ในตอนเช้า ทั้งตึกมณีรัตน์ปกคลุมไปด้วยบรรยากาศตึงเครียด เสียงไซเรนของรถกู้ภัยและรถตำรวจดังก้องอยู่ในหูของธนู เขามองจากหน้าต่างออกไปก็เห็นเจ้าหน้าที่จำนวนมากกำลังเข้าออกตึกอย่างเร่งรีบ เขารู้ทันทีว่าคงมีคนพบร่างของพิมพ์ดาวแล้ว
ธนูพยายามเก็บความตื่นตระหนกที่พุ่งขึ้นในใจ เขาใช้เวลาปรับสีหน้าให้เป็นปกติ และออกไปยืนรวมกับคนอื่น ๆ ที่ต่างจับกลุ่มพูดคุยและตั้งคำถามกันเสียงดัง ขณะนี้ทางตึกถูกปิด ไม่อนุญาตให้ใครเข้าออก และมีเพียงเจ้าหน้าที่ที่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
ไม่นานนัก เจ้าหน้าที่ตำรวจประกาศเชิญผู้อยู่อาศัยทุกคนในตึกไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจ ซึ่งรวมถึงธนูและแม่ของเขาด้วย ธนูรู้สึกใจเต้นระทึกขณะเดินเข้าไปในสถานี แต่เขายังคงทำตัวสงบและนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้
เมื่อถึงคิวให้ปากคำ ธนูบอกเจ้าหน้าที่ว่าเมื่อคืนเขาอยู่ดูแลแม่ที่ป่วย ไม่ได้ออกไปไหนเลย เขาเข้านอนตั้งแต่สี่ทุ่ม ซึ่งคำให้การของเขาตรงกับที่แม่ของเขาบอกเจ้าหน้าที่เช่นกัน ธนูรู้สึกถึงสายตาของตำรวจที่จับจ้องมาที่เขาอย่างจดจ่อ แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีข้อสงสัยในคำพูดของเขา เพราะคำให้การทั้งสองสอดคล้องกันอย่างแนบเนียน
หลังจากการให้ปากคำสิ้นสุดลง ธนูออกจากสถานีตำรวจด้วยความโล่งใจ แม้ภายในใจยังคงสั่นระริก แต่เขารู้สึกว่าตนเองสามารถผ่านเหตุการณ์นี้มาได้โดยไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้เบื้องหลัง เขาเดินกลับมาที่ตึกพร้อมกับแม่ โดยพยายามเก็บความรู้สึกที่กำลังร้อนรุ่มอยู่ข้างใน
แต่ในความเงียบสงบของเขา ธนูรู้ดีว่าความกลัวและความสำนึกผิดจะยังคงติดตามเขาไปทุกที่ ความรู้สึกผิดเริ่มกัดกินใจของเขาอย่างเงียบเชียบ และภาพของพิมพ์ดาวก็ยังคงตามหลอกหลอนเขาอย่างไม่มีวันจบสิ้น
หลังจากนั้นตำรวจตามสืบเรื่องของพิมพ์ดาวต่อ และการสืบสวนค่อยๆเงียบไป เนื่องจากไม่มีกล้องวงจรปิด และหาอาวุธที่ใช้ทำร้ายพิมพ์ดาวไม่พบ
ธนูรู้ดีว่าที่ใต้ฝ้าในห้องน้ำของเขา ยังคงมีหลักฐานที่มัดตัวเขาอยู่ จนกระทั่งวันหนึ่งธนูหาโอกาสที่จะทำลายมัน โดยวางแผนว่าจะเอาไปเผาที่ป่าแห่งหนึ่ง
ธนูรู้สึกใจหายวาบเมื่อตระหนักว่าหลักฐานชิ้นสำคัญที่เขาซ่อนไว้ใต้ฝ้าในห้องน้ำหายไป ความตื่นตระหนกแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ขาของเขาอ่อนแรงจนแทบยืนไม่ไหว เขาพยายามคิดทบทวนว่ามีใครอาจจะเข้ามาในห้องของเขาหรือไม่ แต่ทุกอย่างถูกล็อคอย่างแน่นหนาเสมอ และแม่ของเขาก็แทบไม่ได้ออกไปไหน นี่ทำให้เขายิ่งรู้สึกสงสัยว่าหลักฐานเหล่านั้นหายไปได้อย่างไร
เขารีบค้นหาทุกซอกทุกมุมในห้องน้ำ และรอบ ๆ ห้องอย่างบ้าคลั่ง แต่กลับไม่พบร่องรอยของเสื้อผ้าหรือมีดที่ใช้ในคืนนั้น ราวกับว่ามันหายไปอย่างไร้ร่องรอย ธนูยืนค้างอยู่กลางห้องด้วยใบหน้าซีดเผือด หัวใจของเขาเต้นรัวเหมือนจะหลุดออกมาจากอก
ความคิดมากมายวนเวียนอยู่ในหัว เขาพยายามคิดทบทวนถึงคนที่อาจเข้าถึงหลักฐานเหล่านี้ หรืออาจจะเป็นไปได้ไหมว่าตำรวจเข้ามาค้นห้องของเขาโดยที่เขาไม่รู้ตัว
วันนั้นธนูไม่สามารถสงบใจได้ เขาแทบจะข่มตานอนไม่ลง เพราะกลัวว่าหลักฐานที่หายไปอาจถูกใช้กลับมาเป็นหลักฐานมัดตัวเขาในภายหลัง ความคิดที่ว่าอาจมีใครบางคนที่รู้เรื่องในคืนนั้นทำให้เขาหวาดกลัวจนแทบเป็นบ้า
ธนูเริ่มระแวงทุกคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนบ้าน คนแปลกหน้าที่เดินผ่าน หรือแม้กระทั่งแม่ของเขาเอง ความกังวลและความกลัวกัดกินใจของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ เขารู้ดีว่าถึงแม้การสืบสวนของตำรวจจะเงียบไปในตอนนี้ แต่ก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่ามันจะไม่ถูกขุดขึ้นมาอีกเมื่อไหร่
ท่ามกลางความเงียบที่น่าหวาดหวั่น ธนูรู้สึกว่าชีวิตของเขากำลังพังทลายลงทุกวัน ความผิดที่เขาก่อกำลังกัดกินเขาอย่างช้า ๆ และในใจเขารู้ดีว่าไม่ช้าก็เร็ว ความจริงอาจจะถูกเปิดเผยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
.
แปดปีต่อมา หลังจากที่คดีของพิมพ์ดาวเกือบจะถูกลืมเลือนไป ธนูถูกตำรวจเชิญตัวมาสอบสวนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขารู้สึกถึงความแตกต่างจากเมื่อก่อน บรรยากาศในห้องสอบสวนดูหนักอึ้งและน่าอึดอัด ตำรวจสองนายที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้เขารู้ว่าทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ตำรวจแจ้งธนูว่ามีการค้นพบอาวุธที่ใช้ทำร้ายพิมพ์ดาว ห่อมีดถูกพบในห้องของผู้เช่าที่ตึกมณีรัตน์ และการตรวจสอบดีเอ็นเอบนหลักฐานเหล่านั้นก็ตรงกับของพิมพ์ดาว
ธนูหน้าซีดลงทันที ร่างกายของเขาแข็งทื่อเหมือนถูกแช่แข็ง ความจริงที่เขาพยายามปิดบังและเก็บไว้กับตัวเองมานานแปดปี ตอนนี้ได้กลับมาหลอกหลอนเขาอีกครั้ง
ท่ามกลางความเงียบอันกดดัน ธนูค่อย ๆ เอ่ยปากพูดทั้งเสียงสั่นเครือ และเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดอย่างละเอียดยิบ เขาเล่าเหตุการณ์ในคืนนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ น้ำตาไหลลงมาตามแก้ม และเสียงสะอึกสะอื้นของเขาสั่นคลอนทุกคำพูด
"ผม... ผมไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ..." ธนูเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเสียใจ ความรู้สึกผิดที่เขาเก็บซ่อนไว้มานานระเบิดออกมาอย่างไม่สามารถหยุดได้
"ผมแค่… แค่รักเธอมากเกินไป จน... ผมไม่รู้ว่าผมจะทำอะไรลงไป…"
เขาร้องไห้หนักขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกับเด็กที่เพิ่งสูญเสียสิ่งสำคัญไป เสียงของเขาแผ่วลงราวกับไม่มีแรงเหลือ แม้แต่จะพูดออกมาให้จบคำ เขายอมรับความผิดของตัวเองด้วยความสำนึกผิดที่แท้จริง แต่ทุกอย่างก็สายเกินไป
ตำรวจนั่งฟังคำสารภาพของธนูโดยไม่มีคำพูดใด ๆ เพียงแต่บันทึกเรื่องราวทั้งหมดลงในรายงาน ขณะที่ธนูยังคงสะอึกสะอื้นและนั่งก้มหน้าอยู่ในห้องสอบสวน ราวกับร่างของเขาถูกฉีกกระชากด้วยความรู้สึกผิดที่ไม่อาจลบล้างได้
ในที่สุด ธนูเงยหน้าขึ้น น้ำตาของเขายังคงไหลรินไม่หยุด เขารู้แล้วว่าเขาจะต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เขาทำลงไป ความรู้สึกของเขาถูกกลืนกินไปด้วยความสำนึกผิดที่ทับถมตลอดเวลา และเขาก็ยอมรับมันด้วยความเต็มใจ ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับอะไรต่อจากนี้
เช้าวันถัดมา ในขณะที่ทุกคนคิดว่าคดีของพิมพ์ดาวปิดลงอย่างสมบูรณ์ หญิงชราคนหนึ่งปรากฏตัวที่สถานีตำรวจ เธอเดินเข้ามาด้วยท่าทางอิดโรยและสายตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าหมอง ก่อนจะบอกเจ้าหน้าที่ว่าตนเองคือผู้ที่ทำร้ายพิมพ์ดาว เธอกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือว่า ธนู ลูกชายของเธอเป็นคนบริสุทธิ์ และเขายอมรับผิดแทนเธอเท่านั้น
“ปล่อยเขาไปเถอะค่ะ ฉันขอร้อง… ฉันทำให้พิมพ์ดาวต้องเสียชีวิต ฉันเท่านั้นที่ต้องได้รับโทษ”
หญิงชราอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงสะเทือนใจ น้ำตาของเธอไหลลงอย่างไม่หยุด เธอคุกเข่าลงกับพื้นต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ ราวกับหวังว่าการแสดงความสำนึกผิดครั้งนี้จะช่วยปลดปล่อยลูกชายของเธอจากชะตากรรมที่เลวร้ายได้
ตำรวจพยายามสอบปากคำเธอ โดยถามถึงรายละเอียดเหตุการณ์ในคืนนั้น แต่หญิงชรากลับให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงและหลักฐานที่ทางตำรวจมี เธอเล่าถึงการทะเลาะเบาะแว้งที่ไม่เคยเกิดขึ้น และให้รายละเอียดผิดพลาดเกี่ยวกับสถานที่เกิดเหตุ
ตำรวจที่ทำหน้าที่สอบปากคำทำได้เพียงส่ายหน้าและถอนหายใจเบา ๆ พวกเขามองเห็นได้ชัดเจนถึงความรักอันลึกซึ้งที่หญิงชรามีต่อลูกชายของเธอ ความรักที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อปกป้องลูก แม้กระทั่งยอมรับผิดในสิ่งที่เธอไม่ได้ก่อ ความเวทนาก่อเกิดขึ้นในใจของทุกคนที่ได้ยินคำพูดของเธอ แต่ความจริงและหลักฐานที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ทำให้พวกเขาไม่สามารถช่วยเหลือเธอได้
เมื่อหญิงชรารับรู้ว่าคำให้การของเธอไม่ได้เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของลูกชาย น้ำตาของเธอก็ไหลอาบแก้มอีกครั้ง เธอกุมมือที่สั่นเทาไว้แน่น ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจค่อย ๆ ประคองเธอลุกขึ้นจากพื้น พร้อมกับบอกว่า
“พวกเราขอโทษด้วยครับ แต่อย่างไรความจริงก็ต้องเป็นความจริง”
เธอยังคงกอดภาพความหวังและความรักไว้ในใจ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้ว่าไม่สามารถช่วยลูกชายได้อีกต่อไป หญิงชราหันหลังกลับและเดินออกจากสถานีตำรวจอย่างช้า ๆ ร่างเล็กของเธอค่อย ๆ หายลับไปท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเช้า ปล่อยให้ทุกคนเฝ้าคิดถึงความรักของแม่ที่ยิ่งใหญ่และเจ็บปวด
.
ในวันที่ศาลตัดสินคดีพิมพ์ดาว เสียงกระซิบกระซาบและอารมณ์ที่หลากหลายสะท้อนอยู่ในห้องพิจารณา ฝ่ายพิมพ์ดาว ทั้ง มิ้น ป่านที่เป็นพี่สาว แม็กซ์อดีตแฟนหนุ่มของเธอ รวมถึงอาทิตย์ เจน แก้ม และขิม ต่างนั่งกันอยู่พร้อมหน้า แต่ละคนมีความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้ หลังจากการสูญเสียอันแสนทรมานมานานถึงแปดปี พวกเขาหวังว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของความเจ็บปวด ความเศร้าที่ทับถมในใจ จะได้รับการปลดปล่อย และวิญญาณของพิมพ์ดาวจะได้ไปสู่สุขคติ
มิ้น นั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง มือกำผ้าเช็ดหน้าแน่นจนเหงื่อซึม เธอเฝ้าหวนคิดถึงสิ่งที่เธอได้พบเจอหลังจากที่ย้ายเข้ามาอยู่ห้องหมายเลข 27 ภาพของพิมพ์ดาวที่พยายามสื่อสารเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเอง ยังคงชัดเจนในความทรงจำ นับตั้งแต่วันนั้น ชีวิตเธอก็เปลี่ยนไปเช่นกัน วันนี้พิมพ์ดาวจะได้หลุดพ้นจากความทุกข์เสียที
ป่าน พี่สาวของพิมพ์ดาว นั่งจ้องธนูที่ยืนรับฟังคำพิพากษาด้วยสายตาแข็งกร้าว ความเสียใจของเธอ กลายเป็นความคั่งแค้นในใจตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอไม่อาจให้อภัยคนที่ทำให้น้องสาวของเธอต้องจบชีวิตลง แต่ในขณะเดียวกันเธอก็หวังว่า เมื่อความยุติธรรมถูกจัดการเสียที วิญญาณของพิมพ์ดาวจะได้รับการปลอบประโลม
ส่วนแม็กซ์ อดีตแฟนหนุ่มของพิมพ์ดาวนั่งอยู่ใกล้ ๆ เขาส่งสายตาอันว่างเปล่าไปยังธนู ความเจ็บปวดในใจของเขาก่อตัวขึ้นเป็นความโกรธที่ไม่มีวันจาง เขาเคยคิดโทษตัวเองที่ไม่อาจอยู่ข้างเธอในคืนที่เธอจากไป ทุกความทรงจำกับพิมพ์ดาวเป็นเหมือนคำสัญญาที่ไม่อาจทำให้เธอมีความสุขได้ แต่วันนี้ เขาหวังว่าการลงโทษนี้จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดที่เขาเก็บไว้ในใจ และส่งพิมพ์ดาวไปสู่ความสงบ
เมื่อศาลประกาศโทษประหารชีวิตแก่ธนู เสียงถอนหายใจเบา ๆ และน้ำตาไหลอาบแก้มของคนที่รักพิมพ์ดาว พวกเขาได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นของธนูในตอนที่เขาพยายามจะขอโทษ แม้จะสายไปแล้วก็ตาม แต่ไม่มีใครยอมรับคำขอโทษนั้น พวกเขาเพียงแค่เฝ้ามองเงียบ ๆ ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ความรัก ความสูญเสีย ความแค้น และความอาลัย ทุกอย่างถูกปลดปล่อยออกมาในวันเดียว
หลังจากคำตัดสินของศาล แม่ของธนูนั่งนิ่ง น้ำตาร่วงลงจากดวงตาที่เคยเปี่ยมไปด้วยความหวัง แต่ตอนนี้กลับว่างเปล่าและเศร้าหมอง หัวใจของเธอราวกับถูกฉีกขาดออกจากกัน เธอไม่เคยคาดคิดว่าคำตัดสินครั้งนี้จะพรากลูกชายไปจากเธออย่างไม่มีวันหวนกลับ
เธอพยายามเข้าไปหาเขาอีกครั้งหลังคำพิพากษา หวังเพียงเพื่อบอกลาครั้งสุดท้าย แต่เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้เธอเข้าไป ทุกคำอ้อนวอนของเธอเหมือนลอยหายไปในอากาศ เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังก้องไปทั่วห้องโถงศาล จนกระทั่งเธอหมดเรี่ยวแรง
หลังจากวันนั้น หญิงชรากลับไปยังห้องเช่าเล็ก ๆ ของเธอเพียงลำพัง ห้องที่เคยเป็นแหล่งกำลังใจและความหวังสำหรับการรอคอยลูกชาย ทุกอย่างที่เคยอยู่รอบตัวกลับดูว่างเปล่าและไร้ความหมาย เธอแทบไม่ออกจากห้องเลย ไม่ทานอาหารและไม่พูดกับใคร แม้แต่เพื่อนบ้านที่เคยมาดูแลปลอบประโลมเธอ เธอเอาแต่นั่งอยู่ข้างหน้าต่าง หวังว่าจะได้เห็นธนูกลับมาหา แม้ว่าในใจลึก ๆ เธอจะรู้ดีว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้
คืนแล้วคืนเล่าผ่านไป เธอใช้เวลาทั้งหมดนั่งมองภาพถ่ายของลูกชายอย่างเงียบ ๆ ตาแดงก่ำด้วยความโศกเศร้า จนกระทั่งคืนวันที่เจ็ด เธอเอนร่างอันผ่ายผอมลงบนเตียงครั้งสุดท้าย
ก่อนที่แม่ของธนูจะหลับลงตลอดกาล ภาพความทรงจำอันหนักหน่วงจากอดีตแปดปีก่อนแล่นเข้ามาในหัว
คืนฝนตกหนักนั้นช่างชัดเจนราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้น วันนั้นเธอเข้านอนเร็วตามปกติ ขณะที่นอนหลับเงียบอยู่ในห้องแคบ ๆ เธอรู้สึกตัวขึ้นกลางดึกเมื่อได้ยินเสียงลูกชายข้างกายบอกด้วยเสียงนุ่มนวลว่า
"แม่ครับ วันนี้ผมจะไปบอกความในใจกับผู้หญิงที่ผมรัก" เธอไม่ได้ลืมตาขึ้นมองเขา ได้แต่อวยพรเงียบ ๆ ให้ลูกของเธอสมหวังในความรักครั้งนี้ และขอให้โชคชะตาเป็นใจให้กับเขา
หลังจากธนูออกจากห้องไป ความเงียบปกคลุมห้องจนเธอหลับไปอีกครั้ง แต่ในคืนนั้นเธอตื่นขึ้นอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงลูกชายกลับมาด้วยอาการแปลกไปจากเดิม ธนูร้องไห้อยู่ข้างเตียงเธอ เสียงสะอึกสะอื้นของเขาช่างเจ็บปวด เธอเองก็ใจหาย รู้สึกได้ว่าความเจ็บปวดของลูกชายอาจเกิดจากความผิดหวังในความรัก แต่ด้วยความกลัวว่าจะเป็นการตอกย้ำ เธอจึงเลือกที่จะนอนนิ่ง และให้เขาได้ปลดปล่อยความทุกข์ไปตามลำพัง
จนกระทั่งเช้าวันถัดมา ที่ความสงบของตึกถูกทำลายด้วยข่าวร้าย มีคนพบร่างไร้ชีวิตของพิมพ์ดาว เธอสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ ความสับสนก่อตัวขึ้นในใจ เธอจำได้ถึงการกลับห้องด้วยความผิดปกติของธนูเมื่อคืน ภาพลูกชายที่ร้องไห้ข้างเตียงยังคงติดอยู่ในใจ สร้างความสงสัยที่เธอเก็บเงียบไว้ ไม่กล้าเอ่ยถามลูกชายด้วยกลัวความจริงที่อาจตามมา
ช่วงเวลาในวันและเดือนต่อ ๆ มา เธอเริ่มสังเกตพฤติกรรมของธนูที่ทำให้หัวใจของเธอสั่นไหว เมื่อเห็นเขาเปิดฝ้าในห้องน้ำขึ้นดูบ่อยครั้ง สีหน้าของเขามักดูหนักใจเหมือนมีบางอย่างที่เขาพยายามซ่อนไว้ เธอรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติ แต่เธอก็ยังคงนิ่งเงียบ ไม่กล้าสงสัยลูกชายของตัวเองอย่างจริงจัง
จนกระทั่งวันหนึ่งในตอนที่ธนูออกไปทำงาน เธอทนความสงสัยไม่ไหวอีกต่อไป เธอค่อย ๆ ก้าวเข้าไปในห้องน้ำ ด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง เธอมองขึ้นไปยังฝ้าที่ลูกชายเปิดดูบ่อย ๆ ด้วยหัวใจที่เต้นระทึก และตัดสินใจปีนขึ้นไปสำรวจ
มือที่สั่นเทาของเธอเอื้อมหยิบบางสิ่งที่ซุกอยู่ใต้ฝ้า เมื่อดึงมันลงมา เธอถึงกับใจหล่นวูบ เธอพบเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดและห่อมีดที่ถูกซ่อนไว้อย่างลับ ๆ ภาพของเสื้อที่มีคราบสีแดงและห่อมีดในมือทำให้เธอสะอื้นออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ น้ำตาของแม่ไหลรินเป็นสายขณะยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางความเงียบของห้องน้ำ ความจริงที่เธอหวาดกลัวมาตลอดถูกเปิดเผยในมือของเธอเอง หัวใจของแม่แทบแตกสลายกับความจริงอันโหดร้ายที่ต้องยอมรับ
แม้เธอจะรับรู้ทุกอย่างแล้ว แต่เธอก็ยังเลือกที่จะเก็บมันไว้ และไม่เคยปริปากบอกใคร เธอต้องทนมองลูกชายในทุก ๆ วัน ด้วยความรักและความเจ็บปวดที่ไม่อาจแบ่งปันให้ใครได้รับรู้ แม้กระทั่งธนูเอง ในใจเธอรู้ดีว่าเขาทำผิด แต่ความรักของแม่ทำให้เธอไม่สามารถละทิ้งลูกของเธอไปได้
เธอตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะช่วยลูกชายของเธอ แม้ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องเขาจากสิ่งที่เขาได้ก่อไว้ เมื่อเธอได้โอกาสรับงานทำความสะอาดห้องจากผู้ดูแลตึก เธอเห็นโอกาสที่จะย้ายหลักฐานชิ้นสำคัญไปซ่อนที่อื่นทันที หลังจากที่รีบกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้อง เธอปีนขึ้นไปเปิดฝ้าในห้องน้ำ นำห่อมีดลงมาอย่างระมัดระวัง
เธอออกจากห้องพร้อมห่อมีดที่ห่ออยู่ในผ้าเก่าอย่างรัดกุม ด้วยใจที่เต้นรัวกับความตื่นเต้นและหวาดกลัว เธอเดินตรงไปยังห้องที่ได้รับมอบหมายให้ทำความสะอาด ห้องนี้เป็นห้องของหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่พบร่างของพิมพ์ดาว ซึ่งเธอคิดว่าหากซ่อนหลักฐานไว้ที่นี่ คงไม่มีใครมาพบง่าย ๆ เธอปีนขึ้นไปเปิดฝ้าในห้องน้ำของห้องนั้น และซุกซ่อนห่อหลักฐานไว้ในช่องว่างอย่างมิดชิด ก่อนที่จะปิดฝ้ากลับไปเหมือนเดิม
หลังจากจัดการเรื่องหลักฐานเสร็จ เธอก็หันไปทำความสะอาดห้องอย่างตั้งใจ เพื่อให้ดูเหมือนว่าทุกอย่างเป็นปกติที่สุด เมื่อทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อย เธอก็ไปรับค่าจ้างจากผู้ดูแลตึก เงินจำนวนเล็กน้อยในมือเธอ แม้จะไม่มากมายแต่ก็ทำให้เธอรู้สึกโล่งใจและภาคภูมิใจที่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระของลูกชายไปได้บ้าง
ในตอนเย็น หลังจากที่เธอกลับห้องไปแล้ว เธอนำห่อเสื้อผ้าเปื้อนเลือดที่แยกไว้ออกไปที่ป่าแห่งหนึ่งนอกเมือง เธอจุดไฟเผาห่อเสื้อผ้าอย่างตั้งใจ เฝ้ามองเปลวไฟที่ลุกโชนเผาทำลายหลักฐานทั้งหมด เสมือนว่าความผิดของลูกชายได้ถูกกลบฝังไว้ภายใต้เถ้าถ่าน เธอหวังว่าเมื่อละอองเถ้าลอยไปแล้ว เรื่องราวทั้งหมดจะกลายเป็นความลับที่เธอจะเก็บติดตัวไปจนวันสุดท้ายของชีวิต
วันหนึ่ง เธอบังเอิญได้ยินอาทิตย์กับเจนคุยกันถึงเรื่องวิญญาณของพิมพ์ดาวที่ยังคงวนเวียนอยู่ อาทิตย์บอกเจนว่าเขารู้สึกเหมือนเห็นเงาเลือนรางยืนอยู่ตรงหน้าห้องของพิมพ์ดาวในหลายๆ คืน จนเขาแทบไม่กล้าเดินผ่านทางนั้น
เมื่อเธอได้ยินเช่นนั้น หัวใจของเธอก็สั่นไหวด้วยความหวาดกลัว เธอกังวลว่าสักวันหนึ่งหลักฐานที่ซ่อนไว้ในห้องนั้นอาจจะถูกเปิดเผย เธอคิดถึงวิธีป้องกันสิ่งชั่วร้ายไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่เธอซ่อนไว้ จึงเกิดความคิดที่จะเสนอให้อาทิตย์และเจนติดยันต์ท้าวเวสสุวรรณไว้ที่หน้าห้อง เพราะเชื่อกันว่ายันต์นี้สามารถป้องกันวิญญาณร้ายได้
วันหนึ่งขณะเจออาทิตย์ที่บันไดทางเดิน เธอทำทีเป็นพูดคุยด้วยความห่วงใยและพูดว่า
“ป้าได้ยินมาว่าช่วงนี้เหมือนจะมีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นเหรอ” แกล้งถามไปอย่างเป็นกันเอง
อาทิตย์ถอนหายใจเบาๆ แล้วเล่าเรื่องวิญญาณพิมพ์ดาวที่เขาเห็นอยู่บ่อยๆ แม่ของธนูทำหน้าตกใจอย่างเต็มที่ แล้วพูดขึ้นว่า
“ป้าเคยได้ยินมาว่ายันต์ท้าวเวสสุวรรณช่วยป้องกันสิ่งไม่ดีได้ ลองหามาติดดูมั้ยลูก เผื่อจะช่วยได้”
คำแนะนำของเธอทำให้อาทิตย์พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย เขารับปากว่าจะลองหายันต์มาบูชา เธอรู้สึกโล่งใจที่ความคิดนี้จะช่วยให้สิ่งที่ซ่อนไว้ไม่ถูกรบกวนอีก
.
ในจิตสุดท้ายก่อนสิ้นลมหายใจ เธอรู้ว่าคงได้เจอธนูอีกครั้งที่ปลายทาง และนั่นเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยปลอบโยนเธอให้หลับไปอย่างสงบ
วันรุ่งขึ้นเพื่อนบ้านเข้ามาหาเธอและพบว่าเธอจากไปอย่างสงบ รอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้าของเธอเหมือนกับว่าเธอได้พบกับสิ่งที่รอคอยมาตลอด ทั้งที่น้ำตายังติดอยู่ที่ขอบตา เสมือนกับว่าเธอได้กลับไปพบลูกชายอีกครั้งในที่ที่ไร้ความทุกข์และความเจ็บปวด
.
ในวันทำบุญให้พิมพ์ดาว ทุกคนที่รักเธอทั้งมิ้น ป่าน แม็กซ์ อาทิตย์ เจน แก้ม และขิม ต่างมารวมตัวกันที่วัดเล็กๆ ที่พิมพ์ดาวเคยชอบมา ทุกคนมีสีหน้าหม่นหมอง แต่ภายในใจเปี่ยมไปด้วยความหวังว่าสิ่งที่ทำวันนี้จะช่วยปลดปล่อยวิญญาณของพิมพ์ดาวให้หลุดพ้นจากความทุกข์
หลังเสร็จพิธี พวกเขานั่งสงบนิ่งเพื่อส่งใจให้พิมพ์ดาว ป่านที่มีสัมผัสที่หกจู่ๆ ก็รู้สึกถึงการปรากฏตัวของพิมพ์ดาวราวกับน้องสาวยังคงอยู่ตรงนี้ ป่านหันไปมองรอบๆ และสายตาก็หยุดลงที่มุมหนึ่งของโบสถ์ เธอเห็นภาพร่างเลือนรางของพิมพ์ดาวในชุดสีขาวบริสุทธิ์ ยืนอยู่ด้วยใบหน้าที่ดูสงบสุขกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
พิมพ์ดาวมองทุกคนที่นั่งล้อมอยู่ด้วยแววตาอ่อนโยน แล้วส่งรอยยิ้มบางๆ ราวกับจะบอกลาทุกคนในครั้งสุดท้าย ป่านน้ำตาคลอ แม็กซ์เองก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านออกมา เขาหลับตาลงเพื่อจดจำภาพนี้ไว้ในใจ
ป่านพึมพำออกมาเบาๆ น้ำตาไหลอาบแก้ม “น้องพิมพ์... พี่ขอโทษที่วันนั้นไม่ได้อยู่ข้างๆ น้องในวันที่น้องต้องการใครสักคน”
พิมพ์ดาวมองมาที่พี่สาวด้วยแววตาอ่อนโยน และค่อยๆ จางหายไปทีละน้อยราวกับละอองแสงอ่อนๆ ที่ส่องผ่านหน้าต่างของโบสถ์ ป่านสัมผัสได้ว่าน้องสาวของเธอไปสู่สุขคติแล้ว เธอได้แต่ภาวนาขอให้ดวงวิญญาณของพิมพ์ดาวพบกับความสงบสุขที่แท้จริง....
หลังจากวันทำบุญให้พิมพ์ดาว มิ้นยังคงเช่าห้องหมายเลข 27 ในตึกมณีรัตน์ต่อไป ชีวิตของเธอกลับเข้าสู่ภาวะสงบสุข เธอทำงานและเรียนจนสำเร็จการศึกษาในที่สุด แม้ในบางคืนจะรู้สึกเหงา แต่ภาพความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับพิมพ์ดาวยังคงอยู่ในใจของเธอ ทำให้มิ้นมีแรงผลักดันให้ก้าวเดินต่อไป
ป่านกลับไปทำงานที่บ้านต่างจังหวัด เพื่อดูแลพ่อแม่ที่มีอายุมากขึ้น ในช่วงเวลาแห่งความสุขและความเศร้า ป่านเรียนรู้ที่จะยอมรับความสูญเสีย และพยายามสร้างความสุขให้กับครอบครัว แม้จะมีบ้างที่นึกถึงน้องสาว แต่เธอก็มั่นใจว่าพิมพ์ดาวอยู่ในที่ที่ดีกว่า
ในขณะเดียวกัน แม็กซ์ตัดสินใจลาออกจากร้านสะดวกซื้อเพื่อไปทำงานที่ประเทศนิวซีแลนด์ ที่ที่เขาและพิมพ์ดาวเคยวาดฝันร่วมกันว่าอยากจะไปเที่ยวด้วยกัน เขาเชื่อว่าการเริ่มต้นใหม่ในที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์และธรรมชาติที่งดงามจะช่วยให้เขาหลีกหนีจากความทรงจำที่แสนเจ็บปวดและให้โอกาสใหม่ในการใช้ชีวิต
ส่วนอาทิตย์และเจนได้ย้ายออกจากตึกมณีรัตน์ พวกเขารู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงสถานที่อยู่อาศัยจะช่วยให้พวกเขาคลายความรู้สึกผิดเกี่ยวกับพิมพ์ดาวได้ ทั้งสองคนได้ปรับทัศนคติ และเริ่มต้นใหม่ โดยมุ่งมั่นที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความหมายมากขึ้น เเละให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
แม้ว่าชีวิตจะเดินไปข้างหน้า แต่ในใจของพวกเขายังคงมีพิมพ์ดาวอยู่เสมอ โดยหวังว่าวันหนึ่งเธอจะพบกับความสงบสุขที่เธอสมควรได้รับ
...........................The End..............................
...นตฺถิ กมฺมํ สม พลํ...
^^^แรงใดในโลกเสมอด้วยแรงกรรมไม่มี^^^
...กมฺมสฺสโกมฺหิ...
...เมื่อทำกรรมไว้อย่างไร ...
...ก็ต้องรับผลของกรรมนั้น...
พุทธศาสนาถือว่า สัตว์ทั้งหลายจะดีหรือชั่วย่อมขึ้นอยู่กับการกระทำของตนเอง ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับผู้อื่น หรือขึ้นอยู่กับวงศ์ตระกูล เพราะการทำดีทำชั่วต้องทำด้วยตนเอง ไม่ใช่มีผู้อื่นมาทำให้ได้ เหตุนี้สัตว์ทั้งหลายจึงมีกรรมเป็นของตน
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 15
Comments