ตอนที่ 9 อดีตคนรัก

ระหว่างการเดินทางไปยังเมืองหลวง รถม้าทั้งสองคันไม่ได้หยุดพัก และแล้วเช้ามืดก็ได้มาถึงยังเมืองหลวงพระอาทิตย์ยังไม่ทันสว่าง รถม้าทั้งสองคันวิ่งเข้าไปยังพระราชวังมุ่งหน้าตรงไปยังพระราชวังหลักที่ประทับของจักรพรรดิจักรพรรดินีและองค์ชายรัชทายาท

รถม้าของจูเลีย

"ถึงแล้วจ๊ะ แอสทัส หนูเมลลงมาพักผ่อนก่อนนะจ๊ะ" จูเลียได้อุ้มซัลเวียที่ไข้ขึ้นเพราะราซกระทันหันเธอได้ใช้พลังเวทย์ระงับเอาไว้ก่อน

"จูเลียให้เราอุ้มซัลเวียเถอะเจ้าน่าจะเหนื่อยแล้ว" จูเลียส่งซัลเวียให้แอสเตอร์อุ้มและหันมาจับมือกับแอสทัสเข้าวัง เฮร์ฟลงจากรถม้าก็เดินมาอุ้มเมลปล่อยให้มาร์ฟ่าเมฟและวีเดินมาเอง ทั้งสองครอบครัวได้เข้ามายังราชวังที่ตกแต่งไปด้วยทอง ดอกไม้สดที่สง่างาม มีสาวใช้และพ่อบ้านคอยต้อนรับ ทั้งสองครอบครัวได้ตรงไปยังห้องพักเพราะกว่าจะถึงเวลาให้ปากคำก็อีกนาน บารอนซิเฟเออร์และแฟสเซลได้ถูกส่งตัวไปยังห้องขังใต้ดินของพระราชวัง ตลอดการเดินทางแฟสเซลได้กรีดร้องให้ปล่อยตัวเธอกับบารอนแต่ก็ไม่เป็นผล เนื่องเหล่าอัศวินทนเสียงไม่ได้เลยจับปิดปากและนำตัวไปขัง เตรียมรอขึ้นศาลในช่วงบ่าย

ภายในห้องมหาดเล็กฝ่ายทนายความ ดีโน่ทนายความหนุ่มได้นอนหลับอยู่ที่โซฟาใหญ่ใจกลางห้อง

ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้นแต่ไร้การตอบรับของทนายความหนุ่ม เลขาสาวได้ถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามา 

"ขออนุญาตคะ อาจารย์ตื่นได้คะใกล้จะถึงเวลาที่เราจะไปสอบปากคำแล้วนะคะ นี่ อาจารย์คะ—อ๊ะ" เลขาสาวได้เข้าไปปลุกอาจารย์ที่กำลังนอนหลับอยู่ท่อนบนใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวไม่ติดกระดุม เผยให้เห็นเรือนร่างซิกแพคเป็นหมัดๆ ทนายความหนุ่มผู้เป็นอาจารย์จับข้อมือของเลขาสาว หญิงสาวหน้าแดงก่ำตัวของทั้งคู่ใกล้ชิดกันมาก แถบจะได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน

"ทำไมคุณถึงทิ้งผมไปลาเรียต ฮึก ไม่เคยหันมามองผมเลย ทำไมคุณต้องมองสายตาหน้ารังเกียจใส่ผมด้วย" ลาเรียตคนรักเก่าของอาจารย์เหรอ ฮึก ไม่ได้ ฮึก...จะต้องรีบปลุกอาจารย์ เราจะมาร้องไห้กับเรื่องแค่นี้ไม่ได้เราไม่ได้เป็นอะไรกับอาจารย์สักหน่อย

"อะ อาจารย์ อาจารย์คะ อาจารย์ตื่นได้แล้วคะ!!!!" หญิงสาวตะโกนเรียกอาจารย์หนุ่มของตัวเองด้วยเสียงสะอื้นราวกับกำลังจะร้องไห้ 

"ทะ ทำไมคุณถึงเข้ามาละ ถ้ายังไม่ถึงเวลาก็ควรพักสักหน่อยนะครับ แล้วคุณร้องไห้ทำไม" ทนายความหนุ่มได้ตื่นจากภวังค์แห่งห้วงนิทราเห็นเลขาสาวกำลังร้องไห้ เขาก็ไม่ทราบว่าเพราะอะไรกระต่ายน้อยที่อยู่ตรงหน้าถึงร้องไห้

"ฮึก ฉันปลุกอาจารย์ตั้งหลายรอบแล้วนะคะ ใกล้ถึงเวลาแล้วฉันก็เลยมาปลุกกาแฟฉันวางไว้บนโต๊ะนะคะ ฮึก แล้วช่วยปล่อยมือด้วยคะ" ทนายความหนุ่มเพิ่งสังเกตว่าตัวเองนั้นจับข้อมือของเลขาสาวไว้เลยรีบปล่อย และดื่มกาแฟเพื่อแก้เขิล แต่ว่าลางสังหรณ์นี้มันอะไรกันเหมือนจะได้เจอกับลาเรียตอีกครั้ง แต่ทนายความหนุ่มหารู้ไม่ว่าการจะได้เจอกันครั้งนี้อาจจะเป็นการเจอกันครั้งสุดท้ายก็เป็นได้ ทนายความหนุ่มและเลขาสาวเดินออกไปพร้อมกับมิลานลูกศิษย์หนุ่มผู้มากความสามารถ โดยทนายความหนุ่มและเลขามุ่งหน้าไปยังห้องสอบปากคำ ส่วนมิลานไปตามสองครอบครัวที่รออยู่ห้องรับรอง

ห้องรับรอง

ก๊อก ก๊อก แอ๊ดดดด เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่ผู้ช่วยทนายความหนุ่มผมน้ำตาลจะเดินเข้ามา

"อรุณสวัสดิ์ยามเช้าพ่ะย่ะคะจักรพรรดิจักรพรรดินีองค์ชายรัชทายาทและองค์ชายองค์หญิง และครอบครัวดยุกเซเกร์" มิลานผู้ช่วยทนายความหนุ่มกล่าวทักทาย

"กระหม่อมมานำทางพวกท่านไปยังห้องสอบปากคำพ่ะย่ะคะ เชิญตามกระหม่อมมาเลยพ่ะย่ะคะ" มิลานกล่าวถึง และทั้งสองครอบครัวก็เดินตามหลังมิลานไปยังห้องสอบปากคำ ภายในห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่มีโต๊ะยาวพร้อมเก้าอี้อยู่ใจกลางห้อง ทนายความหนุ่มกับเลขาสาวและพยานอีกสองคนได้นั่งที่เก้าอี้พร้อมเตรียมสอบปากคำแล้ว มิลานได้เชิญให้ทั้งสองครอบครัวนั่งลงเตรียมสอบปากคำเด็กน้อยทั้งสาม

"กระหม่อมมีนามว่า คาบัคโรเน่ ดีโน่ เป็นทนายความให้กับคุณหนูและคุณชายครับ ส่วนผู้ที่อยู่ฝั่งขวามือกระหม่อมมีนามว่า มิเชล ฮยอนอา เป็นเลขาของกระหม่อมฝั่งซ้ายมือกระหม่อมมีนามว่า ไบอา มิลาน เป็นผู้ช่วยของกระหม่อมพ่ะย่ะคะ" ทนายความหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าของเด็กน้อยทั้งสามได้แนะนำตัวลูกศิษย์ทั้งสองของเขา

"เมลแนะนำให้ทนายได้รู้จักสิ" เมลคงจะไม่กลัวดีโน่หรอกใช่ไหมนะ ดยุกผู้เป็นพ่อได้แต่คิดในใจ ฉันพยักหน้าให้กับพ่อที่นั่งอยู่ข้าง ๆ 

"สวัสดีคะคุณทนาย หนูชื่อ เซเกร์ เมล ไมเออร์คะ" ฉันพยายามทำให้เป็นเด็กปกติที่สุดแล้วนะว่า แต่คาบัคโรเน่เหรอ เหมือนเคยได้ยินตระกูลนี้มาจากไหนนะ ระ หรือว่าตระกูลนี้มัน...

"แอสทัสแนะนำตัวเองบ้างสิ" แอสเตอร์บอก

แอสทัสก็พยักหน้าตอบรับ

"สวัสดีครับคุณทนายคาบัคโรเน่ ผมชื่อแอสทัส ฟรอเก็ต เดบูเลน ส่วนข้าง ๆ คือน้องสาวของผม ซัลเวีย ฟรอเก็ต เดบูเลน ครับ เธออาจจะสอบปากคำได้ไม่เต็มที่สักเท่าไหร่นะครับ เธอป่วยเพราะราซอยู่" แอสทัสได้แนะนำตัวไปในส่วนของซัลเวียด้วย ทนายความหนุ่มก็ได้พยักหน้าเพื่อเป็นการเริ่มสอบปากคำได้

เป๊าะ! เสียงดีดนิ้วของทนายความหนุ่มทำให้ผ้าม่านทั้งหมดได้ถูกเลื่อนลงมาจนมืดสนิทไฟได้ถูกจุดขึ้น แสงเทียนมาช่วยเพิ่มความสว่างให้ทั่วห้อง

"ผมจะเริ่มจากคุณหนูน้อยเซเกร์ก่อนนะครับ" ทนายความหนุ่มเลื่อนเก้าอี้มาตรงข้างหน้าของฉัน ดวงตาสีน้ำเงินน้ำทะเลช่างเป็นประกายสง่างามอะไรเช่นนี้ เส้นผมสีเงินราวกับเจ้าชายในเทพนิยาย รอยยิ้มที่เป็นกันเอง ทำนองการพูด แต่แววตาน้ำทะเลคู่นั้นกำลังโศกเศร้าอยู่

"ผมอยากให้เล่าตั้งแต่คุณหนูจำความได้ก่อนที่จะถูกขายให้กับกลุ่มค้าทาส---" ทนายความหนุ่มเอ่ยคำถามขึ้นแต่มีชายคนนึงเอ่ยขึ้นมาขัดซะก่อน "เดี๋ยวอาจารย์ดีโน่จะให้เมลล้ำลึกความหลังแบบนั้นทำไม แค่นี้เมลเจ็บปวดมากพอแล้วนะ" คำพูดนั้นคือของมาร์ฟ่าพี่ชายคนโตก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบสงัดอีกครั้ง

"มาร์ฟ่านั่งลงถึงฉันก็จะไม่เห็นด้วยที่ให้ลูกฉันล้ำลึกความหลังที่เจ็บปวดแบบนั้นแต่เพื่อการสอบปากคำในครั้งนี้ถ้าเมลไม่ไหวก็ให้บอกพ่อนะ" คำพูดของเฮร์ฟผู้เป็นพ่อทำให้เมลกล้าที่จะพูดออกมา

"ก่อนที่ท่านแม่จะจากไปท่านแม่เล่าให้หนูฟังว่า ท่านถูกไล่ตามโดยหอคอยมืด หนึ่งในนั้นร่ายมนต์ดำใส่ข้อมือของท่านแม่แล้วหายไปต่อมา ท่านแม่ได้ทราบว่ามนต์ดำชนิดนี้เป็นชนิดกัดกินร่างกาย ทำให้ร่างกายใช้เวทย์มนต์ไม่ถนัด และถ้าเวทย์ชั้นสูงอาจจะเกิดผลกระทบกับเด็กในท้อง ท่านแม่พาหนูมายังทิศเหนือเพื่อเลี่ยงที่จะไม่ไปใกล้จักรวรรดิและโบสถ์ ท่านแม่บอกว่าทั้งสองที่นี้มีเครื่องวัดพลังเวทย์ที่เป็นอันตรายต่อพลังเวทย์ของท่านแม่ พวกเราก็เดินไปเรื่อยค่ำไหนนอนนั้น แล้วห้าปีต่อมาท่านแม่ก็จากไป ส่วนหนูก็ได้เดินหลงไปในย่านสลัมก่อนที่จะเจอแอสทัสและซัลเวียที่ถูกลักพาตัวมา พวกหนูสองคนได้ทำงานรายวันพอมีค่าอาหารเล็กน้อยประทังชีวิต ก่อนที่แฟสเซลจะเรียกกลุ่มซื้อทาสมาจับตัวหนูไป และท่านพ่อก็ไปช่วยออกมา" คุณหนูคนนี้คงจะเจอเรื่องลำบากมาเยอะ

"ขอบคุณคุณหนูเซเกร์มากนะครับที่มาสอบปากคำในวันนี้ ช่วงบ่ายก็ขอฝากด้วยนะครับ ท่านดยุกพาคุณหนูไปพักก่อนได้นะครับ องค์ชายลำดับสองเชิญเล่ามาได้เลยพ่ะย่ะคะ" แอสทัสพยักหน้าตอบ เฮร์ฟผู้เป็นพ่อได้พาเมฟและเมลออกมาพักผ่อนหย่อนใจเพื่อเป็นการคลายเครียดก่อนจะขึ้นศาลในช่วงบ่าย แอสทัสก็เล่าจนหมดว่าไปเจอพวกหอคอยมืดได้ยังไง ทำไมถึงโดนลักพาตัวมา (อ้างอิงจากตอนที่ 4 :ลูก นะค้าบ)

ดีโน่ได้ตั้งใจฟังที่แอสทัสเล่ามาทั้งหมดในห้องต่างพากันตกใจเมื่อแอสทัสเล่าว่าเขากับเมลโดนมาแบบนี้ จูเลียผู้เป็นแม่น้ำตาแทบไหลรินอาบแก้ม เดินเข้ามากอดลูกชายและลูกสาวตัวน้อยของเธอ เธออาจจะไม่ได้เป็นแม่ที่ดี เธออาจจะเป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่อง เธออาจจะเป็นแม่ที่ไม่เหมาะสม แต่เธออยากให้ลูกทั้งสามของเธอรับรู้ไว้ว่าเธอได้มอบความรักอันมากมายให้ลูกทั้งสามของเธอได้รับไว้ว่ากอดความรักจากแม่อย่างเธอจะต้องปกป้องพวกลูกทั้งสามคนของเธอจนกว่าชีวิตจะหาไหม้

"อะแฮ่ม ขอขัดจังหวะความรักของครอบครัวหน่อยนะครับพี่จูเลีย ที่องค์ชายเล่ามาทั้งหมดเราได้ทำการซักพยานคือองค์ชายเรียบร้อยแล้ว พยานทั้งสองที่ผมพามาจะต้องเป็นประโยชน์ในศาลช่วงบ่ายแน่ครับ เอาละการสอบปากคำได้เสร็จสิ้นแล้วครับเชิญพักตามสบายได้เลยครับ แล้วเจอกันช่วงบ่ายครับ" ดีโน่ทนายความหนุ่มได้กล่าวลา

"ดีโน่พี่จะบอกให้นะถ้าจะจีบเธอคนนั้นก็ให้รีบซะนะ อย่าจมปลักอยู่แต่กับลาเรียตเธอทำกับนายไว้เยอะแล้วปล่อยวางซะเถอะ" จูเลียได้กระซิบบอกกับทนายความผู้เป็นน้องชายของเธอ "แต่...พี่ผมยังไม่ทันรู้ใจของตัวเอง" ทนายความหนุ่มถึงเขาจะยึดติดกับลาเรียต อดีตคนรักยังไงแต่ลาเรียตก็ทำกับเขาไว้เยอะเช่นกัน ก่อนที่เธอจะพลัดตกหน้าผา "นายนะมีแม่สาวคนนั้นแล้วนายต้องปกป้องแม่สาวน้อยคนนั้นให้เต็มที่ละ" จูเลียกระซิบบอกกับดีโน่น้องชายของตัวเองก่อนที่จะเดินออกไปพร้อมกับครอบครัว ภายในห้องตอนนี้เหลือลูกศิษย์ทั้งสองของอาจารย์หนุ่มและมาร์ฟ่า

"อาจารย์ดีโน่แน่ใจนะว่าจะจัดการแบบนี้จริง ๆ" มาร์ฟ่าลูกศิษย์ของดีโน่ได้ถามขึ้น

"มาร์ฟ่านายไม่ไปพักหรือไงตอนบ่ายนายก็ต้องขึ้นเป็นพยานให้น้องนายอีกนะ แบบนี้จะไม่เหนื่อยหรือไง" ฮยอนอาศิษย์พี่ของมาร์ฟ่าได้เอ่ยถาม

"ไม่หรอกครับพี่ฮยอน คนที่ทำร้ายเมลฉันจะไม่ปล่อยให้รอดแม้แต่คนเดียว ไม่ว่าจะเป็นยัยหนูตกถังข้าวสารหรือบารอนขยะเปียกอะไรนั่น" ฉันจะไม่ปล่อยไปแน่ มาร์ฟ่ายืนบอกกับฮยอนอาศิษย์พี่ของตน ก่อนที่ทนายความหนุ่มและมิลานผู้ช่วยจะเดินเข้ามาร่วมบทสนทนาก่อนที่ทนายความหนุ่มจะชวนลูกศิษย์ ทั้งสามของเขาไปทานอาหารกลางวันที่ร้านในเมือง มาร์ฟ่าได้ขอตัวออกมาเพราะเขาอยากทานอาหารกับน้องสาวที่น่ารักของเขามากกว่า ส่วนมิลานก็ได้ขอตัวไปทานข้าวกับคู่หมั้นทำให้เหลือแต่ทนายความหนุ่มกับเลขาสาวสองคนเท่านั้น 

"เอ่อ...งั้นเหลือแค่พวกเราสองคน งั้นเราไปทานอาหารกันไหมครับคุณเลขาฮยอนอา" ดีโน่ทนายความหนุ่มได้เอ่ยถามขึ้น เลขาสาวฮยอนอาก็ได้แต่พยักหน้าตอบรับไปเพราะตอนนี้เธอหิวมาก ทั้งสองคนได้นั่งรถม้าไป ร้านอาหารอาเฟร์

ชื่อดังในเมืองหลวง บรรยากาศแออัดไปด้วยผู้คนมากมาย ซึ่งทนายความหนุ่มไม่คอยถูกใจยิ่งนัก เพราะว่าเขาเกลียดความวุ่นวายแบบนี้ซึ่งเลขาสาวนั้นรู้ดีเธออยู่กับอาจารย์มาตั้งแต่เด็กก็พอจะรู้ทันอาจารย์ของเธอบ้างแล้ว เวลาอาจารย์หนุ่มของเธอนั้นเจอสิ่งที่ไม่ชอบคิ้วก็จะขมวดหากัน จะเลี่ยงออกไม่มองนอกหน้าต่าง แต่ครั้งนี้อาจารย์หนุ่มของเธอชวนมาทานอาหารทั้งทีเธอจะปฏิเสธลงได้ยังไงกันละ

"อาจารย์คะเปลี่ยนสถานที่กันไหมคะ เอาเป็นร้านที่ฉันไปทานบ่อย ๆ ก็ได้นะคะ ชื่อร้านว่าอามอเร่คะอร่อยไม่แพ้ร้านในเมืองหลวงแน่นอนคะฉันรับรองได้" ฮยอนอาเลขาสาวได้พูดคุยกับอาจารย์เพราะเธอเห็นว่าวันนี้เมืองหลวงดูวุ่นวายเป็นพิเศษ

"ได้สิครับ เอาร้านอามอเร่ก็ได้ครับ" ในเมื่อคุณรับประกันว่ามันอร่อยก็คงอร่อยไม่แพ้ร้านในเมืองหลวงหรอกครับ ทนายความหนุ่มตอบกลับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน แตกต่างจากเมื่อกี้อย่างลิบลับ ทั้งสองได้ไปร้านอาหารอามอเร่ด้วยกัน ภายในร้านตกแต่งไปด้วยของที่ทำมาจากมือล้วนทั้งผ้าม่าน ผ้าปูโต๊ะ โต๊ะในร้านมีไม่มากพอได้นั่งแปดถึงเก้าคน ผู้ที่ออกมาต้อนรับมีรูปร่างสูงขาว ผมสีทองเปล่งประกายยิ้มให้อย่างเป็นมิตร...แต่กับทำให้ทนายความหนุ่มนั้นตกใจและหญิงสาวที่ออกมาต้อนรับนั่นคือ ลาเรียต คนรักเก่าของเขาที่เขาคิดว่าเธอได้เสียชีวิตไปแล้ว ออกมาพร้อมกับชายวัยกลางคนไว้หนวดเคราใส่ชุดกันเปื้อนพร้อมที่จะทำอาหาร 

"ลาเรียตสองคนนี้เหรอที่จะจัดโซนพิเศษให้" ชายวัยกลางคนถาม

"ใช่คะ ฝากมอริทำอาหารด้วยนะคะ" ลาเรียตตอบกลับไป ส่วนลาเรียตก็นำทนายความหนุ่มและเลขาสาวไปนั่งโซนพิเศษ

คุณลาเรียต (?) น่าจะเป็นคนรักเก่าของอาจารย์นะ ดูจากพฤติกรรมของอาจารย์ที่ตกใจตอนเจอคุณลาเรียตแล้วน่าจะมากกว่ารู้จักกัน ฮยอนอาได้คิดในใจ หลังจากนั้นไม่นานอาหารก็ได้ถูกเสิร์ฟมา มอริเตเนียก็ได้มานั่งด้วย

"สวัสดีอีกรอบครับผม อัลฟอนท์โซ มอริเตเนียเป็นเจ้าของร้านอาหารอามอเร่ครับ" มอริเตเนียยื่นมือจะมาทักทายฮยอนอาแต่ถูกมือของทนายความหนุ่มคว้าเอาไว้

"ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณมอริเตเนีย ผมคาบัคโรเน่ ดีโน่ ครับเป็นอาจารย์ของเธอครับ ฮยอนอาอาจจะไม่สะดวกในการจับมือทักทายแบบนี้นะครับ เพราะว่าเธอเจ็บข้อมือซ้ายอยู่ครับ" น้ำเสียงของทนายความหนุ่มนั่นเย็นชามากขึ้น เป็นสายตาที่มองเป็นมิตรแต่ความจริงแล้ว เป็นสายตาบอกว่า ห้ามมายุ่งกับคนของเขามากกว่า

"สวัสดีคะคุณมอริเตเนีย ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ไม่สะดวกให้จับมือเพราะว่าฉันเจ็บข้อมือซ้ายนะคะ" หึ ดูจากปฏิกิริยาของดีโน่แล้ว เจ้าหมอนี่คงจะชอบฮยอนอาสินะ ลาเรียตคิดในใจ

"มอริคะ ฉันว่าคุณไปทำงานที่ยังไม่เสร็จเถอะคะ เดียวแขกทางนี้ฉันจัดการเอง" ลาเรียตได้แสยะยิ้มหลังจากที่มอริเดินออกไป 

"ฉันขอโทษนะดีโน่ ฉันอยากติดต่อนายมาตลอดแต่ก็หาทางติดต่อไม่ได้สักที หลังจากที่ฉันผลัดตกเขาก็ได้มอริเข้ามาช่วยนี่แหละ และฉันกับมอริก็กำลังจะแต่งงานกันในสัปดาห์หน้าด้วย" มอริเตเนียนะเขาดีกับฉันมากไม่เหมือนนายที่ทำแต่งานไม่เคยถามไถ่ว่าคนรักเป็นยังไง ฉันเลยเลือกที่จะออกมายังไงละ

"ถ้าแต่งงานแล้วคุณลาเรียตก็ต้องไปอยู่ที่อื่นใช่ไหมคะ ถ้าอย่างงั้นฉันก็จะไม่ได้ทานพายชิปปี้อีกแล้วนะสิคะ น่าเสียดายจังเลยคะ พายชิปปี้ออกจะอร่อยแท้ ๆ" ฮยอนอาทำหน้าเศร้าพร้อมกับพูดออกมาราวกับการทานอาหารครั้งสุดท้ายโดยมีสายตามองฮยานอาอย่างน่าเอ็นดูอยู่ข้าง ๆ เธอ ฮุ ฮุ เด็กคนนี้น่ารักจังเหมาะกับดีโน่จอมซ่าด้วย ลาเรียตได้รู้สึกเอ็นดูฮยอนอาอย่างบอกไม่ถูก เธอยิ้มด้วยน่าตาที่เบิกบานน่ารักสดใสราวกับดอกไม้ที่บานในฤดูหนาว ที่จะมีแดดมาส่องเธอในความหนาวตอนนี้เธอได้ยิ้มออกมาอย่างธรรมชาติแล้ว 

"ไม่ต้องเศร้าใจไปหรอกเดี๋ยวฉันจะไปเปิดสาขาที่คริสตัลแอมไพร์ เมืองที่ฉันกับมอริจะไปอาศัยอยู่นะ ถ้าว่างพวกเธอสองคนก็ไปเที่ยวเล่นได้นะ" ลาเรียตยิ้มอย่างสดใส ก่อนที่ทั้งสามคนจะทานอาหารที่เสิร์ฟมาจนเกือบหมด ฮยอนอาเลขาสาวได้ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ จนภายในโต๊ะตอนนี้เหลือแค่ทนายหนุ่มอย่างดีโน่และคนรักเก่าอย่างลาเรียต

"ทำไมทำหน้าตายอย่างนั้นละดีโน่ เมื่อกี้ยังมองแม่สาวน้อยอยู่เลยไม่ใช่เหรอ" ลาเรียตถามขึ้นพร้อมบิดขี้เกียจไปมา เพราะเขารู้นิสัยทนายความหนุ่มดีว่าเขาจะตอบยังไง

"ยุ่ง เธอนั้นแหละไม่มาเคลียร์ทางนี้ให้เสร็จก่อนละ แล้วค่อยไปแต่งงาน" คำพูดของดีโน่ทนายความหนุ่มเย็นชาขึ้น

"นายก็รู้ว่าพ่อแม่ฉันตายในอุบัติเหตุจากม้าเมื่อหลายปีก่อน ถ้าฉันไม่ไปภูเขาซีโมนผลัดตกหน้าผาไม่เจอมอริเตเนียปานนี้ฉันว่าคงไม่รอดแล้วละ อีกอย่างพ่อแม่นายที่เคยเป็นถึงจักรพรรดิปกครองประเทศคงไม่ถูกใจเด็กบ้านนอกแบบฉันด้วย พี่สาวนายที่ตอนนี้เป็นจักรพรรดินีคงไม่ถูกใจฉันสักเท่าไหร่ ฉันเลยเลือกที่จะออกมาไง และอีกอย่างอยู่กับมอริเขาก็ทำให้ฉันมีความสุขได้อย่างชัดเจน นายเองก็เลือกทางที่นายเดินแล้วด้วยฉันรู้ว่าแม่สาวน้อยคนนั้นนายต้องชนะใจเธอได้แน่เอาล่ะ มื้อนี้ฉันเลี้ยงเองถือว่าลาส่งฉันแล้วกันนะ" ลาเรียตได้เดินไปหามอริที่ทำงานอยู่หลังครัวและพูดคุยกับเขาผู้ที่จะมาเป็นสามีของเธอในอีกไม่กี่สัปดาห์ หลังจากที่ฮยอนอากลับมาจากห้องน้ำทนายความหนุ่มก็ได้จับมือเธอออกไปจากร้าน โดยมีสายตาของมอริและลาเรียตดูอยู่อย่างมีความสุข ทั้งสองคนได้เทเลพอร์ไปที่พระราชวังเพื่อเตรียมตัวว่าความตอนบ่ายพร้อมประชุมประจำปีอีกด้วย

...สวัสดีผู้อ่านทุกท่านวันนี้เจ้หงส์จะมาแนะนำตัวละครใหม่กันฮะ พร้อมแล้ว let’s go!...

มหาดเล็กฝ่านทนายความคาบัคโรเน่ ดีโน่ : ชายหนุ่มร่างสูงผมสีเงินยาว ดวงตาสีน้ำเงินน้ำทะเล เพศชายระบุอายุ ทนายความหนุ่มผู้ที่ได้ฉายาว่า

“สีเงินแห่งจักรวรรดิ” โดยนิสัยส่วนตัวของเขาแล้วเขามักจะไม่ชอบความวุ่นวาย เสียงดัง แต่เขามักจะชอบเรื่องสนุก ๆ และเป็นคนห่วงของมากเลยทีเดียว

เลขามิเชล ฮยอนอา : เลขาสาวร่างเล็กดวงตาสีน้ำตาลสดใส ฮยอนอานั้นถูกดีโน่เก็บมาเลี้ยงดูและคอยสอนเวทย์มนต์ต่าง ๆ ให้กับเธอด้วยเช่นกัน

ผู้ช่วยไบอา มิลาน : ผู้ช่วยหนุ่มสุดหล่อคอยออกไปหาข้อมูลนอกสถานที่กับอาจารย์และพี่ฮยอนอาอยู่เสมอ คู่หมั้นของมิลานคือ ซอง มุนบิน น้องชายของฮยอนอานั้นเอง!

หัวหน้าอัศวินตระกูลเซเกร์ภายในเมืองหลวง : ซอง มุนบิน คู่หมั้นของไบอา มิลาน ชายร่างสูงมีความเป็นผู้นําสูง รักษากฎระเบียบของตระกูลเซเกร์เป็นอย่างดี

...อะ ๆ มีคู่จิ้นคู่วายด้วยนะคะคุมผู้ชม!...

...มิลานกับมุนบินแอบคบกันนะคะ เนื่องจากจักรวรรดิตอนนี้ยังไม่มีกฎหมายรองรับความสัมพันธ์ของพวกเขา ฮือออ ! ...

...ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะค้าบ...

...สปอย : ...

“เจ้าบังอาจนัก!! เจ้ากำลังจะบอกว่าเราไปเก็บลูกของเรามาจากข้างทางอย่างงั้นหรือเจ้าสิ้นคิดซะจริงข้าเลือกคนแบบเจ้ามาเป็นขุนนางได้อย่างไรกัน”

...ไว้แค่นี้ก่อนละกัน ...

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!