แสงอาทิตย์อ่อนๆ ยามเช้าสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ม่านผ้าที่สั่นไหวเบาๆ ตามแรงลมทำให้ห้องดูมีชีวิตชีวาขึ้นเล็กน้อย เสียงนกร้องเพลงเพราะพริ้งดังแว่วเข้ามาจากด้านนอก เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นวันใหม่
มิ้นตื่นเช้าด้วยความอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น ดวงตาอิดโรย เธอยืดเส้นยืดสายพยายามจะปลุกตัวเองให้ตื่นเต็มตา
“วันนี้ต้องดีขึ้นกว่านี้แน่” เธอพูดกับตัวเองเบาๆ พลางเดินไปที่ห้องน้ำ น้ำเย็นจากก๊อกทำให้เธอรู้สึกสดชื่นขึ้นเล็กน้อย แต่เงาที่สะท้อนในกระจกยังคงบอกถึงความเหนื่อยล้าของเธอ
หลังจากล้างหน้าแปรงฟัน มิ้นก็เปิดหน้าต่างห้องเช่าเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์ แสงแดดที่ส่องลงมากระทบใบหน้าทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นขึ้นบ้าง เธอมองออกไปเห็นผู้คนที่เริ่มเคลื่อนไหวในหอพัก เพื่อนบ้านกำลังรดน้ำต้นไม้ เด็กๆ วิ่งเล่นกันที่สนามหญ้า บรรยากาศยามเช้าดูสงบสุข
มิ้นเดินออกจากห้องไปที่ร้านกาแฟเล็กๆ ใกล้ๆ หอพัก กลิ่นหอมของกาแฟคั่วสดๆ ลอยมาแตะจมูกทันทีที่เธอเข้าไปในร้าน เสียงเครื่องบดกาแฟดังขึ้นเบาๆ คลอไปกับเสียงเพลงแจ๊สที่เปิดคลอในร้าน
“กาแฟลาเต้หนึ่งแก้วค่ะ” มิ้นสั่งกับบาริสต้าด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ หวังว่ากาแฟอุ่นๆ จะช่วยให้เธอรู้สึกสดชื่นขึ้น
ในขณะที่นั่งรอ มิ้นหยิบสมุดโน้ตขึ้นมาเขียนเรื่องราวต่างๆ ที่อยู่ในหัว ข้อความบนกระดาษเผยถึงความสับสนและความกลัวที่เธอเผชิญในคืนที่ผ่านมา
“กาแฟลาเต้ได้แล้วค่ะ” บาริสต้าเรียก มิ้นยิ้มรับกาแฟก่อนจะเดินไปนั่งที่มุมสงบของร้าน เธอมองออกไปที่ถนน เห็นผู้คนเดินผ่านไปมา ชีวิตที่ดูเหมือนจะเป็นปกติและสงบสุข
หลังจากดื่มกาแฟเสร็จแล้ว มิ้นกลับหอพักเพื่อเตรียมตัวไปเรียนในรอบบ่าย เสียงนกร้องเพลงยังคงดังก้องในบรรยากาศยามเช้า เธอเดินผ่านสวนเล็กๆ ที่มีดอกไม้หลากสีสันเบ่งบาน ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย
ขณะที่เดินเข้าตึกหอพัก มิ้นสังเกตเห็นหญิงชราคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าทางเข้า ท่าทางของหญิงชราดูหลงๆ ลืมๆ เธอหันซ้ายหันขวาอย่างไม่แน่ใจว่าตัวเองอยู่ที่ไหน มิ้นรู้สึกสงสารจึงตัดสินใจเข้าไปสอบถาม
"คุณยายคะ มีอะไรให้หนูช่วยไหมคะ?" มิ้นถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
หญิงชราหันมามองเธอด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความสับสน "หนูจ๋า ยายจำไม่ได้ว่ายายมาที่นี่ทำไม ยายหลงทางหรือเปล่าไม่รู้"
มิ้นยิ้มอ่อนๆ และพยายามพูดคุยเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม "ยายชื่ออะไรคะ?หรือคุณยายพอจะจำเบอร์โทรศัพท์ของใครได้ไหมคะ?"
หญิงชราพยายามนึก แต่ดูเหมือนว่าความทรงจำจะไม่ค่อยชัดเจน "ยายชื่อสมศรี แต่เบอร์โทรของลูกชาย ยายจำไม่ได้เลย"
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน มิ้นก็ได้ยินเสียงคนวิ่งเข้ามา เป็นชายหนุ่มวัยประมาณยี่สิบปลายๆ ที่ดูค่อนข้างเหนื่อยและวิตกกังวล เมื่อเขาเห็นหญิงชรา เขาก็รีบตรงเข้ามา
"แม่ครับ! ผมตามหาแม่นานมาก แม่เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?" ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความห่วงใย
หญิงชราหันมามองลูกชายด้วยความโล่งใจ "อ้อ แม่จำได้แล้ว ลูกชายของแม่"
ชายหนุ่มหันมาขอบคุณมิ้นด้วยรอยยิ้ม "ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยดูแลแม่ผม ถ้าคุณไม่ช่วย ผมคงหาท่านไม่เจอ"
"ไม่เป็นไรค่ะ หนูแค่เห็นคุณยายดูหลงๆ ลืมๆ เลยอยากช่วย" มิ้นตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
ชายหนุ่มพยุงแม่ของเขาและหันกลับมามองมิ้นอีกครั้ง "ผมชื่อธนูครับ แล้วคุณล่ะครับ?"
"ฉันชื่อมิ้นค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ" เธอตอบพร้อมกับยิ้มแย้ม
ธนูพยักหน้าและยิ้มตอบ "ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ คุณพักอยู่ห้องไหนหรือครับ? เผื่อว่าผมจะมาขอบคุณอย่างเป็นทางการอีกที"
มิ้นชี้ไปที่ชั้นบน "ฉันอยู่ห้อง 27 ค่ะ แล้วคุณธนูอยู่ห้องไหนคะ?"
ธนูชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่ามิ้นอยู่ห้องหมายเลข 27 ความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในสีหน้าของเขาไม่รอดพ้นสายตาของมิ้น เขาพยายามเก็บความรู้สึก แต่แววตาของเขาบ่งบอกถึงความกังวลและความไม่สบายใจที่ปกปิดไม่มิด
ธนูหันไปมองแม่ของเขาที่ดูเริ่มผ่อนคลายมากขึ้นแล้วจึงหันกลับมาตอบ "เราอยู่ห้อง 14 ครับ ถ้ามีอะไรให้ช่วยหรืออยากได้เพื่อนคุยก็มาหาเราได้นะครับ"
มิ้นรู้สึกดีใจที่ได้เจอคนรู้จักใหม่ "ขอบคุณค่ะคุณธนู ถ้ามีอะไรที่ฉันพอช่วยได้ก็บอกได้นะคะ"
ธนูยิ้มและกล่าวลา "แล้วเจอกันนะครับ ขอบคุณอีกครั้งสำหรับน้ำใจของคุณ"
มิ้นยิ้มตอบและดูธนูกับแม่ของเขาเดินเข้าไปในตึก ก่อนที่จะเดินกลับไปยังห้องของตัวเอง หัวใจของเธอรู้สึกอุ่นขึ้นที่ได้ทำสิ่งดีๆ และได้รู้จักเพื่อนใหม่ในวันนี้
หลังจากเหตุการณ์นั้น มิ้นรู้สึกผ่อนคลายและมีกำลังใจมากขึ้น เธอเตรียมตัวไปเรียนในรอบบ่ายด้วยความรู้สึกที่ดี เมื่อกลับถึงห้อง มิ้นเลือกเสื้อผ้าที่สบายๆ และเหมาะสมสำหรับการเรียน พอแต่งตัวเสร็จ เธอก็หยิบกระเป๋าและตรวจสอบเอกสารที่ต้องใช้ในการเรียนวันนี้ให้ครบถ้วน
ก่อนออกจากห้อง มิ้นหันมองสำรวจตัวเองอีกครั้งว่าหลงลืมอะไรหรือไม่ มิ้นล็อกประตูห้องและเดินออกจากหอพัก เพื่อไปขึ้นรถเมย์มุ่งหน้าไปยังมหาวิทยาลัย
เมื่อมาถึงมหาวิทยาลัย เสียงนักศึกษาและอาจารย์ที่พูดคุยกันอยู่ในทางเดินทำให้เธอรู้สึกว่าชีวิตเริ่มกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
ในช่วงบ่าย การเรียนการสอนทำให้มิ้นลืมเรื่องฝันร้ายไปชั่วขณะ อาจารย์พูดถึงทฤษฎีและแนวคิดที่น่าสนใจ ซึ่งดึงดูดความสนใจของเธอและเพื่อนร่วมชั้น การมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนๆ ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายและเป็นตัวของตัวเอง
หลังจากเลิกเรียน มิ้นรู้สึกไม่อยากกลับห้องไปเผชิญหน้ากับความกังวลและความกลัวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ เธอตัดสินใจไปเที่ยวกับเพื่อนๆ เพื่อผ่อนคลายและลืมเรื่องราวเหล่านั้นไปสักพัก
"จูน เราไม่อยากกลับห้องตอนนี้น่ะ อยากไปเที่ยวกับเพื่อนๆ สักหน่อย เธอไปด้วยกันไหม?" มิ้นถามเพื่อนสนิทของเธอ
จูนยิ้มกว้าง "แน่นอนสิ! เราไปหาที่นั่งชิลล์ๆ กินขนมกันเถอะ ฉันรู้จักร้านเค้กที่น่ารักมากๆ อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยเลย"
ทั้งสองเดินไปชวนเพื่อนๆ อีกสองคนคือ แอนและเบล ทั้งหมดตกลงไปด้วยกันอย่างสนุกสนาน พวกเธอเดินมาถึงร้านเค้กที่มีบรรยากาศอบอุ่นและน่ารัก กลิ่นหอมหวานของเค้กและขนมต่างๆ ทำให้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลาย
"โอ๊ย เค้กที่นี่น่ากินทุกอย่างเลย!" แอนพูดพร้อมกับตาลุกวาวเมื่อเห็นเมนู
"งั้นเราสั่งมาหลายๆ แบบแล้วแบ่งกันกินดีกว่า จะได้ลองหลายๆ รสชาติ" เบลเสนอ
ทุกคนเห็นด้วยและสั่งเค้กหลายชิ้นมานั่งกินพร้อมกับเครื่องดื่มเย็นๆ มิ้นรู้สึกสบายใจมากขึ้นเมื่อได้พูดคุยและหัวเราะกับเพื่อนๆ เรื่องราวที่น่ากลัวและความกังวลในใจเริ่มเบาบางลง
ทุกคนพูดคุยเรื่องราวสนุกสนานต่างๆ แบ่งปันเรื่องราวในชีวิตและหัวเราะกันอย่างมีความสุข จนเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกเธอตัดสินใจเดินเล่นต่อในสวนสาธารณะใกล้ๆ เพื่อย่อยอาหาร เมื่อพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า ทุกคนก็แยกย้ายกลับบ้าน
มิ้นกลับมาถึงหอพักด้วยความรู้สึกเข้มแข็งและมีพลัง คืนนั้นมิ้นนอนลงบนเตียงด้วยความรู้สึกสงบและมั่นใจว่าเธอจะผ่านพ้นคืนนี้ไปได้ แม้ว่าในใจลึกๆ ยังมีความกังวลเล็กน้อย
กลางดึกมิ้นรู้สึกตัวเพราะได้ยินเสียงบางอย่าง เมื่อลืมตามองพบว่าไฟถูกเปิดสว่างจ้า และมีผู้หญิงคนหนึ่งสวมชุดนอนเดรสสีขาว กำลังแต่งตัวอยู่หน้ากระจกที่ตู้เสื้อผ้า
มิ้นตกใจลุกขึ้นนั่งบนเตียง และกวาดสายตามองไปรอบๆห้อง พบว่าห้องของมิ้นดูแปลกไปจากเดิม ห้องดูใหม่เอี่ยมและสะอาดหมดจด เพดานห้องสีขาวบริสุทธิ์ไม่มีรอยด่างพร้อย ผนังห้องที่ทาด้วยสีอ่อนดูสดใสและอบอุ่น เฟอร์นิเจอร์ในห้องถูกจัดเรียงอย่างลงตัว โต๊ะเขียนหนังสือและชั้นวางหนังสือดูเหมือนใหม่ พื้นไม้ปาร์เกต์สะท้อนแสงไฟจากโคมเพดานสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายและน่าอยู่
หญิงสาวคนนั้นยังคงทำกิจกรรมของเธอต่อไปอย่างไม่สนใจว่ามิ้นอยู่ในห้อง เธอยืนอยู่หน้ากระจก มือหยิบหวีขึ้นมาหวีผมยาวดำทมิฬของเธออย่างช้าๆ และระมัดระวัง แสงจากโคมไฟที่สะท้อนในกระจกทำให้เห็นใบหน้าขาวซีดและดวงตาที่เต็มไปด้วยความเศร้า
มิ้นพยายามทำใจให้สงบ เธอไม่แน่ใจว่าควรจะทำอย่างไรในสถานการณ์นี้ เธอขยับตัวเล็กน้อย เพื่อดูว่าหญิงสาวคนนั้นจะสังเกตเห็นหรือไม่ แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ยังคงหวีผมและมองตนเองในกระจกเหมือนมิ้นไม่มีตัวตน
หัวใจของมิ้นเต้นรัวในอก ขณะที่เธอมองดูหญิงสาวคนนั้นทำกิจกรรมของเธอ
หญิงสาวหยิบแปรงสีฟันและยาสีฟันจากลิ้นชักเล็กๆ ข้างกระจก เดินเข้าห้องน้ำ และเริ่มแปรงฟัน ท่าทางของเธอดูเป็นธรรมชาติเหมือนกับคนปกติที่กำลังเตรียมตัวเข้านอน
มิ้นรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เธอพยายามหายใจเข้าลึกๆ เพื่อควบคุมความกลัวในใจ แต่เสียงหัวใจเต้นดังก้องในหูทำให้เธอยากที่จะสงบสติได้
ทันใดนั้นเอง ผู้หญิงคนนั้นก็หยุดทำกิจกรรม หันหน้ามามองตรงไปที่มิ้น แต่ดวงตาของเธอว่างเปล่า ราวกับเธอมองทะลุผ่านมิ้นไปยังอีกที่หนึ่ง
"ทำไมถึงมาที่นี่..." เสียงแผ่วเบาของผู้หญิงคนนั้นดังขึ้นเบาๆ ในความเงียบของห้อง เสียงที่เต็มไปด้วยความเศร้าและความเจ็บปวดทำให้มิ้นรู้สึกหนาวสะท้าน
"ผู้หญิงคนนั้นพูดกับใคร" "ใครกันที่อยู่ในห้องนี้กับเธอ..." ความสงสัยอยากรู้ ทำให้มิ้นค่อยๆหันไปมองข้างเตียงนอน ด้วยหัวใจที่เต้นรัว.....
.
เฮือก!!! มิ้นสะดุ้งแรงเหมือนถูกกระชากให้ตกจากที่สูง สายตามองเห็นเพดานห้องสีขาว ดวงตาเหลือบมองซ้ายขวาอย่างหวาดระแวง เธอพบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียง เหงื่อกาฬผุดซึมทั้งดวงหน้า มิ้นยันร่างลุกขึ้นพิงหัวเตียง มือทาบอก หัวใจเต้นกระหน่ำโครมครามเหมือนจะหลุดกระเด็นออกมานอกอก ลำคอแห้งผาก ขณะสายตากวาดมองโดยรอบเพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง
เธอพึมพำกับตนเอง รวบรวมสติและพึงระลึกได้ว่าเมื่อครู่เป็นเพียงความฝันเท่านั้น...
“เมื่อกี้...ฝันใช่ไหม” เสียงเครือแผ่วเบาหลุดจากลำคอ มือยังทาบกับหน้าอก มิ้นกลืนน้ำลายเหนียวฝืดลงคออย่างยากเย็น ยังไม่หายตกใจเท่าไหร่
เธอพยายามทบทวนเหตุการณ์ในฝัน ภาพของหญิงสาวในชุดนอนเดรสสีขาวที่ปรากฏตัวในห้องของเธอยังคงชัดเจนในความทรงจำ
มิ้นรู้สึกถึงความชื้นของเหงื่อที่ส่งผ่านจากผิวหนังสู่เสื้อผ้า
“ฝันนั่น...”
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 15
Comments