราจะตามมันไปไหม?” อิงถามโชคด้วยความลังเล
โชคส่ายหน้า แต่แล้วเขาก็ตัดสินใจว่าเขาต้องหาคำตอบ “เราอาจไม่มีทางเลือกอื่น…”
ทั้งสองตัดสินใจเดินตามอาร์ตไปอย่างช้า ๆ ความเงียบเข้าครอบงำบรรยากาศรอบตัว จนกระทั่งพวกเขาเริ่มได้ยินเสียงที่ไม่คุ้นเคย เสียงหัวเราะแหลมต่ำและเสียงกระซิบที่ดังขึ้นจากทุกทิศทางในหมอกนั้น
“โชค… กูว่าเราไม่ควรไปต่อ” อิงกระซิบด้วยเสียงที่แทบจะไม่ได้ยิน แต่โชคยังคงเดินตามไปด้วยความหวาดระแวง ราวกับถูกดึงดูดด้วยบางสิ่งที่มองไม่เห็น
ในที่สุดเมื่อพวกเขาเดินลึกเข้าไปในหมอก ก็พบว่าพื้นดินข้างหน้าเป็นโพรงลึกที่มองไม่เห็นก้นหลุม ความมืดมิดนั้นทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนกำลังจ้องมองเข้าไปในอเวจี
อาร์ตหยุดอยู่ที่ขอบโพรง พลางหันกลับมามองพวกเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด
“ที่นี่แหละ…ที่เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป…” อาร์ตพูดพลางก้าวเข้าไปในความมืดนั้น ร่างของเขาค่อย ๆ หายไปในโพรงลึก ทิ้งให้โชคและอิงยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความตกตะลึงและหวาดกลัว
ในขณะที่ทั้งสองยืนมองร่างของอาร์ตหายไปในความมืด เสียงกระซิบและหัวเราะก็เริ่มดังขึ้นรอบตัว ความเยือกเย็นแผ่ซ่านเข้ามาจนพวกเขารู้สึกเหมือนลมหายใจถูกดึงออกไปช้า ๆ
“เรา… เราต้องออกไปจากที่นี่!” โชคตะโกนพร้อมดึงแขนอิง แต่กลับพบว่าร่างของเขาเองไม่สามารถขยับได้ ราวกับถูกบางอย่างจับไว้
อิงพยายามดึงมือโชคเพื่อให้เขาออกจากที่นั่น แต่ก็รู้สึกได้ถึงแรงที่มองไม่เห็นกำลังดึงพวกเขาเข้าไปในโพรงลึก
เสียงหัวเราะดังแหลมเข้ามาในหูของทั้งสอง เสียงที่แฝงไปด้วยความทรมานและความสิ้นหวัง
และในนาทีถัดมา… ทั้งโชคและอิงก็ถูกกลืนหายไปในความมืด ไม่มีใครได้ยินเสียงกรีดร้องของพวกเขา หรือรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาในโพรงลึกนั้น......
.
.
ทางด้าน นัท ตูน และแป้งเดินช้า ๆ ไปยังทิศทางที่ได้ยินเสียง ใบหน้าทั้งสามคนเต็มไปด้วยความสงสัยและความตกใจ ภาพที่พวกเขาเห็นราวกับหลุดมาจากฝันร้าย สถานที่ที่พวกเขาพบคือลานกางเต็นท์ ที่พวกเขาเพิ่งจากมาก่อนหน้านี้
มีนักท่องเที่ยวมากมายกำลังสนุกสนาน บางคนเล่นน้ำ บางคนตกปลา เสียงหัวเราะและพูดคุยกันดังไปทั่ว ขัดกับภาพความว่างเปล่าและเงียบสงัดที่พวกเขาเพิ่งเจอ
“เฮ้ย! นี่มันอะไรกันเนี่ย?” นัทพูดด้วยเสียงที่สั่นเครือ สายตาจับจ้องไปที่ฝูงชนซึ่งดูราวกับไม่เคยมีเรื่องราวสยองขวัญใดๆ เกิดขึ้นที่นี่มาก่อน
“นั่น… พ่อบ้านกับเติ้ลก็อยู่ที่นี่ด้วย!” แป้งกระซิบด้วยน้ำเสียงตกใจเมื่อเห็นทั้งสองคนกำลังเดินแนะนำจุดกางเต็นท์ให้กับนักท่องเที่ยวใหม่ ๆ ด้วยสีหน้าเป็นมิตร ไม่มีร่องรอยของความน่ากลัวที่พวกเขาเจอก่อนหน้านี้
นัทรีบเร่งฝีเท้าเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ผู้หญิงที่เขาจำได้ชัดเจน เธอยืนอยู่ไม่ไกลนัก ขณะที่พ่อบ้านและเติ้ลกำลังพูดคุยกับนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่ง
“คุณครับ! ช่วยพวกเราด้วย! เราต้องการออกไปจากที่นี่!” นัทตะโกนเสียงดังขณะที่เขาเดินเข้าไปหาเจ้าหน้าที่
แต่ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครหันมองมาที่เขาแม้แต่น้อย ราวกับว่านัท ตูน และแป้งเป็นเพียงเงาที่ล่องลอยอยู่ในความว่างเปล่า
“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมไม่มีใครสนใจพวกเราเลย?” ตูนพูดเสียงเบา ความรู้สึกหวาดกลัวเริ่มก่อตัวในใจของเขา เขาลองเอื้อมมือไปแตะไหล่ของเจ้าหน้าที่ แต่มือของเขากลับสัมผัสได้เพียงความว่างเปล่า
“นี่… พวกเราเหมือนถูกตัดขาดจากโลกใบนี้…” แป้งพูดพลางถอยหลังอย่างระแวดระวัง “หรือว่า… เรากลายเป็นเพียงแค่ภาพเงาในความฝัน?”
ทั้งสามคนยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่ดูราวกับจะเป็นชีวิตปกติ แต่พวกเขารู้สึกได้ถึงความไม่ปกติบางอย่าง ทุกคนรอบตัวนั้นเหมือนกำลังติดอยู่ในห้วงเวลาที่ไม่มีวันเปลี่ยนไป
และทันใดนั้นเอง เสียงน้ำดังโครมครามก็ดังก้องขึ้นจากลำธารใกล้ ๆ กระแสน้ำป่าสีน้ำตาลเข้มทะลักลงมาจากเนินเขา ราวกับเขื่อนที่แตก นักท่องเที่ยวในลานกางเต็นท์เริ่มตื่นตระหนกและพยายามวิ่งหนี แต่กระแสน้ำกลับไหลเข้าท่วมรวดเร็วเกินกว่าที่พวกเขาจะทันตั้งตัว เสียงกรีดร้องและโกลาหลดังขึ้นทุกทิศทาง
“ไม่นะ! ทุกคนรีบหนีเร็ว!” แป้งตะโกนขึ้นมาด้วยความตกใจ ขณะที่เธอมองเห็นนักท่องเที่ยวถูกกระแสน้ำพัดหายไปทีละคน
นัทพยายามจะเข้าไปช่วย แต่กระแสน้ำกลับไหลทะลักผ่านตัวเขาไปโดยไม่รู้สึกถึงแรงกระแทกใดๆ มันเหมือนกับว่าเขากลายเป็นเพียงเงาที่ถูกทิ้งไว้ในโลกนี้โดยไม่มีใครสัมผัสหรือรับรู้ได้
“ทำไมเราถึงช่วยพวกเขาไม่ได้?” ตูนพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ดวงตาของเขามองไปรอบ ๆ ขณะที่ร่างของนักท่องเที่ยวถูกน้ำซัดไปทีละคนโดยไม่มีใครช่วยได้
“ที่นี่มันไม่ใช่โลกของเรา… หรือบางทีเราอาจจะไม่ได้อยู่ในที่ที่เราคิดว่าอยู่” นัทพูดเสียงสั่น ราวกับว่าเขาเริ่มจะเข้าใจบางอย่างที่น่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ
ทั้งสามคนยืนนิ่ง ขณะมองดูร่างของเจ้าหน้าที่ พ่อบ้าน เติ้ล และนักท่องเที่ยวทั้งหมดค่อยๆ ถูกกระแสน้ำกลืนหายไปจนหมดสิ้น ราวกับว่าชีวิตของพวกเขาถูกลบเลือนออกไปในชั่วพริบตา
เสียงกรีดร้องที่เคยดังสนั่นค่อยๆ จางลงเหลือเพียงความเงียบงันท่ามกลางบรรยากาศที่มืดครึ้ม บีบคั้นจิตใจ
แป้งยืนตัวสั่นสะท้าน น้ำตาไหลรินอาบแก้มขณะที่เธอทรุดลงกับพื้น ร้องไห้อย่างหดหู่ "ทำไม...ทำไมเราถึงช่วยพวกเขาไม่ได้? ทำไมทุกคนต้องเจออะไรแบบนี้ด้วย?"
นัทวางมือบนไหล่ของแป้ง พยายามปลอบใจทั้งๆ ที่ตัวเขาเองก็แทบจะควบคุมความกลัวไม่ไหว
ทันใดนั้นบรรยากาศรอบตัวเริ่มเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ ความมืดค่อยๆ คืบคลานเข้ามาจนเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกสีเทา เสียงร้องไห้ครวญครางดังขึ้นจากทุกทิศทาง แทรกผ่านความมืดเข้ามา
เงาดำหลายสิบเงาค่อยๆ ปรากฏขึ้นรอบตัวพวกเขา แต่ละเงามีรูปร่างไม่ชัดเจน บางร่างไร้ศีรษะ บางร่างแขนขาดวิ่น และบางร่างห้อยโหนอยู่บนกิ่งไม้พร้อมเสียงหัวเราะโหยหวน เงาเหล่านั้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ล่องลอยไปมาในอากาศราวกับกำลังค้นหาบางอย่างที่หลงเหลืออยู่ในโลกนี้
“ออกไป... ให้พวกเราออกไปจากที่นี่...”
เสียงหนึ่งดังขึ้นใกล้พวกเขามากพอที่จะทำให้รู้สึกเย็นยะเยือก เสียงนั้นแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและแค้นเคือง
"ใช่… อยู่ที่นี่… อยู่แทนพวกเรา…"
เสียงกระซิบแหลมดังซ้อนทับมาจากเงาอื่นๆ เงาดำเริ่มเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้พวกเขามากขึ้น เหมือนพวกมันพยายามจะห้อมล้อมและกลืนกินทั้งสามคนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของความมืดที่ไม่มีที่สิ้นสุด
นัทที่ยืนตัวแข็งไปชั่วขณะเริ่มได้สติ เขามองไปรอบตัว เห็นเงาดำพยายามจะเข้าถึงพวกเขา จึงคว้ามือของแป้งและดึงตัวตูนเข้ามาใกล้
“หนี! อย่ามัวเสียเวลามอง! วิ่งให้สุดชีวิต!”
ตูนพยักหน้า สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ก็รีบจับมือของแป้งอีกข้างหนึ่งแน่น พวกเขาทั้งสามวิ่งไปข้างหน้า ฝ่าความมืดที่หนาทึบ เหยียบย่ำไปบนพื้นดินที่ชื้นแฉะ ราวกับมีบางอย่างเหนียวหนึบรั้งเท้าของพวกเขาเอาไว้
เสียงหัวเราะเย้ยหยันและเสียงกระซิบแหลมบาดหูยังคงดังตามพวกเขามาไม่ขาดสาย เงาดำเริ่มเปลี่ยนทิศทาง ลอยตามพวกเขาไปอย่างไม่ลดละ ราวกับว่าพวกมันจะไม่หยุดจนกว่าจะได้สิ่งที่ต้องการ
“อย่าหยุดนะ! เราต้องหนีไปจากที่นี่ให้ได้!”
นัทตะโกนพลางมองไปข้างหน้า หัวใจของเขาเต้นระรัวเหมือนจะหลุดออกมาจากอก
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 10
Comments