ตอนที่ 6 - ปริศนาในตึกมณีรัตน์

แม็กซ์เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้มิ้นฟัง น้ำตายังคงไหลรินจากดวงตา เมื่อเขาพูดจบ มิ้นที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ เงียบด้วยความเศร้าใจ เธอหันมามองแม็กซ์ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเห็นใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น

"แม็กซ์... ฉันไม่รู้จะพูดยังไงดี" มิ้นกล่าวเสียงแผ่วเบา "แต่คุณไม่ควรโทษตัวเองแบบนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นไม่มีใครสามารถคาดเดาได้"

แม็กซ์สะอื้นแล้วตอบกลับ "แต่ถ้าผมอยู่กับพิมพ์ดาว... ถ้าผมส่งเธอที่ห้อง เธออาจจะไม่เป็นแบบนี้"

มิ้นจับมือแม็กซ์แน่น ให้ความอบอุ่นและความมั่นใจ "แม็กซ์ ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น คุณทำดีที่สุดแล้ว พิมพ์ดาวรู้ว่าคุณรักและห่วงใยเธอขนาดไหน เธอคงไม่อยากเห็นคุณโทษตัวเองแบบนี้"

"หลังจากนั้น ตำรวจจับคนร้ายที่ทำร้ายพิมพ์ดาวได้ไหมคะ" มิ้นถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวังว่าอย่างน้อยความยุติธรรมจะถูกคืนให้กับพิมพ์ดาว

แม็กซ์หายใจลึกแล้วเริ่มเล่าต่อ "หลังจากเกิดเหตุการณ์ ตำรวจได้เข้ามาสืบสวนอย่างละเอียด พวกเขาตรวจสอบกล้องวงจรปิดในบริเวณหอพัก แต่ทางตึกบอกว่ากล้องวงจรปิดใช้ไม่ได้นานแล้ว ทางตำรวจจึงสอบสวนคนในละแวกนั้น รวมถึงพยานที่อาจจะเห็นหรือได้ยินอะไรในคืนที่เกิดเหตุ "

"พวกเขาพบอะไรบ้างไหม?" มิ้นถามต่อด้วยความสนใจ

แม็กซ์ส่ายหน้า "ไม่ แม้แต่อาวุธที่ใช้ทำร้ายพิมพ์ดาว พวกเขาก็หาไม่เจอ" 

แม็กซ์เล่าต่อ "ผมไปที่สถานีตำรวจ บอกตำรวจว่าก่อนเกิดเหตุ พิมพ์ดาวเคยแจ้งความว่ามีคนตาม และเธอรู้แล้วว่าคือใคร ผู้ชายคนนั้นชื่อ ก้อง เรียนที่เดียวกับเธอ"

เมื่อแม็กซ์เล่าถึงเหตุการณ์นี้ ภาพที่เขาเห็นในสถานีตำรวจก็ปรากฏขึ้นมาในความคิด

ตำรวจนำตัวก้องเข้ามาในห้องสอบสวน ก้องเป็นชายหนุ่มที่ดูสงบและมั่นใจในตัวเอง เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงยีนส์ ขณะที่เขานั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกับเจ้าหน้าที่ ตำรวจเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

"ผมไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับการทำร้ายพิมพ์ดาวเลยครับ" ก้องพูดเสียงเรียบ

ตำรวจหรี่ตาด้วยความสงสัย ก่อนจะถามต่อ  "ก่อนเกิดเหตุ พิมพ์ดาวบอกว่าคุณตามเธออยู่ คุณพยายามตามเธอทำไม?"

ก้องรีบปฏิเสธ "ผมไม่ได้ทำอย่างนั้น ผมยอมรับว่าผมแอบชอบเธอ ผมเลยแอบมองเธออยู่ห่างๆ" เขาพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน "แต่ผมไม่เคยทำอะไรที่จะทำให้เธอรู้สึกไม่ปลอดภัย ผมแค่... ไม่กล้าพอที่จะเข้าไปคุยกับเธอตรงๆ"

ตำรวจยังคงจ้องหน้าก้องด้วยความสงสัย "แล้วทำไมพิมพ์ดาวถึงบอกว่าคุณตามเธอ?"

ก้องถอนหายใจหนัก "ผมไม่รู้เหมือนกันครับ บางทีเธออาจจะเข้าใจผิดหรือรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นผมอยู่ใกล้ๆ แต่ผมไม่มีเจตนาร้าย ผมแค่แอบชอบเธอเท่านั้นเอง"

แม็กซ์ที่ฟังการสนทนาอยู่ด้านหลังรู้สึกไม่สบายใจ เขามองก้องที่พยายามแก้ตัว ความรู้สึกไม่ไว้วางใจยังคงติดค้างในใจเขา

ตำรวจหันไปดูเอกสารและข้อมูลที่มีอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามต่อ "แล้ววันที่เกิดเหตุ คุณอยู่ที่ไหน?"

ก้องตอบด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงขึ้น "ผมอยู่ต่างจังหวัดครับ พ่อผมป่วยหนัก ผมต้องรีบกลับไปดูแลเขา"

ตำรวจยื่นตัวไปข้างหน้า "คุณมีพยานบุคคลที่สามารถยืนยันได้ไหม?"

ก้องพยักหน้า "มีครับ ทั้งพ่อแม่และเพื่อนบ้านหลายคน พวกเขาเห็นผมอยู่ที่บ้านตลอดวันนั้น"

เมื่อได้รับคำตอบ ตำรวจถอนหายใจเบาๆ และพยักหน้า "เราจะตรวจสอบข้อมูลและสอบปากคำพยานเพิ่มเติม"

ตำรวจเชิญพยานเหล่านั้นมาสอบปากคำ พยานทุกคนยืนยันตรงกันว่าก้องอยู่ต่างจังหวัดในวันเกิดเหตุ และมีหลายคนเห็นเขาดูแลพ่อที่ป่วยอย่างใกล้ชิด

หลังจากฟังคำให้การของพยาน ตำรวจจึงไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะกักตัวก้องไว้ พวกเขาจำต้องปล่อยตัวเขาไป

แม็กซ์ที่ยืนดูอยู่ห่างๆ รู้สึกถึงความหนักอึ้งในใจ เขารู้ว่าการปล่อยตัวก้องอาจหมายความว่าความยุติธรรมสำหรับพิมพ์ดาวอาจจะยังคงล่าช้า หรือแย่กว่านั้น คือไม่เกิดขึ้นเลย ความรู้สึกหดหู่และสิ้นหวังปกคลุมจิตใจของเขาในขณะที่เขามองเห็นก้องเดินออกจากสถานีตำรวจไปอย่างอิสระ

.

มิ้นขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ "แล้วพวกเขาทำอย่างไรต่อไป?"

แม็กซ์ถอนหายใจ "ทางตำรวจพยายามหาหลักฐานเพิ่มเติม แต่มันยาก เพราะไม่มีอะไรชี้ชัดได้ว่าก้องเป็นคนทำ ทุกอย่างยังคลุมเครืออยู่"

เสียงเงียบเข้ามาแทนที่ระหว่างการสนทนา ทั้งสองคนนั่งคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความรู้สึกหนักอึ้งในใจมิ้นเพิ่มขึ้นเมื่อเธอคิดถึงพิมพ์ดาว และการที่คนร้ายยังลอยนวลอยู่

"มันไม่ยุติธรรมเลย" มิ้นพูดเบาๆ เสียงเธอเต็มไปด้วยความเศร้าและความกังวล

แม็กซ์พยักหน้าเห็นด้วย ความเศร้าฉายชัดในแววตาของเขา ดวงตาของเขายังคงสะท้อนถึงความรัก ความห่วงใยที่มีต่อพิมพ์ดาว และความเจ็บปวดที่ไม่สามารถช่วยเธอได้ในตอนนั้น....

.

หลังกลับจากร้านสะดวกซื้อ มิ้นเดินใจลอยไปตามทางกลับหอพัก ความคิดของเธอยังวนเวียนอยู่กับเรื่องราวที่เพิ่งคุยกับแม็กซ์ ความรู้สึกหนักอึ้งในใจยังคงตามติดเธอไม่ห่าง จนเมื่อเดินมาถึงหน้าร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง เธอก็เห็นป่านกำลังเลือกซื้อกาแฟอยู่

"พี่ป่าน!" มิ้นทักด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้ฟังดูสดใส แต่ก็ยังไม่สามารถซ่อนความเศร้าในน้ำเสียงได้หมด

ป่านหันมามองด้วยความแปลกใจเล็กน้อย "อ้าว มิ้น มาทำอะไรแถวนี้เหรอ?"

"พอดีแวะซื้อของนิดหน่อยน่ะ แล้วก็กำลังจะกลับหอ" มิ้นตอบ พลางพยายามยิ้มออกมา

ป่านยิ้มตอบอย่างอบอุ่น "งั้นซื้อกาแฟด้วยกันก่อนดีไหม? กำลังคิดจะนั่งพักสักหน่อยพอดี"

มิ้นพยักหน้า "ได้ค่ะ จะได้มีเพื่อนคุยด้วย"

ทั้งสองคนเดินเข้าไปในร้าน ร้านกาแฟเล็กๆ ที่ป่านและมิ้นเดินเข้าไปนั้นมีบรรยากาศอบอุ่นและน่ารัก ผนังร้านทาด้วยสีขาวครีม ตกแต่งด้วยภาพวาดสีสันสดใสของดอกไม้และทุ่งหญ้า ประดับด้วยโคมไฟระย้าที่ห้อยลงมาจากเพดาน เพิ่มความสว่างไสวให้กับห้อง บนโต๊ะไม้ตัวเล็กๆ มีแจกันดอกไม้สดวางอยู่ทุกโต๊ะ ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย

เคาน์เตอร์กาแฟจัดเรียงด้วยขวดเครื่องเทศและซอสต่างๆ อย่างมีระเบียบ ถัดไปมีตู้กระจกที่เต็มไปด้วยเค้กและขนมปังหลากหลายชนิดที่ดูน่ากิน นอกจากนั้นยังมีบาริสต้าที่ทำงานอย่างคล่องแคล่ว ส่งยิ้มให้กับลูกค้าทุกคนที่เข้ามาในร้าน

ป่านและมิ้นเลือกเค้กชิ้นเล็กๆ ที่ตกแต่งด้วยผลไม้สดและครีม ชวนให้นึกถึงความหวานละมุน พวกเธอสั่งกาแฟร้อนหอมกรุ่น แล้วนั่งลงที่โต๊ะริมหน้าต่างซึ่งมีแสงแดดอ่อนๆ ส่องผ่านผ้าม่านโปร่งแสงเข้ามา ทำให้บรรยากาศยิ่งดูอบอุ่นขึ้นไปอีก

เสียงเพลงเบาๆ คลออยู่ในร้าน เพิ่มความรู้สึกสบายใจและผ่อนคลายให้กับทุกคนที่เข้ามานั่งพักผ่อน ไม่ว่าจะเป็นคนที่มานั่งทำงาน อ่านหนังสือ หรือแค่พูดคุยกับเพื่อนอย่างป่านและมิ้น

เมื่อทั้งสองคนได้รับกาแฟและเค้กที่สั่งแล้ว พวกเธอก็เดินออกจากร้านและมุ่งหน้ากลับหอพักด้วยกัน 

เมื่อถึงหอพัก มิ้นและป่านยืนที่หน้าประตู พูดคุยกันสักครู่ก่อนจะบอกลากัน แล้วมิ้นก็แยกตัวขึ้นไปยังห้องของเธอที่อยู่บนชั้นสาม

เมื่อมาถึงชั้นสาม เธอก็เห็นอาทิตย์ ผู้ชายจากห้องหมายเลข 23 กำลังทำท่าลับๆ ล่อๆ อยู่หน้าห้องของเธอ

"คุณอาทิตย์ คุณมาทำอะไรอยู่หน้าห้องฉัน?" มิ้นถามด้วยความสงสัย

อาทิตย์สะดุ้งเล็กน้อย หันมามองมิ้นก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน "ผมได้ยินเสียงผู้หญิงร้องขอความช่วยเหลือออกมาจากห้องของคุณน่ะ ผมเลยมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น"

มิ้นตกใจ "เสียงผู้หญิงร้องขอความช่วยเหลือเหรอ? แต่ฉันไม่ได้อยู่ในห้องทั้งวันเลยนะ"

อาทิตย์ขมวดคิ้ว "จริงเหรอ? เสียงนั้นดังมาก ผมคิดว่ามีใครสักคนอยู่ในนั้น"

ความกลัวเริ่มเข้ามาในใจของมิ้น เธอรีบคว้ากุญแจมาเปิดประตูห้องอย่างรีบร้อน เมื่อประตูเปิดออก เธอก็พบว่าห้องของเธอดูปกติดี ไม่มีร่องรอยของการถูกบุกรุกหรือความไม่เรียบร้อยใดๆ

"ไม่มีใครอยู่ในนี้จริงๆ ด้วย" มิ้นพูดพร้อมกับถอนหายใจด้วยความโล่งใจ แต่ก็ยังคงรู้สึกกังวล "คุณแน่ใจนะว่าได้ยินเสียงจากห้องนี้?"

อาทิตย์พยักหน้า "ใช่ ผมแน่ใจ แต่ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติก็คงเป็นเรื่องเข้าใจผิด"

มิ้นพยักหน้า "ขอบคุณที่มาช่วยดูนะคะ ถ้ามีอะไรอีกฉันจะบอกคุณทันที"

อาทิตย์ยิ้มเล็กน้อย "ไม่มีปัญหา ผมยินดีช่วย" แล้วเขาก็เดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง

เมื่อมิ้นปิดประตูห้องและทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ความคิดมากมายยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเธอ แต่เธอก็พยายามสลัดความกังวลออกไป เมื่อเธอจะหยิบเค้กมากินก็พบว่าเค้กของป่านติดมือมาด้วย เธอจึงตัดสินใจที่จะเอาเค้กไปคืนให้ป่าน

มิ้นเดินไปที่ห้องของป่านและเคาะประตูหลายครั้ง แต่ไม่มีเสียงขานรับ เธอลองหมุนลูกบิดดู พบว่าประตูไม่ได้ล็อก มิ้นค่อยๆ เปิดประตูเบาๆ เผื่อว่าป่านจะนอนหลับเลยไม่ได้ยินเสียงเคาะประตู

เมื่อเปิดห้อง มิ้นกวาดสายตาไปรอบๆ ห้องหาป่าน แต่เธอต้องสะดุดตากับรูปที่วางอยู่ข้างเตียง เป็นรูปผู้หญิงสองคนถ่ายคู่กัน คนหนึ่งคือป่าน และอีกคนหน้าคล้ายๆ พิมพ์ดาว

มิ้นเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วหยิบรูปนั้นขึ้นมาดูชัดๆ ใจของเธอเริ่มเต้นแรงขึ้น ผู้หญิงที่อยู่ในรูปกับป่านคือ พิมพ์ดาวจริงๆ ขณะที่มิ้นกำลังตะลึงกับรูปอยู่นั้น เสียงป่านก็ดังขึ้นเมื่อเห็นมิ้นอยู่ในห้องของเธอ

"มิ้น! เธอเข้ามาในห้องพี่ทำไม?" ป่านถามด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ

มิ้นรีบวางรูปถ่ายลง "ขอโทษค่ะพี่ป่าน มิ้นแค่เอาเค้กมาคืนให้พี่ แล้วประตูไม่ได้ล็อก มิ้นคิดว่าพี่อาจจะหลับอยู่"

ป่านถอนหายใจเบาๆ "อ๋อ ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะ พอดีพี่ออกไปทำธุระข้างนอกน่ะ"

มิ้นพยักหน้าและถามป่าน "คนในรูปนั้นคือใครคะ?"

ป่านหน้าเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด เธอหยิบรูปถ่ายที่มิ้นวางไว้ขึ้นมาดูด้วยแววตาที่หม่นหมอง

"คนในรูปนั้นคือน้องสาวของพี่เอง" ป่านพูดด้วยเสียงเบา "เธอชื่อ...พิมพ์ดาว"

.

ภาพเหตุการณ์ในอดีตปรากฏขึ้นในความคิดของป่าน....

แม้ว่าป่านและพิมพ์ดาวจะเป็นพี่น้องกัน แต่ทั้งสองกลับไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่ ตรงกันข้าม มักจะมีเรื่องให้ทะเลาะกันบ่อยครั้ง พ่อแม่มักจะโทษป่านเสมอ ที่เป็นพี่แต่ยังทะเลาะกับน้อง ด้วยความน้อยใจและความรู้สึกว่าตนเองไม่เป็นที่ต้องการ ป่านจึงตัดสินใจหนีไปทำงานที่จังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ

ช่วงเวลาที่เธอยังเป็นครูสอนเด็กเล็กอยู่ที่ภาคเหนือ ที่นั่นเต็มไปด้วยทิวเขาสลับซับซ้อนและหมู่บ้านเล็กๆ ที่เงียบสงบ ชีวิตที่นั่นทำให้เธอรู้สึกมีความสุขมาก เธอได้ทุ่มเทให้กับการสอนเด็กๆ และรู้สึกว่าตนเองได้ทำสิ่งที่มีความหมาย

มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอแตกต่างจากคนอื่น นั่นคือความสามารถพิเศษที่ป่านมี เธอมีสัมผัสที่หก สามารถมองเห็นวิญญาณได้ ความสามารถนี้เป็นความลับที่มีเพียงคนในครอบครัวเท่านั้นที่รู้ และเธอระมัดระวังอย่างมากที่จะไม่ให้ใครล่วงรู้ทั้งคนและวิญญาณ เพราะมันอาจนำความวุ่นวายมาสู่ชีวิตเธอ

เช้าวันหนึ่ง ขณะที่ป่านกำลังเตรียมการสอนสำหรับเด็กๆ โทรศัพท์ของเธอดังขึ้น เมื่อเธอรับสาย ปลายสายคือเสียงของแม่ที่ฟังดูตื่นตระหนกและเสียใจ

"ป่าน...พิมพ์ดาวเสียชีวิตแล้ว" แม่พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเศร้าและสั่นเครือ

ป่านรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน เธอแทบไม่เชื่อหูตัวเอง "แม่ว่าอะไรนะคะ?"

"พิมพ์ดาว...น้องของลูกเสียชีวิตแล้ว" แม่ย้ำอีกครั้งด้วยเสียงที่แผ่วเบาและสะอื้น

ป่านตกใจและเสียใจอย่างที่สุด น้ำตาเริ่มไหลอาบแก้ม หัวใจของเธอถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ แม้จะมีเรื่องบาดหมางและความขัดแย้ง แต่พิมพ์ดาวก็คือน้องสาวของเธอ

เธอพยายามถามแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แม่ก็ให้รายละเอียดไม่ได้มากนัก เสียงของแม่ที่สะอื้น ทำให้ป่านรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่กระทบกระเทือนใจอย่างหนัก

"น้องถูกแทงเสียชีวิตในห้องพัก" แม่พูดด้วยเสียงสั่น "แม่เสียใจจริงๆ ป่าน"

ป่านยืนช็อกไปครู่หนึ่ง ความคิดและความรู้สึกหลายอย่างถาโถมเข้ามาพร้อมกัน ทั้งความเสียใจ และความรู้สึกผิดที่เธอไม่ได้อยู่เคียงข้างน้องสาวในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต

"แม่...หนูจะกลับบ้านทันที" ป่านกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยความตั้งใจ

เมื่อมาถึงบ้าน ป่านต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่โหดร้ายและเศร้าสลด พิมพ์ดาวจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ความรู้สึกเสียใจและรู้สึกผิดที่ไม่ได้มีโอกาสพูดคุยหรือปรับความเข้าใจกับน้องสาวครั้งสุดท้าย ทำให้ป่านรู้สึกทุกข์ทรมานใจอย่างมาก

ในคืนหนึ่งหลังจากพิธีศพ ป่านนั่งอยู่คนเดียวในห้องของพิมพ์ดาว ภายในห้องเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ของน้องสาว เธอสัมผัสได้ถึงความคิดถึงและความรักที่ยังคงเหลืออยู่ในทุกสิ่งที่พิมพ์ดาวทิ้งไว้

ทันใดนั้น เธอรู้สึกได้ถึงความเย็นและรู้สึกเหมือนมีใครบางคนอยู่ในห้องด้วย ป่านหันไปมองรอบๆ แต่ไม่พบใคร "ทำไมพี่ถึงมองไม่เห็นเธอ...พิมพ์ดาว"

"พิมพ์ดาว..." ป่านพูดเสียงสั่น น้ำตาไหลอาบแก้ม "พี่ขอโทษที่ไม่ได้อยู่เคียงข้างเธอ" "ออกมาให้พี่เห็นเถอะ บอกพี่ว่าใครมันทำร้ายเธอ"

แสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างส่องลงมาบนเตียงของพิมพ์ดาว เผยให้เห็นความเรียบง่ายและสะอาดของห้อง เสียงลมเบาๆ ที่พัดผ่านม่านทำให้เกิดเสียงสั่นไหว ป่านนั่งกอดเข่าตัวเอง น้ำตายังคงไหลรินอย่างไม่หยุด

"พิมพ์ดาว...เธออยู่ที่ไหน” ป่านกล่าวเสียงสั่น สายตาของเธอจับจ้องไปที่กรอบรูปที่วางบนโต๊ะข้างเตียง ภาพของพิมพ์ดาวในรูปถ่ายกำลังยิ้มอย่างมีความสุข

ทันใดนั้นเอง ป่านรู้สึกถึงอากาศรอบตัวเย็นลงอย่างชัดเจน และรู้สึกเหมือนมีแรงบางอย่างกระตุ้นให้เธอหันไปทางตู้เสื้อผ้าของพิมพ์ดาว ตู้เสื้อผ้าสีขาวที่เคยเป็นของใช้ส่วนตัวของน้องสาว ตอนนี้กลับดูน่ากลัวมากขึ้นเมื่ออยู่ในความมืด

ป่านลุกขึ้นอย่างช้าๆ ก้าวไปยังตู้เสื้อผ้าด้วยหัวใจที่เต้นแรง เมื่อเธอเปิดประตูตู้ เธอพบเพียงเสื้อผ้าและข้าวของส่วนตัวของพิมพ์ดาวที่แขวนอยู่เรียงราย แต่ท่ามกลางความมืดนั้น เธอพบสมุดบันทึกเล่มหนึ่งที่วางอยู่ข้างใน

เธอหยิบสมุดบันทึกขึ้นมา เปิดหน้าปกออกด้วยมือที่สั่นไหว ภายในเต็มไปด้วยตัวหนังสือที่เป็นลายมือของพิมพ์ดาว ป่านเริ่มพลิกอ่านอย่างตั้งใจ คำพูดที่พิมพ์ดาวเขียนลงในสมุดบันทึกนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เธอไม่เคยบอกใคร

เมื่อถึงหน้าสุดท้าย ป่านพบข้อความที่ทำให้เธอร้องไห้หนักกว่าเดิม “หนูอยากให้พี่รู้ว่า หนูรักพี่มาก ขอโทษที่ทำให้พี่เป็นห่วง…”

ความรู้สึกผิดและเสียใจของป่านท่วมท้น เธอกอดสมุดบันทึกนั้นแน่น และร้องไห้ออกมาอย่างหนัก “พิมพ์ดาว พี่ขอโทษที่ไม่เคยรู้อะไรเลย พี่ขอโทษที่ไม่ได้อยู่กับเธอ ฮือ....”

ในขณะที่ป่านนั่งร้องไห้อยู่ เธอรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นแผ่วเบาที่แผ่ซ่านจากด้านหลัง เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นสัมผัสไหล่ของเธออย่างแผ่วเบา “พิมพ์ดาว…ถ้าเธอยังอยู่ ได้โปรดให้อภัยพี่ด้วย” ป่านกล่าวด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจ

วันรุ่งขึ้น ป่านเดินทางไปที่สถานีตำรวจด้วยความหวังว่าจะได้รับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคดีของพิมพ์ดาว เมื่อเธอมาถึง เธอถูกนำไปพบกับสารวัตรชาญ ตำรวจที่รับผิดชอบคดีนี้

“สวัสดีค่ะ สารวัตรชาญ หนูคือพี่สาวของพิมพ์ดาวค่ะ หนูอยากทราบความคืบหน้าของคดี” ป่านพูดด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล

สารวัตรชาญเงยหน้าจากเอกสารและมองป่านด้วยสายตาเห็นใจ “สวัสดีครับคุณป่าน ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณดี แต่ตอนนี้เราไม่มีความคืบหน้าในคดีนี้เลยครับ เรายังไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้”

ป่านถอนหายใจยาว น้ำตาคลอเบ้า “สารวัตร...หนูรู้ว่ามันยาก แต่หนูไม่สามารถปล่อยให้คนที่ทำร้ายน้องสาวของหนูยังลอยนวลอยู่แบบนี้ได้ หนูต้องการคำตอบ”

สารวัตรชาญพยักหน้า “เราเข้าใจครับคุณป่าน แต่ขณะนี้หลักฐานยังไม่เพียงพอ และพยานที่มีอยู่ก็น้อยมาก เรากำลังพยายามอย่างเต็มที่ แต่ก็ต้องขอให้คุณอดทน”

ป่านกัดริมฝีปากแน่น ความรู้สึกผิดหวังและหมดหวังท่วมท้นในใจ

ป่านออกจากสถานีตำรวจด้วยความรู้สึกหนักใจ แม้ตำรวจจะรับปากว่าจะตรวจสอบเพิ่มเติม แต่เธอไม่ยอมรออยู่เฉยๆแน่ เธอต้องรู้ให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวเธอ

หลังจากออกจากสถานีตำรวจ ป่านมุ่งหน้าไปยังตึก "มณีรัตน์" ที่พิมพ์ดาวเคยอาศัยอยู่ เธอตั้งใจจะเช่าห้องของพิมพ์ดาวเพื่อหวังว่าจะสามารถติดต่อกับวิญญาณของน้องสาวและค้นหาความจริงด้วยตัวเอง

ตึกนี้ตั้งอยู่ในซอยลึก แวดล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ที่เงาของมันคลุมไปทั่วบริเวณ บรรยากาศรอบๆ ตึกเงียบสงัดจนน่าขนลุก และแสงไฟจากดวงโคมหน้าตึกก็ดูสลัวๆ เหมือนหลอดไฟใกล้จะดับ 

ป่านเดินเข้ามาภายในตัวตึก พบกับบรรยากาศที่อึมครึมกว่าเดิม ล็อบบี้ของตึกนั้นมืดและเงียบ ป่านเห็นสายตาของเงาดำหลายคู่จับจ้องมาที่เธอ เธอพยายามไม่สนใจและเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ต้อนรับที่มีแสงไฟสลัวๆ

ลุงชัย คนดูแลตึก นั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์ เขาเป็นชายชราในวัยหกสิบเศษที่ดูเหนื่อยล้าและเบื่อหน่าย แต่เมื่อเห็นป่าน เขาก็ลุกขึ้นมาและทักทายด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“หนูป่าน สบายดีไหม? ลุงเสียใจด้วยนะเรื่องของหนูพิมพ์ดาว หนูมาวันนี้มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” ลุงชัยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

"ลุงชัย หนูอยากเช่าห้องของพิมพ์ดาวค่ะ" ป่านบอกลุงชัย ด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น

ลุงชัยทำหน้าเคร่งเครียดและถอนหายใจยาว “หนูป่าน ลุงเข้าใจหนู แต่การกลับไปพักในห้องนั้นจะทำให้หนูยิ่งจมอยู่กับความทุกข์นะลูก หนูควรปล่อยให้พิมพ์ดาวไปสู่สุคติ”

ป่านพยายามขอร้องลุงชัยว่าอยากเช่าห้องของพิมพ์ดาวจริงๆ แต่ลุงชัยยังยืนยันหนักแน่นว่าให้อยู่ไม่ได้

ป่านไม่มีทางเลือก จึงถามต่อ “ถ้าหนูเช่าห้องอื่นแทนล่ะคะลุงชัย มีห้องว่างอีกไหม หนูอยากอยู่ที่นี่จริงๆ”

ลุงชัยนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “มีอยู่ห้องหนึ่งว่างอยู่ หนูจะเช่าห้องนั้นก็ได้ แต่ว่าหนูต้องทำใจอย่าไปที่ห้องของพิมพ์ดาวอีก”

ป่านยอมรับ “ขอบคุณมากค่ะลุงชัย หนูจะทำตามที่ลุงบอก”

เมื่อตกลงกันได้ ลุงชัยพาป่านไปยังห้องเช่าว่างที่อยู่คนละชั้นกับห้องของพิมพ์ดาว ภายในห้องนั้นสะอาดและเรียบร้อย แม้จะไม่ใช่ห้องของน้องสาว แต่ป่านรู้สึกว่าการได้อยู่ใกล้ๆ ที่นี่ก็เพียงพอแล้ว

ในยามค่ำคืนที่เงียบสงัด ป่านแอบขึ้นไปที่ชั้นบนของตึกซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องพิมพ์ดาว เธอยืนอยู่หน้าประตูห้องของน้องสาวด้วยความหวังว่าจะได้พบน้องอีกครั้ง

“พิมพ์ดาว...ออกมาให้พี่เห็นสักครั้งเถอะ” ป่านกระซิบเบาๆ แต่มันก็ยังคงเงียบงัน ไม่มีการตอบกลับ ไม่มีสัญญาณใดๆ ที่บ่งบอกถึงการมีอยู่ของพิมพ์ดาว ป่านยืนอยู่ตรงนั้นอีกสักพักก่อนจะถอนหายใจด้วยความผิดหวังและหันหลังกลับไปห้องของเธอ

หลายวันผ่านไป ป่านยังคงวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ห้องของพิมพ์ดาวเป็นประจำ แต่ไม่เคยเห็นน้องสาวออกมาให้เห็นเลย แม้จะมีเสียงกระซิบ เสียงลมพัด หรือแสงเงาในความมืด แต่เธอก็ไม่เคยพบอะไรที่ทำให้มั่นใจได้ว่าน้องสาวยังอยู่ที่นั่น

คืนหนึ่ง ขณะที่ป่านกำลังนั่งอยู่ในห้องของตัวเอง เธอได้ยินเสียงกระซิบจากทางเดินนอกห้อง เสียงนั้นทำให้เธอขนลุก “พิมพ์ดาว?” เธอเรียกชื่อของน้องสาวเบาๆ ก่อนจะเปิดประตูและก้าวออกไป

ในทางเดินที่มืดและเงียบ ป่านได้ยินเสียงลือจากเพื่อนบ้านในตึกเดียวกัน พวกเขาพูดคุยกันเบาๆ ด้วยความหวาดกลัว

“เมื่อคืนนี้ ฉันได้ยินเสียงคนร้องไห้จากห้องพิมพ์ดาว มันน่ากลัวมาก” หญิงสาวคนหนึ่งพูดด้วยเสียงสั่น

“ฉันก็ได้ยิน มีคนบอกว่าเห็นเงาผู้หญิงในชุดขาวเดินอยู่ในทางเดินตอนกลางคืน” ชายอีกคนเสริมด้วยสีหน้าตกใจ

ป่านเดินเข้าไปใกล้และถามด้วยความอยากรู้ “พวกคุณได้ยินเสียงนั้นบ่อยไหมคะ?”

ทั้งสองคนมองหน้ากันก่อนจะพยักหน้า “ใช่ ได้ยินบ่อยครั้ง บางคืนก็ได้ยินเสียงเปิดประตูและเสียงร้องไห้ บางครั้งก็มีคนบอกว่าเห็นวิญญาณของพิมพ์ดาวเดินอยู่ในทางเดิน”

คำพูดของพวกเขาทำให้ป่านรู้สึกมีความหวัง แม้เธอจะไม่เคยเห็นอะไรที่ชัดเจน แต่มันก็ทำให้เธอรู้สึกว่าพิมพ์ดาวยังอยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ความเงียบของกลางคืนทำให้ทุกเสียงดังขึ้น ป่านได้ยินเสียงลมพัดผ่านหน้าต่าง เสียงแมวร้องไกลๆ และในที่สุด...เสียงแผ่วเบาเหมือนเสียงก้าวเดินในทางเดิน

หัวใจของป่านเต้นรัว เธอลุกขึ้นช้าๆ และเปิดประตูออกไปยืนดูในทางเดินที่มืด เธอเห็นเงาร่างของผู้หญิงในชุดขาวเดินผ่านไป แม้จะเพียงชั่วครู่เดียว แต่เธอก็รู้ว่ามันคือพิมพ์ดาว

“พิมพ์ดาว! พี่อยู่ตรงนี้!” ป่านเรียกด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความหวัง แต่เงาร่างนั้นหายไปในความมืด ป่านน้ำตาไหลอาบแก้ม เธอรู้ว่าน้องสาวยังอยู่ใกล้ๆ แม้จะไม่สามารถพูดหรือสัมผัสได้ แต่ความรู้สึกนั้นก็ทำให้ป่านมีความหวังว่าเธอจะสามารถหาคำตอบได้ว่าน้องสาวต้องการสื่ออะไร และทำไมเธอยังไม่ไปสู่ที่สงบสุข

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แปดปีที่ป่านยังคงอาศัยอยู่ที่ตึกมณีรัตน์ ด้วยความหวังและความคิดถึงที่ยังคงอยู่ในใจ แม้เธอจะไม่เคยเห็นพิมพ์ดาวอีกเลยตั้งแต่คืนนั้น แต่ความหวังที่จะได้พบน้องสาวยังไม่เคยหายไป

ชีวิตของป่านเปลี่ยนไปบ้างในช่วงเวลาที่ผ่านมา เธอได้งานที่มั่นคงในเมือง และใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบที่ตึกมณีรัตน์ แต่ในใจลึกๆ เธอยังคงรู้สึกถึงการขาดหายของพิมพ์ดาวเสมอ

วันหนึ่ง ป่านได้ยินเสียงคนพูดคุยกันดังขึ้นจากทางเดินด้านนอกห้องของเธอ เธอวางงานในมือและเดินออกไปดู พบว่าลุงชัยกำลังยืนคุยอยู่กับหญิงสาวคนหนึ่งที่ดูท่าทางสุภาพและเป็นมิตร

ป่านแอบฟังการสนทนาของพวกเขาด้วยความสนใจ

หญิงสาว : “สวัสดีค่ะ มาติดต่อขอดูห้องเช่ารายเดือนค่ะ”

ลุงชัย : “ได้ครับ แต่ตอนนี้เหลือห้องเช่าเพียงห้องเดียวนะครับ ลองเข้าไปดูได้ครับ"

จากนั้นลุงชัยพาหญิงสาวเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสาม

ป่านแอบตามไปดูพบว่าลุงชัยพาผู้เช่ารายใหม่ไปดูห้องของพิมพ์ดาว ใจของป่านกระตุกวูบเมื่อรู้ว่าห้องนั้นจะถูกปล่อยเช่า แต่เธอก็เข้าใจได้ เวลาผ่านมาแปดปีแล้ว เจ้าของตึกคงไม่อยากปล่อยให้ห้องนั้นทิ้งร้างโดยไม่มีรายได้...

หลายวันต่อมาขณะที่ป่านกำลังเดินลงบันได เธอพบกับผู้เช่ารายใหม่ที่พักห้องพิมพ์ดาวกำลังลงบันไดมาจากชั้นสาม ป่านชะงักเล็กน้อย เมื่อเห็นเงาดำเดินตามหลังหญิงสาว

"สวัสดีค่ะ! เพิ่งมาใหม่ชื่อมิ้นค่ะ" หญิงสาวทักทายป่านด้วยรอยยิ้มอย่างสดใส

ป่านกำลังจะทักทายกลับ แต่ความรู้สึกอึดอัดและความเย็นยะเยือกจนหนาวสั่น ทำให้เธอทำได้เพียงพยักหน้า และรีบเดินออกจากตรงนั้นโดยเร็วที่สุด เมื่อออกจากตึกป่านรู้สึกสงสัยว่าเงาดำนั้นคือใคร ทำไมถึงตามคนชื่อมิ้น...

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!