ตอนที่ 13 - ผิดที่ใคร

พาร์ทธนู

ในวัยเด็กของธนู เขาเคยมีครอบครัวที่อบอุ่น มีพ่อและแม่ที่รักเขามาก ในเย็นวันหนึ่งหลังจากที่ธนูกลับจากโรงเรียน เขาวิ่งเข้ามาในบ้านด้วยความสดใส พ่อของเขานั่งอยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่น ท่ามกลางแสงแดดอ่อนๆ ที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา

"พ่อครับ วันนี้ครูชมผมว่าผมทำการบ้านได้ดี" ธนูพูดด้วยความตื่นเต้น พลางยิ้มอย่างภูมิใจ

พ่อยิ้มตอบอย่างอ่อนโยน "เก่งมากลูก พ่อภูมิใจในตัวลูกมากเลยนะ"

"พ่อครับ ผมอยากจะเป็นหมอเหมือนพ่อในอนาคต" ธนูกล่าวพลางนั่งลงข้างๆ พ่อ

พ่อเอื้อมมือมาลูบหัวลูกชายเบาๆ "พ่อรู้ว่าลูกทำได้ ลูกเป็นเด็กฉลาดและขยัน พ่อเชื่อว่าลูกจะเป็นหมอที่ดีได้แน่นอน"

"พ่อครับ ถ้าผมเจอคนเจ็บ ผมจะช่วยเขาเหมือนที่พ่อทำใช่ไหม?" ธนูถามด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวังและความตั้งใจ

พ่อยิ้มและตอบด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น "ใช่แล้วลูก การช่วยเหลือคนอื่นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และพ่อรู้ว่าลูกมีใจที่ดีและกล้าหาญ ลูกจะทำได้แน่นอน"

ธนูพยักหน้าและกอดพ่ออย่างแนบแน่น "พ่อครับ ผมรักพ่อมากนะครับ"

พ่อยิ้มและกอดธนูกลับ "พ่อก็รักลูกมากเช่นกัน ลูกคือความภูมิใจและความหวังของพ่อ"

แต่ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาลในวัยเพียง 10 ขวบ เมื่อพ่อของเขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และเสียชีวิต ธนูต้องรับรู้ความเจ็บปวดและสูญเสียในวัยที่ยังเล็กอยู่

ภาพของแม่ที่นั่งอยู่ในห้องรับแขกที่เคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความอบอุ่น เปลี่ยนไปเป็นห้องที่เต็มไปด้วยความเงียบงันและเศร้าหมอง แม่ของธนูนั่งอยู่บนโซฟา ตัวเธอสั่นไหวจากความเศร้า มือจับรูปถ่ายของพ่อไว้แน่น น้ำตาไหลอาบแก้มไม่ขาดสาย

ธนูยืนอยู่ใกล้ๆ เขามองแม่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนและเจ็บปวด เขาไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อถึงจากไปโดยไม่มีวันกลับ ความทรงจำที่มีร่วมกับพ่อยังคงสดใสในใจเขา แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นความทรงจำที่เจ็บปวด

แม่หันมามองธนูด้วยสายตาที่อ่อนล้าและเต็มไปด้วยความทุกข์ "ธนู... แม่ขอโทษนะลูก... แม่ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไป..."

ธนูพยายามกลั้นน้ำตา เขาเดินเข้าไปกอดแม่แน่น "แม่ครับ... ไม่เป็นไรครับ เราจะผ่านมันไปด้วยกัน ผมจะอยู่ข้างแม่เสมอ"

แม่กอดธนูกลับและร้องไห้สะอึกสะอื้น "พ่อของลูก... เขาเป็นคนดีมาก เขารักลูกมาก ธนู... ลูกต้องเข้มแข็งนะ"

ทุกคืนหลังจากวันที่พ่อจากไป แม่และธนูต้องเผชิญกับความโศกเศร้าที่ไม่มีที่สิ้นสุด บางครั้งแม่จะนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวในห้องนอน ส่วนธนูก็ต้องเก็บความรู้สึกเจ็บปวดไว้ในใจ เขามักจะนั่งอยู่ที่หน้าต่าง มองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวและคิดถึงพ่อ

เวลาเดินไปอย่างช้าๆ ความเศร้าและความเหงาไม่ได้ลดน้อยลงเลย ธนูและแม่ต้องพยายามหาวิธีที่จะอยู่รอดในโลกที่ไม่มีพ่อ ความเจ็บปวดจากการสูญเสียทำให้ทั้งสองคนต้องเข้มแข็งขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งมันก็ทำให้หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยบาดแผลที่ไม่มีวันหาย

ทุกครั้งที่ธนูเห็นแม่ร้องไห้ เขาจะรู้สึกเจ็บปวดและหมดหวัง แต่เขารู้ว่าเขาต้องเข้มแข็งเพื่อแม่ เพื่อที่จะทำให้แม่รู้ว่าเขายังอยู่ข้างๆ และจะไม่ทิ้งแม่ไปไหน เขาจะเป็นความหวังและกำลังใจของแม่ ไม่ว่าเส้นทางข้างหน้าจะยากลำบากเพียงใด

แม่ของธนูเป็นเพียงแม่บ้านธรรมดา ที่ไม่ได้มีอาชีพหรือรายได้ที่มั่นคง เมื่อพ่อเสียชีวิต แม่จึงต้องกลายเป็นหัวหน้าครอบครัว ท่านรับจ้างทำงานทุกอย่างที่สามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นงานบ้าน หรืองานรับจ้างรายวัน เพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูธนู ด้วยความหวังที่เต็มเปี่ยมในตัวลูกชาย แม่ของธนูคาดหวังให้ธนูเป็นเด็กดีและเรียนเก่ง เพื่อที่อนาคตจะได้มีชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่

เมื่อชีวิตต้องเปลี่ยนแปลง แม่ของธนูจึงต้องพาธนูย้ายออกจากบ้านหลังใหญ่ที่ยังผ่อนธนาคารไม่หมด การตัดสินใจนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เพื่อที่จะลดภาระทางการเงินและทำให้ชีวิตสามารถดำเนินต่อไปได้ แม่ของธนูจึงเริ่มมองหาที่พักใหม่ที่มีราคาถูกลง

วันหนึ่งเมื่อแดดจ้าและอากาศร้อน ธนูช่วยแม่ขนของลงจากรถเก่าๆ ที่เคยเป็นของพ่อ มันเป็นวันที่พวกเขาต้องย้ายออกจากบ้านที่เคยเต็มไปด้วยความทรงจำ บ้านหลังใหญ่ที่เคยเป็นที่พำนักของครอบครัว แต่ตอนนี้กลายเป็นภาระที่เกินกำลังจะรับไหว

แม่เดินนำหน้าธนูไปยังห้องพักที่เช่าไว้ มันเป็นห้องเล็กๆ ในอาคารเก่าๆ ที่อยู่ในย่านชานเมือง ธนูมองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกสับสนและหดหู่ แต่เขาไม่ได้แสดงออกมา เพราะรู้ว่าแม่ก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน

“ธนู เราจะอยู่ที่นี่นะลูก” แม่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะเข้มแข็ง แต่ก็ยังคงมีความเศร้าและความเหนื่อยล้าอยู่ในแววตา

ธนูพยักหน้าและพยายามยิ้ม “ครับแม่ ผมเข้าใจ”

การย้ายโรงเรียนของธนูเพื่อให้ใกล้ห้องพักก็เป็นอีกหนึ่งการตัดสินใจที่แม่ต้องทำ โรงเรียนใหม่ไม่ใหญ่โตเหมือนโรงเรียนเก่า แต่แม่บอกว่ามันจะช่วยลดค่าใช้จ่ายและทำให้เดินทางสะดวกขึ้น

วันแรกที่ธนูไปโรงเรียนใหม่ แม่พาเขาเดินไปพร้อมกัน โรงเรียนนี้อยู่ไม่ไกลจากห้องพัก ใช้เวลาเดินแค่สิบห้านาทีเท่านั้น ระหว่างทาง แม่พูดกับธนูว่า “แม่รู้ว่ามันยากสำหรับลูก แต่แม่อยากให้ลูกตั้งใจเรียน อย่าให้ความยากลำบากมาขวางกั้นความฝันของลูกนะ”

ธนูฟังแล้วก็รู้สึกถึงความหวังและความรักที่แม่มีให้ เขาตอบกลับด้วยความมั่นใจ “ผมจะพยายามให้ดีที่สุดครับแม่”

เมื่อมาถึงโรงเรียนใหม่ ธนูรู้สึกตื่นเต้นและกังวลใจในเวลาเดียวกัน เขาเดินเข้าไปในห้องเรียนที่เต็มไปด้วยเด็กๆ ที่เขาไม่รู้จัก อาจารย์แนะนำธนูให้กับเพื่อนร่วมชั้น แต่กลับไม่มีใครสนใจหรือทักทายเขา

ระหว่างพักกลางวัน ธนูนั่งกินข้าวคนเดียวที่มุมห้อง เพราะไม่มีใครชวนเขาไปนั่งด้วย ความรู้สึกเหงาและโดดเดี่ยวเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ แต่ธนูก็พยายามทำใจให้เข้มแข็งและไม่ให้แม่รู้สึกกังวล

ในช่วงบ่าย ขณะที่ธนูเดินผ่านสนามเด็กเล่น เด็กกลุ่มหนึ่งที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่เริ่มมองมาที่เขาและซุบซิบกัน ธนูพยายามไม่สนใจและเดินต่อไป แต่เสียงหัวเราะและคำพูดเสียดสีทำให้เขาหยุดและหันกลับไปมอง

“นี่ เด็กใหม่ นายชื่ออะไรน่ะ?” หนึ่งในเด็กกลุ่มนั้นถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตร

“ผมชื่อธนู” เขาตอบกลับด้วยความไม่มั่นใจ

“ชื่อแปลกๆ นะ แล้วทำไมต้องย้ายมาโรงเรียนนี้ล่ะ?” อีกคนหนึ่งถามพลางหัวเราะ

“พ่อเขาคงไม่มีเงินเรียนโรงเรียนเดิมแล้วมั้ง” เด็กคนหนึ่งพูดและหัวเราะเยาะ

คำพูดนั้นทำให้ธนูรู้สึกเจ็บปวดและอับอาย เขาพยายามไม่สนใจและเดินหนีไป แต่เด็กกลุ่มนั้นก็เดินตามและเริ่มกลั่นแกล้งเขา

“อย่ามาทำเป็นเก่งนะ เด็กใหม่ นายต้องทำตามที่พวกเราบอก ไม่งั้นเจอดี” หนึ่งในเด็กกลุ่มนั้นพูดและผลักธนูอย่างแรง

ธนูล้มลงกับพื้น ความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและจิตใจทำให้เขาอยากจะร้องไห้ แต่เขาก็พยายามกลั้นน้ำตาไว้ เขารู้ว่าต้องเข้มแข็งเพื่อแม่และต้องไม่ทำให้แม่กังวล

เมื่อกลับถึงบ้าน แม่ถามด้วยความห่วงใย “เป็นยังไงบ้างลูก วันแรกที่โรงเรียนใหม่”

ธนูยิ้มและตอบ “ดีครับแม่ เพื่อนๆ ก็ดีครับ” แม้ว่าจะรู้สึกเจ็บปวด แต่เขาไม่อยากให้แม่ต้องรู้สึกเสียใจหรือกังวล

คืนนั้น ธนูนั่งอยู่ที่หน้าต่าง มองขึ้นไปบนท้องฟ้าและคิดถึงพ่อ เขารู้ว่าต้องเผชิญกับความยากลำบากอีกมากมาย แต่เขาก็สัญญากับตัวเองว่าจะไม่ยอมแพ้ เขาจะทำให้แม่ภูมิใจและจะก้าวผ่านทุกอุปสรรคไปให้ได้

เมื่อเวลาผ่านไป ธนูเริ่มรู้สึกท้อแท้และเหนื่อยล้าจากการพยายามเป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆ การกลั่นแกล้งยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งที่เขาพยายามช่วยงานหรือเข้าร่วมกิจกรรม เด็กกลุ่มนั้นก็จะหาวิธีทำให้เขารู้สึกอับอายและเจ็บปวด

การที่ต้องเผชิญกับการกลั่นแกล้งทุกวันทำให้ธนูเริ่มเปลี่ยนแปลงไป เขากลายเป็นเด็กเก็บตัวมากขึ้น ทุกครั้งที่เขากลับถึงบ้าน เขาจะปลีกตัวอยู่ในห้องนอน ไม่พูดคุยหรือแสดงความรู้สึกกับแม่เหมือนเดิม แม่พยายามถามและห่วงใย แต่ธนูก็ไม่สามารถบอกเล่าความเจ็บปวดที่เขาเจอที่โรงเรียนได้

ในห้องเรียน ธนูนั่งที่มุมห้อง ไม่กล้าพูดคุยกับใคร เขาหลีกเลี่ยงการพบปะเพื่อนๆ และมักจะอยู่คนเดียวในเวลาพักกลางวัน เขามักจะมองเห็นเด็กๆ คนอื่นๆ เล่นและหัวเราะกันอย่างมีความสุข แต่นั่นก็ทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยวและแยกตัวออกจากกลุ่มมากขึ้น

บางคืน ธนูจะนั่งอยู่ที่หน้าต่าง มองออกไปที่ท้องฟ้ายามค่ำคืน ความเงียบสงบของดวงดาวทำให้เขารู้สึกปลอดภัย แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความเหงา เขารู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าและไม่เป็นที่ยอมรับในสายตาของเพื่อนๆ

วันหนึ่งเมื่อแม่เห็นธนูซึมเศร้าและไม่พูดคุยเหมือนเคย เธอถามด้วยความห่วงใย "ธนู ลูกเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมถึงดูเศร้าจัง?"

ธนูฝืนยิ้มและตอบด้วยเสียงเบา "ไม่มีอะไรครับแม่ ผมแค่เหนื่อยนิดหน่อย"

แม้ว่าแม่จะรู้สึกว่าอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ธนูก็ไม่อยากทำให้แม่ต้องกังวลเพิ่มขึ้น เขารู้ว่าแม่ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการทำงานและดูแลครอบครัว เขาจึงพยายามเก็บความเจ็บปวดไว้ในใจและไม่บอกเล่าปัญหาที่โรงเรียนให้แม่ฟัง

ทุกคืนก่อนนอน ธนูจะคิดถึงคำพูดของพ่อที่เคยบอกให้เขาเข้มแข็งและไม่ยอมแพ้ แม้ว่าจะรู้สึกเหนื่อยล้าและท้อแท้ แต่เขาก็ยังคงพยายามสู้ต่อไป เพราะรู้ว่าแม่ยังคงเฝ้าดูและเป็นกำลังใจให้เขาอยู่เสมอ

ในทุกวันหลังจากแม่กลับจากการทำงานที่เหน็ดเหนื่อย แม่มักจะอารมณ์เสียและเครียดสะสม

แสงไฟในห้องพักเล็กๆ ที่ธนูกับแม่เช่าอยู่เปิดขึ้นเมื่อแม่กลับมาจากการทำงาน ธนูที่กำลังทำการบ้านอยู่ที่โต๊ะนั่งเรียน รีบลุกขึ้นมาต้อนรับแม่ด้วยความเป็นห่วง แต่แม่กลับเดินผ่านเขาไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและความเครียด

“ธนู ทำไมไม่ทำความสะอาดบ้านเลย? แม่บอกกี่ครั้งแล้วว่าต้องช่วยแม่ดูแลบ้าน!” แม่ตะโกนเสียงดังทำให้ธนูสะดุ้ง

“ผมขอโทษครับแม่ ผมกำลังทำการบ้านอยู่ครับ เดี๋ยวผมจะทำความสะอาด” ธนูตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม

แต่คำขอโทษของธนูก็ไม่ได้ทำให้แม่รู้สึกดีขึ้น แม่ยังคงพูดต่อด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธ “มันไม่ใช่แค่เรื่องทำความสะอาด มันคือทุกอย่าง! ทำไมถึงทำอะไรไม่เคยถูกใจแม่เลย? แม่เหนื่อยมากนะธนู ลูกก็ช่วยแบ่งเบาภาระแม่หน่อยสิ!”

ธนูรู้สึกเจ็บปวดและสับสน เขาพยายามจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด แต่ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะทำอะไร แม่ก็ไม่พอใจเสมอ แม้แต่การทำการบ้านที่เขาพยายามตั้งใจเพื่อให้แม่ภูมิใจ กลับกลายเป็นเรื่องที่ทำให้แม่โกรธ

หลายวันต่อมา สถานการณ์ก็ไม่ดีขึ้น แม่เริ่มมีอารมณ์โมโหธนุบ่อยครั้ง บางครั้งเพียงแค่ธนูวางหนังสือผิดที่หรือไม่ได้ตอบคำถามแม่เร็วพอ ก็ทำให้แม่โมโหและตะคอกใส่เขา

“ธนู ทำไมเสื้อผ้ายังไม่ซัก? แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าต้องช่วยกันทำงานบ้าน! หรือว่าลูกอยากให้แม่ทำทุกอย่างคนเดียว?” แม่พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเครียดและความผิดหวัง

ธนูรู้สึกเหมือนเขากำลังถูกกดดันและไม่สามารถทำอะไรให้แม่พอใจได้ เขาพยายามจะอธิบายว่าเขาเพิ่งกลับจากโรงเรียนและกำลังจะทำงานบ้าน แต่แม่กลับไม่ฟัง

“แม่ขอโทษนะลูก แต่แม่เหนื่อยมากจริงๆ แม่ต้องทำงานทั้งวันเพื่อหาเงินเลี้ยงดูเรา ลูกต้องช่วยแม่บ้าง” แม่พูดด้วยน้ำเสียงที่ผสมผสานระหว่างความโกรธและความเศร้า

ธนูพยักหน้าและตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนน้อม “ครับแม่ ผมจะพยายามให้มากขึ้น”

แต่ทุกครั้งที่แม่โมโห ธนูก็รู้สึกว่าตัวเองถูกกดดันมากขึ้น เขาเริ่มเก็บตัวและพูดน้อยลง เพราะกลัวว่าจะทำให้แม่โกรธอีก เขารู้สึกโดดเดี่ยวและไม่มีที่พึ่ง ไม่สามารถบอกเล่าความทุกข์ใจและปัญหาที่โรงเรียนให้แม่ฟังได้ เพราะกลัวว่าแม่จะยิ่งเครียดและโมโหมากขึ้น

ธนูพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อแม่ แต่ความกดดันและความเครียดที่แม่มีทำให้ทุกอย่างดูเหมือนจะยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ ความหวังและความรักที่แม่เคยมีให้เริ่มถูกกลบด้วยความเหนื่อยล้าและความเครียดในชีวิตประจำวันที่พวกเขาต้องเผชิญ

ทุกคืนหลังจากแม่เข้านอน ธนูจะนั่งอยู่หน้าต่าง มองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว และคิดถึงพ่อของเขา ธนูหวังว่าวันหนึ่งเขาจะสามารถทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้นและเป็นอิสระจากความกดดันที่ถาโถมเข้ามาในทุกวัน

เมื่อธนูอายุได้ 18 ปี ชีวิต ที่เต็มไปด้วยความกดดันและความหวัง กลับต้องพังทลายลงเหมือนฟ้าผ่าลงมากลางวันแสกๆ แม่ของเขาล้มป่วยลงและมีอาการหลงๆ ลืมๆ ที่เริ่มต้นจากการลืมสิ่งเล็กๆ น้อยๆ จนกระทั่งอาการรุนแรงขึ้น หมอวินิจฉัยว่าแม่ของธนูเป็นอัลไซเมอร์ขั้นรุนแรง จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด ไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป

ข่าวร้ายนี้ทำให้ธนูต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิต เขาไม่สามารถเรียนต่อมหาวิทยาลัยตามที่ฝันไว้ได้ เพราะต้องหันมารับภาระในการดูแลแม่อย่างเต็มที่ แทนที่เขาจะได้ใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นทั่วไป ธนูต้องเปลี่ยนบทบาทมาเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ต้องทำงานหาเงินและดูแลแม่ที่ป่วยหนัก

การเงินของครอบครัวเริ่มฝืดเคือง ธนูตัดสินใจย้ายออกจากห้องเช่าที่มีราคาแพงมาอยู่ในหอพักที่มีราคาถูกกว่า หอพักตึกมณีรัตน์เป็นอาคารเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ในย่านชานเมือง แม้สภาพแวดล้อมจะไม่สะดวกสบายและทันสมัยเหมือนที่เดิม แต่ธนูก็ไม่มีทางเลือกอื่น เพราะต้องประหยัดเงินเพื่อใช้จ่ายในการรักษาแม่และค่าใช้จ่ายประจำวัน

ห้องพักในตึกมณีรัตน์แม้จะดูเก่า แต่ห้องก็กว้างขวาง มีพื้นที่เพียงต่อการใช้สอยสำหรับเขาและแม่ ธนูพยายามทำให้มันเป็นบ้านที่อบอุ่นให้มากที่สุด เขาจัดห้องให้แม่มีความสะดวกสบายที่สุดเท่าที่จะทำได้ เตียงนอนเล็กๆ ที่สะอาดและหน้าต่างที่เปิดรับแสงแดดอ่อนๆ ตอนเช้าเป็นสิ่งที่ทำให้แม่ยิ้มได้ในบางครั้ง

ธนูหางานทำในร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ หอพัก แม้จะเป็นงานที่เหนื่อยและต้องทำงานกะกลางคืนบ่อยๆ แต่ธนูก็ไม่เคยบ่น เขารู้ว่าทุกบาททุกสตางค์ที่หาได้มีความหมายต่อชีวิตของแม่ ธนูใช้เวลาที่เหลือในการดูแลแม่ พาแม่ไปพบแพทย์ และทำงานบ้านทุกอย่าง

การดูแลแม่ที่ป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ไม่ใช่เรื่องง่าย บางครั้งแม่ก็จำธนูไม่ได้ และคิดว่าเขาเป็นคนแปลกหน้า ธนูต้องอดทนและใจเย็น แม้ในเวลาที่รู้สึกหมดหวังและเหนื่อยล้า เขามักจะระลึกถึงคำสอนของพ่อที่บอกให้เขาเข้มแข็งและไม่ยอมแพ้

ธนูเฝ้ารอวันที่แม่จะกลับมาจำเขาได้อีกครั้ง แต่ก็รู้ดีว่าโรคนี้ไม่มีทางรักษาหาย เขาจึงตั้งใจทำทุกวันให้ดีที่สุดเพื่อแม่ของเขา ชีวิตที่เต็มไปด้วยความยากลำบากสอนให้ธนูเป็นคนที่เข้มแข็งและอดทน แม้ว่าเส้นทางข้างหน้าจะมืดมนและยากลำบาก แต่ธนูก็ไม่เคยท้อแท้ เพราะเขารู้ว่าแม่ยังต้องการเขาอยู่เสมอ

ในช่วงเวลาที่แม่หลับ ธนูมักจะนั่งคิดถึงอนาคตของตัวเอง เขารู้ว่าต้องหาอาชีพที่สามารถเลี้ยงดูตัวเองและแม่ได้อย่างมั่นคง และเขาก็รู้ว่าเขาต้องการทักษะที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน ดังนั้น เขาตัดสินใจที่จะเก็บเงินเรียนต่อในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ด้านงานช่าง

ธนูทำงานพาร์ทไทม์หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นงานร้านอาหาร งานส่งของ หรืองานก่อสร้าง เขาไม่เคยเลือกงาน เพราะรู้ว่าทุกๆ บาทที่เขาหามาได้จะเป็นเงินที่ใช้สำหรับการเรียนและการดูแลแม่

วันหนึ่ง หลังจากเสร็จงานพาร์ทไทม์ตอนเย็น ธนูกลับบ้านมาพร้อมกับใบสมัครเรียนที่เขาเก็บไว้อย่างดี เขาตื่นเต้นและเต็มไปด้วยความหวัง เมื่อกลับถึงห้องพัก เขานั่งลงและกรอกข้อมูลในใบสมัครอย่างตั้งใจ แม่ของธนูที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ใกล้ๆ มองเขาด้วยสายตาที่สับสนและไม่แน่ใจว่าเขาคือใคร แต่ธนูก็ยิ้มและพูดกับแม่อย่างอ่อนโยน “แม่ครับ ผมจะเรียนต่อ ปวส. ด้านงานช่าง ผมอยากให้แม่ภูมิใจในตัวผม”

แม้ว่าจะไม่มีคำตอบจากแม่ แต่ธนูก็ยังคงรู้สึกว่าพ่อและแม่จะภูมิใจในความพยายามของเขา เขาตั้งใจเรียนและทำงานหนัก เพื่อที่จะสามารถสอบเข้าเรียน ปวส. ได้สำเร็จ

เมื่อเข้าเรียนในระดับ ปวส. ด้านงานช่าง ธนูรู้สึกตื่นเต้นและท้าทายกับการเรียนใหม่ๆ เขาเรียนรู้วิธีการซ่อมแซมและสร้างสิ่งต่างๆ ซึ่งเป็นทักษะที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เขาตั้งใจเรียนและพยายามทำความเข้าใจกับทุกบทเรียน แม้ว่าบางครั้งเขาจะรู้สึกเหนื่อยล้าจากการทำงานพาร์ทไทม์และการดูแลแม่ แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้

ในช่วงเวลาที่เขาอยู่ในชั้นเรียน ธนูมักจะคิดถึงแม่และความหวังที่แม่ฝากไว้ให้เขา ความรักและความหวังของแม่เป็นกำลังใจสำคัญที่ทำให้เขาสามารถผ่านความยากลำบากและก้าวผ่านทุกอุปสรรคไปได้

เมื่อสำเร็จการศึกษาในระดับ ปวส. ธนูก็สามารถหางานที่มั่นคงและสามารถนำความรู้ที่เรียนมาใช้ในการทำงานได้ เขาสามารถสร้างชีวิตที่มั่นคงและดูแลแม่ได้อย่างเต็มที่ แม้ว่าแม่จะยังคงมีอาการอัลไซเมอร์และจำเขาไม่ได้ แต่ธนูก็รู้ว่าเขาทำดีที่สุดแล้วเพื่อให้แม่รู้สึกสบายใจและมีความสุขในทุกๆ วัน

วันหนึ่งขณะที่ธนูกำลังกลับจากทำงาน เขาได้พบกับเพื่อนใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามาพักที่ตึกเดียวกัน เธอชื่อพิมพ์ดาว เธอเป็นหญิงสาวน่ารักและมีนิสัยดี มีรอยยิ้มที่สดใสและอบอุ่น ซึ่งทำให้ผู้คนรอบข้างรู้สึกสบายใจ

พิมพ์ดาวย้ายเข้ามาอยู่ที่ชั้นสาม ซึ่งเป็นคนละชั้นกับห้องของธนูในตึกมณีรัตน์ วันแรกที่เธอเข้ามา เธอก็เห็นธนูพาแม่เดินกลับมาจากร้านค้า เธอทักทายและแนะนำตัวอย่างเป็นกันเอง

“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อพิมพ์ดาว ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

ธนูรู้สึกประหลาดใจแต่ก็ยิ้มตอบ “สวัสดีครับ ผมชื่อธนู ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ”

พิมพ์ดาวสังเกตเห็นแม่ของธนูที่ดูอ่อนแอและเงียบขรึม เธอจึงสอบถามด้วยความห่วงใย

“คุณแม่ของคุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”

ธนูอธิบายสั้นๆ ว่าแม่ของเขาป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ พิมพ์ดาวแสดงความห่วงใยอย่างจริงใจและกล่าวว่า

“ฉันขอโทษนะคะ ฟังดูยากมากเลย แต่คุณดูแลแม่ได้ดีมากจริงๆ ค่ะ”

หลังจากวันนั้น พิมพ์ดาวมักจะมีของฝากมาให้แม่ของธนูเสมอ บางครั้งเป็นผลไม้สด ขนมหวาน หรือดอกไม้สวยๆ ที่เธอซื้อจากตลาด พิมพ์ดาวมักจะมอบของฝากพร้อมรอยยิ้มและคำพูดที่อ่อนโยน

“สวัสดีค่ะคุณแม่ วันนี้หนูมีผลไม้สดมาฝากค่ะ หวังว่าคุณแม่จะชอบนะคะ” พิมพ์ดาวพูดพลางยื่นถุงผลไม้ให้แม่ของธนู

แม้ว่าแม่ของธนูจะจำไม่ได้ว่าเธอคือใคร แต่เธอก็ยิ้มรับอย่างอ่อนโยน ธนูรู้สึกซาบซึ้งในความมีน้ำใจของพิมพ์ดาวที่ไม่เพียงแค่ห่วงใยเขา แต่ยังแสดงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อแม่ของเขาด้วย

พิมพ์ดาวยังมักจะมาช่วยเหลือธนูในการดูแลแม่ในบางครั้ง

“วันนี้พี่ธนูเหนื่อยไหมคะ? ให้พิมพ์ช่วยดูแลคุณแม่สักพักไหมคะ? พี่จะได้พักผ่อนบ้าง”

ธนูรู้สึกขอบคุณมาก เขารับความช่วยเหลือด้วยความรู้สึกที่อบอุ่น “ขอบคุณมากนะพิมพ์ดาว”

ความรู้สึกของธนูที่มีต่อพิมพ์ดาวเริ่มเปลี่ยนไปจากความขอบคุณและความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี กลายเป็นความรักและหวงแหนที่เติบโตขึ้นทุกวัน พิมพ์ดาวเป็นคนที่น่ารักและมีน้ำใจ เธอไม่เพียงแค่ช่วยเหลือดูแลแม่ของธนู แต่ยังทำให้ธนูรู้สึกถึงความอบอุ่นและความสำคัญที่เธอมอบให้

ทุกครั้งที่พิมพ์ดาวเข้ามาในชีวิตของเขา ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยสั้นๆ หรือการช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ความรู้สึกรักที่ธนูมีต่อเธอก็ยิ่งแน่นแฟ้นขึ้น ธนูมักจะสังเกตเห็นตัวเองคิดถึงพิมพ์ดาวในเวลาที่เขาทำงานหรือเมื่อเขาอยู่กับแม่ ความคิดถึงและความปรารถนาที่จะให้เธอรู้ถึงความรู้สึกของเขาเริ่มมากขึ้นทุกวัน

ความรักและความหวงแหนที่ธนูมีต่อพิมพ์ดาวค่อยๆ กลายเป็นความห่วงใยที่ลึกซึ้งขึ้นทุกวัน เขารู้สึกว่าพิมพ์ดาวคือคนที่ทำให้ชีวิตของเขามีความหมาย และไม่อยากให้เธอต้องพบเจอกับอันตรายหรือความลำบากใดๆ เขารู้สึกเป็นห่วงเธอมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นความกังวลใจที่เกินกว่าเหตุ

ธนูเริ่มตามดูแลพิมพ์ดาวโดยที่เธอไม่รู้ตัว เขาตื่นเช้าเพื่อไปดักรอที่หน้ามหาวิทยาลัยของเธอ เขานั่งอยู่ที่มุมหนึ่งที่พิมพ์ดาวมองไม่เห็น เพื่อให้แน่ใจว่าเธอเข้าห้องเรียนอย่างปลอดภัย ธนูมักจะสังเกตเห็นพิมพ์ดาวยิ้มและทักทายเพื่อนๆ อย่างร่าเริง ซึ่งทำให้เขายิ้มตามอย่างเงียบๆ

เมื่อถึงเวลาเย็น ธนูมักจะรออยู่ใกล้ๆ มหาวิทยาลัย เพื่อที่จะตามพิมพ์ดาวกลับบ้าน เขาจะเดินตามหลังเธอในระยะที่พอเหมาะ ไม่ใกล้เกินไปที่จะทำให้เธอสังเกตเห็น แต่ก็ไม่ไกลเกินไปที่จะทำให้เขาพลาดอะไรสำคัญๆ เขาต้องการให้แน่ใจว่าเธอถึงห้องพักอย่างปลอดภัยทุกวัน

ครั้งหนึ่งขณะที่พิมพ์ดาวเดินกลับห้องพักตอนค่ำ เธอต้องผ่านซอยที่มืดและเงียบ ธนูรู้สึกกังวลใจมาก เขาตัดสินใจที่จะตามเธอเข้าไปในซอยนั้น เขาระวังตัวไม่ให้พิมพ์ดาวรู้สึกว่าเธอกำลังถูกตาม

เมื่อพิมพ์ดาวถึงห้องพัก ธนูรู้สึกโล่งใจที่เธอปลอดภัย แต่ความกังวลของเขาไม่หายไป เขารู้สึกว่าต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อปกป้องเธอโดยที่เธอไม่รู้สึกอึดอัดหรือรำคาญ

ธนูเริ่มทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เพื่อดูแลพิมพ์ดาวโดยไม่ให้เธอรู้ เช่น เขาจะเดินผ่านห้องพักของเธอในตอนเช้าเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติ บางครั้งเขาจะทิ้งของฝากเล็กๆ น้อยๆ ไว้ที่หน้าห้อง เช่น ผลไม้หรือดอกไม้ โดยไม่ทิ้งชื่อ เพื่อให้เธอรู้สึกดีและปลอดภัย

ธนูรู้สึกสบายใจที่ได้ปกป้องพิมพ์ดาวจากอันตรายที่เขาไม่อาจคาดเดาได้ แต่เขาก็ยังคงเก็บความรู้สึกห่วงใยไว้ในใจ เพราะกลัวว่าหากเธอรู้เรื่องนี้ เธออาจจะรู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจ

วันหนึ่ง ขณะที่พิมพ์ดาวกำลังจัดดอกไม้ที่เธอซื้อมา ธนูยืนดูเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความชื่นชม เขารู้สึกว่าพิมพ์ดาวคือคนที่ทำให้ชีวิตของเขามีความหมายและสว่างไสวมากขึ้น เขาต้องการให้เธอรู้ถึงความรู้สึกที่เขามี แต่เขายังไม่กล้าสารภาพรัก

“พิมพ์ดาว คุณรู้ไหมว่าคุณทำให้ผมรู้สึกดีแค่ไหน” ธนูคิดในใจ แต่ไม่กล้าพูดออกมา เขาเก็บความรู้สึกเหล่านั้นไว้ในใจ และรอคอยวันที่เหมาะสมที่จะบอกให้เธอรู้

วันเกิดของพิมพ์ดาวกำลังใกล้เข้ามา ธนูตัดสินใจว่านี่คือเวลาที่ดีที่สุดที่จะสารภาพรักกับเธอ เขาเริ่มวางแผนอย่างตั้งใจว่าจะทำอย่างไรให้วันนั้นเป็นวันที่พิเศษที่สุดสำหรับพิมพ์ดาว เขาตั้งใจจะซื้อของขวัญที่มีความหมายและเตรียมคำพูดที่จะบอกความรู้สึกของเขา

ในวันก่อนวันเกิดของพิมพ์ดาว ธนูเดินทางไปที่ตลาดเพื่อหาของขวัญที่เหมาะสม เขาเลือกสร้อยคอที่มีจี้รูปดาว ซึ่งสื่อถึงความหมายของชื่อพิมพ์ดาว และความหวังที่เธอเป็นดาวที่ส่องสว่างในชีวิตของเขา

เมื่อถึงวันเกิดของพิมพ์ดาว ธนูตื่นเต้นมากๆ และเตรียมตัวให้พร้อมอย่างละเอียด ในห้องพักของเขามีโต๊ะเล็กๆ ที่จัดตกแต่งด้วยดอกไม้และเค้กวันเกิดเล็กๆ ที่เขาได้เตรียมไว้เพื่อเฉลิมฉลองวันพิเศษนี้ได้อย่างสวยงามและโรแมนติก เขาตั้งใจให้วันนี้เป็นวันที่น่าจดจำ

ธนูรอพิมพ์ดาวกลับมาที่หอพักด้วยความหวังและตื่นเต้น เขาตรวจสอบทุกอย่างซ้ำๆ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างสมบูรณ์แบบ

เมื่อเวลาผ่านไปจนดึก เขายังคงรออยู่ที่หน้าประตู แต่แล้วความตื่นเต้นในใจกลับแปรเปลี่ยนเป็นความเศร้าและผิดหวัง เมื่อเขาเห็นพิมพ์ดาวกลับมาพร้อมกับผู้ชายคนหนึ่ง ทั้งสองคนดูสนิทสนมกันมาก เดินมาพร้อมกับเสียงหัวเราะและรอยยิ้มที่สดใส ธนูรู้สึกเหมือนหัวใจเขาแตกสลาย เขายืนมองภาพนั้นด้วยความเศร้าและผิดหวัง จนแทบไม่สามารถเคลื่อนไหวหรือพูดอะไรออกมาได้

เมื่อทั้งสองเดินใกล้เข้ามา ธนูรีบหลบไปยังมุมมืดของทางเดินทันที ไม่ให้พิมพ์ดาวเห็น เขามองดูพิมพ์ดาวและผู้ชายคนนั้นด้วยสายตาที่เจ็บปวด ทั้งคู่เดินคุยกันอย่างสนิทสนม เสียงหัวเราะของพวกเขาดังก้องไปทั่วทางเดิน มันเป็นเสียงที่ธนูเคยหวังว่าจะเป็นของเขาและพิมพ์ดาวในค่ำคืนนี้

หัวใจของธนูหนักอึ้งด้วยความเสียใจ เขารู้สึกเหมือนโลกทั้งใบของเขาพังทลายลงไป เขายืนมองจนพิมพ์ดาวและผู้ชายคนนั้นหายเข้าไปในห้องพักของเธอ จากนั้นธนูจึงเดินกลับห้องของตัวเองด้วยความรู้สึกที่แทบจะทนไม่ไหว

เมื่อถึงห้อง ธนูปิดประตูอย่างแผ่วเบา เขามองไปที่โต๊ะเล็กๆ ที่จัดตกแต่งอย่างสวยงามด้วยดอกไม้และเค้กวันเกิดที่เขาเตรียมไว้สำหรับพิมพ์ดาว น้ำตาเริ่มไหลออกมาอย่างช้าๆ เขารู้สึกเสียใจและผิดหวังอย่างมาก ความฝันและความหวังทั้งหมดที่เขามีในวันนี้ถูกทำลายลงอย่างไม่เหลือซาก ธนูนั่งลงที่เก้าอี้ข้างโต๊ะ มองดูเค้กวันเกิดที่ไม่มีคนมาเฉลิมฉลองด้วย ความเศร้าของเขาเต็มไปด้วยความเงียบงันในห้องพักเล็กๆ แห่งนี้

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!