ตอนที่ 10 มนต์ดำ

ช่วงบ่ายหลังจากที่ครอบครัวเซเกร์ทานอาหารเสร็จก็มาห้องประชุมที่จะใช้เป็นศาลไปในตัว ทั้งครอบทั้งมีเก้าอี้ประจำตำแหน่ง โดยที่เมลและ

แอสทัสจะไปเตรียมตัวขึ้นศาล ส่วนซัลเวียที่พลังในร่างกายยังไม่กลับมานั้นแอสทัสจะขึ้นศาลแทนซัลเวีย เมื่อถึงเวลาใกล้ประชุมเหล่าสภา ขุนนาง ผู้อาวุโส นักข่าว และสี่ตระกูลใหญ่ได้เดินเข้ามาในห้องประชุมใหญ่ และตามมาด้วยจักรพรรดิ ซึ่งจักรพรรดินีและองค์ชายรัชทายาทได้มารออยู่แล้ว ทุกคนได้นั่งประจำโต๊ะของตัวเอง

"ถวายบังคมพ่ะย่ะคะ กระหม่อมคาบัคโรเน่ ดีโน่ มหาดเล็กฝ่ายทนายความขององค์จักรพรรดิแอสเตอร์ ฟรอเก็ต เดบูเลนและท่านดยุกเซเกร์ เฮร์ฟ ไมเออร์" ทุกคนต่างตกใจที่ทนายคาบัคโรเน่ ที่ไม่เคยรับงานว่าความให้ผู้มีชื่อเสียงคนไหนเลยจะมาว่าความให้จักรพรรดิ ผู้คนต่างลือว่าไม่รับว่าความให้เชื้อพระวงศ์ อาจจะคงเป็นแค่ข่าวลือ

"ถวายบังคมเพคะ หม่อมฉันมิเชล ฮยอนอา เป็นผู้ช่วยว่าความเพคะ" ฮยอนอาได้ยืนขึ้นแนะนำตัว 

"นั่นผู้ช่วยมิเชลใช่ไหม ว้าว...สวยกว่าที่คิดเลยแถมหน้าอกนั้นสะบึ้มด้วย" ขุนนางบางส่วนเริ่มให้ความสนใจในตัวของฮยอนอา 

"ฮือ หนาวในนี้ก็ไม่ได้ใช้เวทย์น้ำแข็งใช่ไหม ทำไมถึงหนาวจังเลยว่าไหม" เหล่าขุนนางที่จ้อง

มองฮยอนอาเกิดอาการหนาวสั่น เพราะทนายความหนุ่มได้มองค้อนพวกขุนนางด้วยสายตาอาฆาต ทำเอาเหล่าขุนนางพากันไม่กล้าเข้ามายุ่งกับพวกเขาทั้งสองคนเลยแม้แต่น้อย

"เรามีเรื่องจะบอกเนื่องจากเราเจอตัวองค์ชายสองและองค์หญิงหนึ่งแล้ว" เสียงของจักรพรรดิแอสเตอร์ได้ดังขึ้นทำให้กรบเสียงภายในห้องประชุมทั้งหมด สายตาเหล่าขุนนางทุกคนได้จ้องมองไปยังเก้าอี้องค์จักรพรรดิ

"ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาทเรามีองค์ชายรัชทายาทวีเซอร์ ฟรอเก็ต เดบูเลน อยู่แล้วไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมสงสัยว่าองค์ชายสองและองค์หญิงหนึ่งมาจากที่ใดพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงให้คำตอบกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ" ขุนนางคนหนึ่งได้ลุกขึ้นถาม บังอาจมาบอกลูกของเราว่ามาจากที่ใดคิดว่าเราไปเก็บลูกของผู้อื่นมาหรือไงขุนนางเบอร์ด้าห์ จูเลียได้คิดในใจ 

"เรา..." ก่อนที่จักรพรรดิแอสเตอร์จะได้พูดจักรพรรดินีก็ให้ตอบออกมา

"เราตามหาลูกของเรามาตลอดห้าปี เราคิดถึงลูกของเรามาตลอดฝ่าบาทเองก็เช่นกัน เรารู้ว่าหลายคนอาจต่างสงสัยว่าทำไมเราถึงไม่ประกาศตามหาองค์ชายและองค์หญิงเราประกาศตามหาแล้ว เราทำทุกวิธีที่จะทำได้ในตอนนั้น เราทั้งให้อัศวินเงาตามหาทั้งให้ราซช่วยหาแต่เราก็ไม่พบอะไรเลย เราต้องขอบคุณบุตรสาวของดยุกเซเกร์ด้วยซ้ำที่ช่วยตามหาลูกของเราจนเจอ งั้นเราขอถามเจ้าหน่อยว่าคิดว่าเราเก็บลูกของเรามาจากที่ใด" น้าจูเลียนี้เอาจริงแฮะ ในนิยายได้บรรยายว่าจักรพรรดินีจะอ่อนโยนมากที่สุดและจะมีความแข็งแกร่งอยู่ในตัวเปรียบสะเหมือนกับจันทราที่คอยให้ความสงบในยามค่ำคืน แต่บางคืนอาจจะเกิดพระจันทร์สีเลือดเพราะเมื่อใดที่ผู้ใดพูดไม่เข้าหูก็จะอารมณ์เดือดเป็นพิเศษราวกับเก็บกดมาจากช่วงเวลากลางวัน แต่ก็ไม่นึกว่าออร่าความแข็งแกร่งที่อยากปกป้องแอสทัสกับซัลเวียจะแรงขนาดนี้ เมลได้ใช้สกิลการอ่านความรู้สึกอ่านออร่าของจูเลีย

แย่แล้วเราไม่น่าถามอะไรแบบนี้เลยทางที่แย่กว่านั้น จักรพรรดิอาจถอดถอนเราจากตระกูลขุนนางเลยก็ได้ "กระหม่อมนึกว่าพระองค์ไปเก็บมาจากขะ...ข้างทางพ่ะย่ะคะ" 

"เจ้าบังอาจนัก!! เจ้ากำลังจะบอกว่าเราไปเก็บลูกของเรามาจากข้างทางอย่างงั้นหรือเจ้าสิ้นคิดซะจริงข้าเลือกคนแบบเจ้ามาเป็นขุนนางได้อย่างไรกัน เราขอถอนเจ้าออกจากขุนนางไม่สินำตัวไปเตรียมประหารข้อหาดูหมิ่นเชื้อพระวงศ์" กริ๊ง เสียงกดกริ๊งเรียกทหารรักษาพระองค์เข้ามา

"นำตัวเตรียมไปประหารเสีย" สิ้นคำพูดขององค์จักรพรรดินีทหารรักษาพระองค์ได้จับกุมตัวขุนนางผู้นั้นไปเตรียมประหาร

"จักรพรรดินีเราว่าถอดยศฐาบรรดาศักดิ์ก็น่าจะพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องประหารเลยนี่น่า" จูเลียโกรธขนาดนี้แล้วอารมณ์น่าจะกู้ไม่กลับแล้วล่ะมั้ง

"...แล้วพระองค์มีทางไหนบ้างเพคะ นอกจากไม่ประหารชีวิตและถอดถอนยศกับตระกูล" จักรพรรดินีตอบด้วยเสียงเย็นชา เขายังไม่หายโกรธที่ขุนนางคนนั้นมาว่าลูกของเขา ขนาดตัวของเขาเองยังไม่เคยว่าลูก ยังไม่กล้าตีลูก แล้วใครที่ไหนจะมาว่าลูกของเขาได้ มันน่าโมโหจริงนะ พวกขุนนางสมองโบราณนี่นะ

กริ๊ง กริ๊ง เสียงกดกริ๊งจากตระกูลเซเกร์คนกดนั้นคือ บุตรสาวคนเล็กของดยุกเซเกร์ เมล ไมเออร์ เหล่าขุนนาง และเหล่าผู้อาวุโสต่างก็สงสัยกันใหญว่าทำไมมีเด็กมากดกริ๊งตระกูลเล่นแบบนี้ 

"ท่านดยุกโปรดดูแลลูกของท่านด้วย อย่าให้เข้ามาเพ่นพ่านแถวนี้" ผู้อาวุโสได้บอกท่านดยุกมีหรือท่านดยุกจะฟัง 

"ลูกสาวของฉัน มีเรื่องจะพูดไม่ได้มากดกริ๊งของตระกูลเล่น ๆ แล้วอีกอย่างตั้งแต่ลูกสาวฉันเข้ามาไม่ได้วิ่งเพ่นพ่านเลยแม้แต่น้อย สงสัยท่านคงมีอายุมากโขแล้ว พักบ้างก็ได้นะท่านอาวุโส" คำพูดของดยุกทำเอาผู้อาวุโสผู้นั้นเสียหน้า 

"เชิญตระกูลเซเกร์พูด" เสียงขององค์จักรพรรดิบอก 

"อะ...เอ่อหนูขอพูดอะไรสักหน่อยเพคะ การประหารชีวิตหนูคิดว่ามันมากเกินไปเพราะพวกเขาไม่สมควรได้รับเพคะ หนูเห็นด้วยที่องค์จักรพรรดิทรงทูลถอดถอนยศ แต่หนูอยากให้เพิ่มขับไล่ออกจากเมืองด้วยเพคะ ขุนนางผู้นั้นก็เคยเข้าร่วมงานประมูลทาสที่ผิดกฎหมายของอาณาจักรขุนนางผู้นั้นสมควรโดนเพคะ ขอขอบพระทัยที่องค์จักรพรรดิทรงให้หนูทูลกล่าวเพคะ" เมลได้นั่งลงเฮร์ฟได้ลูบหัวของเมลเบา ๆ กริ๊ง กริ๊ง เสียงกดกระกริ๊งของหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ได้ดังสนั่นทั่วห้องประชุม 

"กระหม่อมดัสเชสเมเบล ชาริอุสหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่จะขอทูลองค์จักรพรรดิจักรพรรดินีและองค์ชายรัชทายาทลำดับที่หนึ่ง" นั้นนะเหรอดัสเชสเมเบล ชาริอุส พึ่งเคยเห็นแฮะ ในนิยายผมสีใบเมเปิ้ล ดวงตาสีน้ำตาลแดงนั้นดูมีสเน่ห์จัง "หม่อมฉันคิดว่าเรื่ององค์ชายลำดับที่สององค์หญิงลำดับที่หนึ่งและลูกสาวของดยุกเซเกร์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าทาสในแดนเหนือที่ดยุกเซเกร์เคยกล่าวไว้เมื่อประชุมสี่ตระกูลใหญ่เมื่อครั้งก่อน ครั้งนี้จะมาตัดสินกันยังไง ก็ขึ้นอยู่กับการว่าความครั้งนี้เพคะ หรือจะไม่เอาเรื่องที่จะจับคุณหนูทั้งสองและคุณชาย ก็แล้วแต่เลย นี้เป็นสิทธิของผู้ปกครองที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกกระทำช่ำเรา กระหม่อมทูลเพียงเท่านี้เพคะ" เมเบลได้นั่งลงเก้าอี้ตามเดิม หือ... ผมสีขาวลอนนั้นลูกสาวของเฮร์ฟเหรอน่ารักจัง เหมือนได้เห็นเฟพาสในรูปย่อส่วนเลย ไว้มีโอกาสค่อยเข้าไปทักทายดีกว่า

"เราขอบใจดัสเชสมากที่เตือนสติของเรานะ งั้นเรามาเริ่มขั้นตอนการว่าความในศาลกันเลยดีกว่า" จักรพรรดินีได้พูดขึ้น ครืด ครืด เสียงโต๊ะที่ครอบครัวดยุกเซเกร์นั่งได้เปลี่ยนเป็นโต๊ะสำหรับว่าความ ทหารตระกูลเซเกร์ได้นำตัวของแฟสเซลและบารอนฟิเซเออร์เข้ามา เหล่าขุนนางได้แต่พากันงงและคิดในใจว่าจักรพรรดินีมีแผนจะทำอะไรกันแน่ 

"อือ อือ อื้อ อื้อ" แฟสเซลตั้งแต่มาเมืองหลวงก็แหกปากไม่หยุดเลยแฮะ พวกทหารน่าจะรำคราญเลยเอาเทปมาปิดปากไว้แหละ ส่วนบารอนก็กลัวจนตัวสั่น 

"เอาล่ะครับเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า" เสียงของทนายความหนุ่มคาบัคโรเน่ ดีโน่ ได้ดังขึ้น 

"ข้าในนามทนายความคาบัคโรเน่ ดีโน่ จะขอถามลูกความจงตอบตามความจริง เมเร เมเร่" ประกายแสงสีขาวกลมได้ออกมาจากตัวของดีโน่

"นี่คือแสงแห่งความจริงส่วนมากจะใช้ในการบังคับให้พูดความจริงซะส่วนใหญ่ ถึงจะบอกว่าเป็นแสงแห่งความจริงมันก็แค่เอาเวทย์ไฟฟ้ามาปรับแต่งให้กลายเป็นเวทย์แสงก็แค่นั้น ลูกไม่ต้องไปสนใจหรอก ลูกก็แค่ตอบไปตามความจริงก็พอ" เฮร์ฟได้บอกเมลเพราะเห็นลูกของเขาได้ขมวดคิ้วทำถ้าสงสัย "ท่านพ่อจะแย่งผมพูดทำไมครับ ผมกำลังจะอธิบายให้เมลฟังเลยนะครับ" เมฟได้พูดน้อยใจพ่อของตัวเอง "เลิกน้อยใจกันไปมาได้แล้วอาจารย์ดีโน่จะเริ่มแล้ว" หืม ทำไมมาร์ฟ่าได้เรียกดีโน่ว่าอาจารย์อีกแล้วล่ะ ช่างเถอะ เดี๋ยวค่อยถามดีกว่า

"บารอนฟิเซเออร์ เจ้าได้นำองค์ชายลำดับที่สององค์หญิงลำดับที่หนึ่งและบุตรสาวคนเล็กของ

ดยุกเซเกร์ไปค้าทาสจริงหรือไหม" ฮยอนอาผู้ช่วยของดีโน่ได้ยืนขึ้น "ทูลองค์จักรพรรดิจักรพรรดินีขอเบิกตัวองค์ชายลำดับที่สองได้หรือไหมเพคะ" แอสเตอร์และจูเลียมองหน้ากันและพยักหน้าเป็นการให้คำตอบว่า ได้

"องค์ชายลำดับที่สองแห่งจักรวรรดิเดบูเลน

แอสทัส ฟรอเก็ต เดบูเลน เสด็จ!!" อัศวินจักรวรรดิได้นำตัวของแอสทัสเข้ามา ทุกคนในห้องประชุมยืนขึ้นทำความเคารพพร้อมเพียงแอสทัสได้เข้าไปนั่งข้างวีเซอร์ซึ่งเป็นเก้าอี้ประจำตำแหน่งของเขาที่มิลานได้เตรียมไว้พร้อมกับของน้องสาว

"ทูลองค์ชายลำดับที่สอง พระองค์และองค์หญิงทรงเคยเห็นหน้าบารอนผู้นี้และหญิงสาวผู้นี้ไหมเพคะ" ฮยอนอาได้กล่าวถาม

"เราเคยเห็นเมื่อนานมาแล้ว และเราเห็นบารอนผู้นี้จับตัวบุตรสาวของดยุกเซเกร์ไปอีกด้วย"

แอสทัสได้ตอบคำถามที่ฮยอนอาถาม "กะ...กระหม่อมไม่ทราบว่าคือองค์ชายลำดับที่สองและองค์หญิงลำดับที่หนึ่งพ่ะย่ะคะ" บารอนซิเฟเออร์ได้กล่าวตอบ

"งั้นเราขอถามเจ้าหน่อยว่าถ้าไม่ใช่องค์ชายและองค์หญิงเจ้าก็จะไม่ทำหรือ"องค์จักรพรรดิได้ถามบารอนกลับ "...กระหม่อม..." จักรพรรดิได้ถามว่า "ถ้าเกิดว่าบุตรสาวของดยุกเซเกร์เกิดเป็นอะไรขึ้นมาเจ้าจะทำเช่นไร ชีวิตของคนเรามีเกิดครั้งเดียวและตายเพียงครั้งเดียว เจ้าเคยลองคิดดูบ้างไหมว่าทำไมดยุกเซเกร์ถึงโกรธเป็นฝืนเป็นไฟขนาดนั้น ลูกของเขาเกือบจะโดนจับตัวไปเป็นทาส เพราะการกระทำที่ชั่ว ๆ ของคนแบบเจ้า ลูกของเราก็เช่นกัน เราก็จะไม่มีวันปล่อยเจ้าไปเป็นอันขาด" คำพูดขององค์จักรพรรดิที่พูดเตือนสติของบารอนก็คงจะไม่เข้าหัวเลย

"อะ องค์จักรพรรดิเพคะ หม่อมฉันสำนึกผิดแล้วเพคะ ได้โปรดอย่าประหารชีวิตหม่อมฉันเลยนะค่ะ" หึ แค่ทำให้องค์จักรพรรดิสงสารก็ไม่ประหารชีวิตข้าแล้วล่ะ แฟสเซลได้แต่ติดความคิดชั่ว ๆ ไว้ในหัว

"อะ องค์หญิงลำดับที่หนึ่งซัลเวีย ฟรอเก็ต เดบูเลน ทรงเสด็จ!!!" สิ้นคำพูดของอัศวินที่เฝ้าหน้าห้องประชุมซัลเวียก็ได้เดินเข้ามา จักรพรรดินีและองค์รัชทายาทได้วิ่งไปรับตัวของซัลเวียไว้

"แม่บอกให้ลูกอยู่ห้องไม่ใช่หรือนี่ลูกยังจะฝืนมาอีก ร่างกายของลูกจะไม่ไหวเอานะ" สิ้นคำพูดของจูเลียซัลเวียก็ได้ตอบกลับ

"หนูอยากมาเป็นพยานให้พี่แล้วก็เมลนะคะท่านแม่" ก็จริงอย่างที่น้องบอกแฮะถ้าพยานหรือผู้ให้ปากคำไม่พอศาลอาจจะไม่ทำอะไรเลยยื่งกฎหมายเอื้อยต่อประชาชนอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นเราอาจจะชนะเพราะมีพยานสองคน...

"งั้นน้องก็มานั่งข้าง ๆ พี่แล้วก็นะถ้าไม่ไหวให้บอกพี่จะได้ใช้เวทย์รักษาได้ ท่านแม่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องน้องนะครับ" วีเซอร์ได้อุ้มซัลเวียในท่าเจ้าสาวผู้เป็นน้องไปที่เก้าอี้ข้างตัวเอง

เป็นคนดีเหมือนกันนะนายนะ มาร์ฟ่าคิดในใจ กริ๊ง เสียงกดกริ๊งดังขึ้นมาจากตระกูลเวลล์ นั้นคือดยุกเซอร์ลอง เวลล์  "ขออนุญาตทูลฝ่าบาทเรื่ององค์ชายลำดับที่สองพ่ะย่ะค่ะ" ดยุกเวลล์มีแผนจะทำอะไรก็แน่นะ ถึงได้จะทูลฝ่าบาทเรื่องของ

แอสทัส เมลได้แต่คิดในใจ

"เรื่องนี้กระหม่อมว่าเรื่องนี้ต้องมีลับลมคมในเป็นแน่กระหม่อมว่าเราประชุมประจำเดือนให้เสร็จก่อนดีกว่านะพ่ะย่ะค่ะ ถ้าสายกว่านี้เดี๋ยวท่านอาวุโสจะง่วงนอนเอาซะก่อน ยิ่งท่านอาวุโสแต่ละท่านอายุเยอะแล้วด้วยเดี๋ยวท่านจะรอไม่ไหว" คำพูดของดยุกเวลล์นั้นทำเอาผู้อาวุโสหลายคนเริ่มโกรธเลือดขึ้นหน้าเนื่องจากดยุกเวลล์พูดจาไม่เข้าหูพวกเขาเอาสักเท่าไหร่

"นั้นสิ งั้นเอานักโทษไปฝากขังไว้ก่อนเราจะพักการประชุมสิบนาที มาเจอกันใหม่" สิ้นคำพูดของจักรพรรดิ ขุนนาง นักข่าว และผู้อาวุโสเริ่มทยอยออกจากห้องประชุม 

ช่วงเวลาพัก

"ดยุกเวลล์เจ้านะยังวัยหนุ่มอยู่ อย่าพึ่งมีปากเสียงกับผู้อาวุโสเลยนะ" หื้ม มีคนเข้าไปคุยกับ

ดยุกเวลล์ด้วยอะไรกันนะ ออร่าสีดำเหรอหรือว่าเราตาฝาดไปเอง

"ท่านพ่อคะ หนูไปหาเพื่อนของท่านพ่อได้ไหมคะ หนูยังไม่รู้จักเพื่อนของท่านพ่อกับท่านแม่เลยสักคน" ฉันไม่ได้ตาฝาดไปจริงด้วยนั้นมันออร่ามนต์ดำของหอคอยมืด

"ได้สิไปกัน หื้ม เวลล์ยังคุยธุระไม่เสร็จเหรองั้นเราจะรอตรงนี้" จับสำผัสของมนต์ดำได้

"ผมรู้นะครับว่าท่านนะหวังดีกับผมนะครับ แต่ท่านก็อายุมากแล้วควรจะพักผ่อนได้แล้วนะครับท่านอาวุโสสิงค์ มาเชล!!" เวลล์ได้ปล่อยพลังใส่ท่านอาวุโสสิงค์ใช่ เขาดูออกว่านี้ไม่ใช่ท่านอาวุโสสิงค์ตัวจริงนี้คือ ร่างโคลนนิ่งหรือมนต์ดำของหอคอยมืด

"อ่ะ ท่านพ่อ! เพื่อนของท่านพ่อล่ะคะ ถ้าไม่รีบช่วยงั้นเขาจะถูกมนต์ดำกัดกินเอานะคะ ถ้าไม่รีบช่วยล่ะก็...." ในระหว่างที่เฮร์ฟใช้เวทย์ป้องกันให้เมล

"หึ หึ เรามาแล้วเรามารับตัวเจ้าสาวของนายท่านแล้ว นายหญิง นายหญิง เรามารับแล้วครับผม" อาวุโสสิงค์หรือมนต์ดำของหอคอยมืดกลายร่างเป็นหมอกควันสีดำ ราวไอความมืดอันชั่วร้าย มันบอกว่าเจ้าสาวเหรอ นายหญิง ใครกันหรือว่าจะเป็น...ไม่นะ ความคิดของเฮร์ฟรู้สึกว่าเขาจะไม่ถูกชะตากับมนต์ดำตัวนี้สักเท่าไหร่

"นายหญิงเรามารับแล้วโปรดไปกับพวกเราเถอะครับ แน่นอนว่าเราจะดูแลท่านให้ดีกว่าเจ้าพวกนี้แน่นอนครับ" นายหญิง? ทำไมพวกมันต้องการฉันล่ะ 

"ทะ ทำไมพวกนายต้องการฉันล่ะ"  เมลนี่ลูก เมลได้พูดท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ ก็ไม่แปลกเพราะในชาติก่อนเขาไม่เคยเจออะไรแบบนี้เลยนี่นา

"หึ หึ เจอแล้ว เหตุผลที่เราต้องการเธอก็เพราะว่าเรานั้นต้องการที่จะมีทายาทสืบทอดบัลลังก์ยังไงล่ะ" ลูกฉันอายุแค่นี้ทำไม ต้องการคนสืบบัลลังก์ด้วย

"อืม งั้นก็หายไปซะ!! แล้วอย่ามาวนเวียนรอบตัวฉันอีก!! ฟรังซัวกลอแมร์" เมลได้รายเวทย์ไปทางมนต์ดำ มนต์ดำได้จางหาย เฮร์ฟ เวลล์ ตกใจกับพลังของเมลปกติจะไม่มีใครทำลายเวทย์ปกกันของเฮร์ฟได้ ทั้งที่เฮร์ฟรายเวทย์ปกกันเอาไว้

"หนีไปซะได้ เมลลูกไปเรียนพลังเวทย์มาจากไหนแล้วลูกไม่กลัวเหรอ" สงสัยว่าจะเป็นกิมหรือเปล่าที่สอนเวทย์มนต์ให้เมล

"ก็กลัวอยู่ค่ะท่านพ่อ แต่ว่าทำไมถึงอยากได้หนูมาเป็นนายหญิงขนาดนั้นนะคะ" นั้นสิ ปกติมนต์ดำจะมีพลังเวทย์สูงถึงจะเรียนได้ แต่ผลเสียที่ตามมาก็คือมันจะค่อยๆ กัดกินพลังของเจ้าของไปเรื่อย ๆ

"นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ยดยุกเซเกร์ ดยุกเวลล์" แอสเตอร์เดินเข้ามาพร้อมกับสมาชิกขุนนางคนอื่น ๆ 

"มนต์ดำของหอคอยมืด มันจะมาทำร้ายเวลล์แต่เวลล์รู้ตัวทันก่อนมันก็เลยจะมาทำร้ายเมลแทน แต่เมลใช้ฟรังซัวกลอแมร์โจมตีกลับไปแล้ว" เฮร์ฟหันไปคุยกับแอสเตอร์ผู้เดินเข้ามาใหม่กับพวกขุนนางที่พากันตกอกตกใจ ที่อายุแค่นี้ก็ใช้เวทย์ระดับสูงได้แล้วอนาคตอาจจะได้เป็นนักเวทที่แข็งแกร่งก็ได้

"ดูเหมือนว่าเราจะได้เปิดศึกกับหอคอยมืดแล้วล่ะ"

"หื้ม ทำไมล่ะ"

"บอสมันบอกอยากได้เมลไปเป็นเจ้าสาว" ใช่ ที่ท่านพ่อพูดอยู่ตอนนี้ท่านพ่อกำลังโกรธแบบสุดๆ  

"แต่มันหนีไปได้ จะทำยังไงต่อล่ะ" เวลล์ถามขึ้นมา และมองมาที่เฮร์ฟ

"ปล่อยไป เรามาประชุมกันต่อฉันอยากจัดการยังเด็กไร้มารยาทนั่นแล้ว" ท่านพ่ออุ้มฉันมาที่โต๊ะประจำตระกูลและจักรพรรดิก็ทรงเริ่มการประชุมต่อ เอาตรง ๆ ฉันก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง เรื่องงบประมาณอะไรพวกนี้หรอก มันยากเกินไปสำหรับฉัน

"ต่อมามีใครจะเสนออีกไหม" จักรพรรดิถามคนในห้องประชุม

กริ๊ง เสียงกดกริ๊งของหนึ่งสี่ตระกูลใหญ่ดังขึ้น

“ฉันขอเสนอให้มีการสมรสเท่าเทียม” หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ ตระกูลดยุกบีลุค แฮสเซส

“ว่ามาดยุกแฮสเซส”

“ในปัจจุบันจักรวรรดิของเราก็เริ่มจะมีรักต่างเพศเกิดขึ้นในหลาย ๆ เมือง ฉันเลยเสนอให้มีกฎหมายที่จะปกป้องกลุ่มคนเหล่านี้ ในปัจจุบันมีการแต่งงานเกิดขึ้นหลายคู่มาก แต่คู่รักที่เป็นชายชาย หรือหญิงหญิงก็มี แต่กฎหมายไม่เอื้ออำนวยแก่พวกเขาเหล่านี้ถึงจะมีสามีภรรยาจดทะเบียนสมรสก็จริงแต่ก็เลิกรากันไปหลายคู่ก็มี และฉันลงพื้นที่ไปดูมาแล้วว่าคู่รักชาย หรือ คู่รักหญิงบางคู่เลี้ยงดูบุตรได้ดีกว่าคู่สามีภรรยาบางคู่ซะอีก ถึงแม้พวกเขาจะเป็นผู้ชายรักกันหรือผู้หญิงรักกัน ก็ไม่ต่างจากคู่ชายหญิงปกติหรอก พวกเขาไม่ได้เกิดมาผิดเพศ แต่พวกเขารักและชอบในสิ่งที่พวกเขาเป็นจนหลายคนอิจฉาแล้วพูดเสีย ๆ หาย ๆ เท่านั้นเอง ฉันคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จักรวรรดิเราจะเข้าถึงความรักที่ไร้ซึ่งพรมแดน”

“ที่ดยุกพูดมาก็ถูกเกือบทั้งหมด ฝ่ายพลเรือนรายงานมาซิว่าจักรวรรดิเราแต่งงานกี่คู่หย่าไปแล้วกี่คู่ รายงานของสี่ทิศด้วย” เจ้านี่ตั้งใจกับสมรสเท่าเที่ยมครั้งนี้ซินะ

“จักรพรรดิจะให้เจ้าพวกรักผิดเพศพวกนี้ทำให้จักรวรรดิเดบูเลนของเราเสียชื่อเสียงนะพ่ะย่ะค่ะ! จักรพรรดินีทรงโปรดออกความคิดเห็นเรื่องนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

“ท่านอาวุโสเราบอกแล้วว่าถ้าจะเสนออะไรให้กดกริ๊ง ไม่ใช่มาแหกปากแถวนี้” ชิ ฉันเห็นแกจักรพรรดิองค์ก่อนแหล่ะ กริ๊ง—

“เชิญพูด”

“จักรพรรดิจะให้เจ้าพวกรักผิดเพศพวกนี้ทำให้จักรวรรดิเดบูเลนของเราเสียชื่อเสียงนะพ่ะย่ะค่ะ! จักรพรรดินีทรงโปรดออกความคิดเห็นเรื่องนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” แอสเตอร์เหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จูเลียนั้นพูดออกมาก่อน

” เราเห็นชอบกับความคิดของดยุกแฮสเซส ประชาชนนั้นต้องมาก่อนเพราะกฎหมายทั้งหมดนั้นสร้างขึ้นมาเพื่อเอื้ออำนวยต่อประชาชน ท่านอาวุโสโปรดวางใจเราจะใส่ใจประชาชนให้มากที่สุด เชิญฝ่ายพลเรือนรายงานต่อได้เลย “จูเลียพูดแบบนั้นเพื่อเป็นการตัดบทผู้อาวุโสที่จะถามคำถามเธอเพิ่มอีกแน่นอน

“กระหม่อมฝ่ายพลเรือน อิเซล โจเลอร์ขอรายงานการแต่งงานภายในจักรวรรดิทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ จากที่กระหม่อมทำกราฟสถิติปีนี้มานั้น จะแบ่งได้เป็นสี่ประเภทดังนี้ เชิญทุกท่านดูในกระดาษรายงานผลของปีนี้ครับ

หนึ่ง คู่ชายหญิง

สอง คู่รักชาย

สาม คู่รักหญิง

สี่ คู่สามีภรรยาที่หย่าแล้ว

ภายในเมืองหลวง คู่แต่งงานมีห้าสิบคู่ คู่รักชายยี่สิบห้าคู่ คู่รักหญิงสิบคู่ คู่สามีภรรยาที่หย่าเก้าคู่

ทิศเหนือเขตปกครองดยุกเซเกร์ เฮร์ฟ ไมเออร์ คู่แต่งงานเก้าสิบคู่ คู่รักชายแปดสิบคู่ คู่รักหญิงเจ็ดสิบห้าคู่ คู่สามีภรรยาที่หย่าหนึ่งคู่

ทิศใต้เขตปกครองดยุกบีลุค แฮสเซส คู่แต่งงานยี่สิบห้าคู่ คู่รักชายสามสิบห้าคู่ คู่รักหญิงยี่สิบคู่ คู่สามีภรรยาที่หย่าสี่สิบคู่

ทิศตะวันออกเขตปกครองดยุกเซอร์ลอง เวลล์ คู่แต่งงานเจ็ดสิบคู่ คู่รักชายแปดสิบคู่ คู่รักหญิงห้าสิบห้าคู่ คู่สามีภรรยาที่หย่าสี่คู่

ทิศตะวันตกเขตปกครองดัชเชสเมเบล ชาริอุส คู่แต่งงานหนึ่งร้อยยี่สิบคู่ คู่รักชายห้าคู่ คู่รักหญิงห้าสิบคู่ คู่สามีภรรยาที่หย่าสามคู่”

“มีเยอะกว่าที่เราคิดเอาไว้ซะอีก ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับราษฎรของจักรวรรดิ เราขอประกาศกฎหมายสมรสเท่าเทียมสำหรับเพศที่สาม พวกเขาไม่ใช่พวกผิดเพศ แต่พวกเขารักและชอบในสิ่งที่พวกเขาทำต่อไปนี้พวกเขาไม่ต้องทนทุกข์กับการไม่มีกฎหมายรองรับอีกต่อไปแล้ว ใครเห็นด้วยให้ยกป้ายเชย์ขึ้น” หลังจักรพรรดิพูดจบก็มีเหล่าขุนนางหลายคนยกป้ายขึ้นมาเห็นด้วย รวมไปถึงสี่ตระกูลใหญ่จักรพรรดิจักรพรรดินี องค์ชายรัชทายาท องค์ชายลำดับที่สอง และองค์หญิงลำดับที่หนึ่ง

” เอาล่ะผลการโหวตออกมาแล้ว โห้ เป็นผลที่ฉันเองก็อึ้งเหมือนกัน สมาชิกในห้องประชุมมีทั้งหมดหนึ่งร้อยห้าสิบคน เห็นด้วยหนึ่งร้อยยี่สิบห้าคน ไม่เห็นด้วยยี่สิบห้าคน งั้นเราได้ผลโหวตที่ชนะการเสนอร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมแล้ว

ผลโหวตเป็นบวกความเห็นทั้งหมดหนึ่งร้อยยี่สิบห้าคน”

“เราขอแต่งตั้งดยุกแฮสเซสและฝ่ายพลเรือนเป็นคนร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมขึ้นและนำมาให้เราตรวจเช็คอีกครั้งในอีกสามวันต่อจากนี้ จบการประชุมได้ต่อไปเป็นการว่าความในศาล เราขอส่งต่อให้มหาดเล็กฝ่ายทนายความคาบัคโรเน่ ดีโน “

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!