เมื่อฉันดัน 'ย้อนเวลา' กลับมาเป็นลูกพ่อ
"คุณฟ้าช่วยคีย์ข้อมูลที่จะต้องนำไปประชุมทีครับ เอ่อ..ขอโทษที่มอบหมายงานที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหน้าที่โดยตรง แต่ตอนนี้ทุกแผนกวุ่นวายกันไปหมดแล้วจริงๆ " น้ำเสียงร้อนรนของหัวหน้าสิ้นสุดลง พร้อมกับภาระหน้าที่ที่เพิ่มขึ้นมา ฉันยิ้มอ่อนให้ชายหนุ่มผู้เป็นถึงหัวหน้า พลางรับปากว่าจะทำให้เสร็จทันก่อนเที่ยงวันเพราะมีประชุมในรอบบ่าย มันเป็นประชุมใหญ่ที่พนักงานปรายแถวอย่างฉันไม่เคยได้มีส่วนร่วม แต่ก็นะ ตอนนี้ฉันค่อนข้างพอใจกับงานเดิมๆ ที่ทำ ฉันชื่อฟ้าใหม่.. ฉันรู้น่าว่ามันฟังดูเป็นชื่อที่โหลสุดๆ แต่ก็ไม่น่าจะโหลเท่าพลอยหรอกฮ่าๆๆ (ขอโทษคนชื่อพลอยด้วยนะคะ)ตอนนี้ฉันอายุยี่สิบเจ็ด ยังโสดยังซิงและไม่เคยมีแฟนเพราะไปตาบอดหลงรักคนๆ หนึ่งเป็นระยะเวลายาวนานกว่าสิบห้าปี
สิบห้าปีเลยนะเฮ้ย.. แต่ก็ยังดีกว่าสิบหกปีแหละว่ะ.. ฮื่อปลอบใจตัวเอง เพราะอีกฝ่ายจำเป็นต้องไปทำงานที่ต่างประเทศ เราสองคนที่อยู่ในสถานะเพื่อนสนิ๊ทสนิทเลยห่างหายกันไป ตอนนี้อิตาบ้าที่ขโมยหัวใจฉันไปก็หายไปสองปีกว่าๆ แล้ว น่าแปลกที่ไม่มีการติดต่อกันเลยราวกับอิตานั่นก็รอเวลานี้มานาน ส่วนฉันที่พยายามจะตัดใจใช้สถานการณ์นี้เป็นโอกาส แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังไม่ชอบใครใหม่ โดยเฉพาะกับพวกผู้ชายในออฟฟิศนะ ฉันน่ะโคตรจะอี๋เลย บางทีก็แอบคิดว่าพวกผู้ชายเองก็มองว่าฉันอี๋เหมือนกันหรือเปล่า จะว่าไงดีล่ะ.. ฉันไม่ได้สวยแบบบิ้วตี้สแตนดาร์ด หรือมีใบหน้าตามค่านิยมของคนส่วนใหญ่ แต่ฉันก็ชอบหน้าตาของฉันนะ คนอื่นไม่ชอบก็เรื่องของเขา ที่อี๋น่ะฉันหมายถึงนิสัยต่างหาก
คิดได้ดังนั้นฉันก็หยุดมือที่คีย์งานยิกๆ ก่อนจะหยิบกระจกในลิ้นชักโต๊ะขึ้นมาส่อง พอเห็นว่าลิปสติกจางลงไปเยอะก็แต้มใหม่อย่างตั้งใจ แม้จะแอบเห็นสายตาน่าหมั่นไส้ที่เหลือบมองมาทางฉันก็ตาม ผมของฉันเป็นสีดำยาวประมาณไหล่ มันถูกผูกเป็นหางม้าทรงสูง เข้ากันกับชุดพนักงานออฟฟิศสีฟ้าอ่อนที่ใส่อยู่ทุกวัน บางคนสงสัยว่าทำไมฉันไม่เปลี่ยนสีเสื้อบ้าง ฉันตอบไปขำๆ ว่ามีตัวเดียวทั้งบ้าน แต่จริงๆ แล้วแค่อยากประหยัดพลังงานสมองในการเลือกเสื้อผ้าในแต่ละเช้า เพราะงั้นเสื้อสำหรับใส่ทำงานของฉันจึงมีแต่สีฟ้าอ่อนทั้งตู้ หรือพูดง่ายๆ ก็คือฉันขี้เกียจจะแต่งตัวนั่นแหละ หลังจากทำงานโดยไม่สนเวลา นาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ไม่ให้ฉันลืมเวลาเลิกงานก็ดังขึ้น ฉันกดปิดมันและเก็บข้าวของบนโต๊ะก่อนจะลุกขึ้นทันที
ได้เวลาไปทำงานพิเศษแล้ว
ชีวิตฉันไม่ได้มีอะไรหวือหวาเลยสักนิด เพราะตัวคนเดียว ไม่มีครอบครัว ไม่มีเพื่อน ไม่มีแฟน สิ่งเดียวที่ช่วยคลายเหงาได้คือการทำงาน ฉันมีสองงานในวันปกติ และหนึ่งงานในวันหยุดสุดสัปดาห์ เงินที่ได้มาก็เก็บไว้เป็นค่าเช่าบ้านพักคนชรา น่าเศร้าชะมัดที่ฉันไม่รู้อนาคตแท้ๆ แต่มีเซนส์ว่าคงไปไม่ได้ไกลเกินที่นั่น อย่างน้อยๆ ที่นั่นก็น่าจะมีคนที่แก่พอๆ กันคอยโอบอุ้มกันและกันล่ะนะ เอาเป็นว่านอกจากการทำงานชีวิตฉันก็แทบไม่มีอะไรอีก แต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่เคยมีช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นเลยหรอกนะ เพราะแม้ชีวิตวัยเด็กของฉันจะฟังดูน่าหดหู่ขนาดไหน แต่พอโตได้ประมาณหนึ่งอิตาบ้านั่นก็เข้ามาในชีวิต ราวกับโชคชะตานำพาเขามาให้ฉันรู้จักที่จะมีความสุขบ้าง เพราะงั้นเมื่อนึกย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้นรอยยิ้มจึงปรากฎขึ้นมาบนใบหน้าทุกครั้ง ทว่าเมื่อปล่อยให้ความทรงจำเหล่านั้นผ่านไปสักพัก ความหมองหม่นก็มักจะเข้ามาแทนที่เสมอ... นี่ก็ผ่านมาสองปีแล้วนะ ฉันเศร้าใจนักเมื่อรู้ว่าไม่มีวันย้อมกลับไปในช่วงเวลานั้นได้อีก
"พี่ฟ้าลูกค้าฝั่งนั้นเรียกน่ะค่ะ ถือธงสีฟ้าระบุสาวเมดที่ต้องการชัดเจนขนาดนั้น" ฉันมองตามรุ่นน้องที่อยู่ในชุดเมดน่ารักเหมือนกัน จำที่ฉันบอกได้ไหมว่าฉันหน้าตาไม่ค่อยดีน่ะ แต่น่าแปลกนะที่เมื่อมาสมัครงานพิเศษที่นี่เล่นๆ ผู้จัดการก็รับฉันเข้าทำงานทันที สงสัยจะขาดคนมากๆ ฉันยกยิ้มอ่อนหวานพลางเดินไปหากลุ่มลูกค้าชายที่อยู่ในชุดนักเรียน ม.ปลาย พวกเด็กๆ นั่งหน้าแดงในขณะที่ฉันย้ำอีกครั้ง
"นายท่านต้องพูดว่า 'เนียนเนี๊ยน' เพื่อเรียกกันสิคะ ไหนลองพูดให้ดิฉันได้ยินหน่อย"
"น..เนียนเนี๊ยน?" เด็กหนุ่มหนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นอย่างเอียงอาย ทว่าเรียกเสียงหัวเราะจากกลุ่มเพื่อนได้เป็นอย่างดี ฉันกลั้นขำแล้วรับออเดอร์มาด้วยท่าทางสดใสร่าเริง ทั้งบทพูดและการแสดงออกอาจทำให้รู้สึกกระดากปากไปบ้างแต่เพราะมันทำแล้วได้เงินและสนุกดี ฉันจึงไม่เกลียดงานนี้เลยแม้แต่น้อย ระหว่างที่กำลังจะหันหลังกลับออกมา ข้อมือก็ถูกรั้งโดยหนึ่งในนั้น เรียกกันดีๆ ก็ได้ทำงานต้องดึงแขนด้วยเนี่ย
"ข..ขอโทษครับ คือผมอยากรู้ว่าพี่สาวพอจะให้เบอร์โทรหรือไอบี้ได้หรือเปล่า"
ไม่ทันคิด ฉันก็ปฏิเสธไปทันทีพร้อมกับการบริการพิเศษอีกเล็กๆ น้อยๆ เพื่อไม่ได้ลูกค้ารู้สึกขุ่นเคืองใจ ฉันขยับตัวเต้นโดยให้ทั้งกลุ่มร้องเพลงคนอื่นๆ ในร้านให้ความสนใจกันเป็นปกติ แต่ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองหรือเปล่าว่าเด็กนี่มันไม่จอยเลยสักนิด ดวงตาคู่นั้นคล้ายจะขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อยด้วยซ้ำ กระทั่งเลิกงานฉันก็ตรงกลับที่พักทันที เพราะต้องการประหยัดเงิน ฉันจึงเลือกที่จะไม่เช่าคอนโดและมาอยู่อพาร์ทเม้นที่ขนาดความกว้างใกล้เคียงกันแต่จ่ายถูกกว่า เดินเข้าไปตรงประตูทางเดิน สิ่งแรกที่เจอก็คือต้นไม้ตกแต่งห้องที่บางครั้งมันก็เริ่มจะเยอะเกินพอดี อีกนิดก็อาจจะเป็นป่าอเมซอนได้แล้ว แต่ก็นะ ฉันชอบที่จะปลูกมันและตกแต่งระเบียงด้วยดอกไม้
ฉันนั่งลงบนโซฟาและกดเปิดแอพพลิเคชั่นไอบี้ที่มีไว้ติดต่อสื่อสารกันในยุคนี้ รายชื่อเพิ่มเพื่อนรายชื่อแรกของฉันก็คือหมดนั่น ติดต่อกันครั้งสุดท้ายเมื่อสองปีก่อนทำให้รายชื่อในช่องทางติดต่อของเขาเป็นรายชื่อที่อยู่ลึกลงไปเป็นรายชื่อสุดท้าย ก็ดี..ฉันจะได้ไม่เห็นหรือรับรู้ว่าเขากำลังใช้งานมันอยู่หรือเปล่า อีกอย่างเราอยู่คนละทวีปโลก ป่านนี้เขาคงจะกำลังใช้ชีวิตที่สนุกสุดเหวี่ยงอยู่ที่ไหนสักทีล่ะมั้ง เอาจริงๆ ฉันเองก็เคยมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในตอนที่มองเงินในบัญชี ว่าอยากจะบินไปเจอหมอนั่นที่นั่นสักครั้ง... ฉันรู้ว่ามันฟังดูน่าสมเพชที่คิดถึงอิตาบ้านั่นอยู่ฝ่ายเดียวหนักขนาดนี้ อาจเพราะฉันอยู่คนเดียวโดยที่ไม่มีเขานานเกินไปแล้ว ฉันเอนตัวลงบนโซฟาอย่างหมดเรี่ยวแรง เพราะงี้ไงฉันถึงไม่อยากหยุดทำงาน เพราะเมื่อฉันหยุด ฉันจะรู้ว่าจริงๆ แล้วหัวใจข้างในของฉันมันเปล่าเปลี่ยวขนาดไหน
ฉันควรจะเลี้ยงแมวหรือไม่ก็หมาอย่างที่ถูกแนะนำมา..
ขณะที่เรียวนิ้วเลื่อนหน้าจอในแอพไอบี้ไปเรื่อยๆ ค่อยๆ เลื่อนลงไปเรื่อยๆ กระทั้งรู้สึกตัวอีกทีก็กดเข้าไปในช่องแชทนั้นแล้ว ฉันเด้งตัวลุกขึ้นทันทีขณะที่ใบหน้ายังจ้องลงไปยังบทสนทนาของเราสองคน หยาดน้ำตาไหลลงแอบแก้มอย่างน่าสมเพช
ทว่า..
วินาทีถัดมา..
น้ำตาก็หยดไปลงหน้าจอบนปุ่มกดโทรออก
ไม่นานเกินรอ ฉันก็ได้ยินเสียงของคนที่ได้แต่ฝันหามาตลอดสองปี
(...ฮัลโหล)
เสียงทุ้มนุ่มของเขาทำให้หัวใจสั่นไหวอย่างรุนแรง เรียวนิ้วมือสั่งให้ฉันกดวางสายเขาทิ้งแต่ยามนี้กลับทำได้เพียงสะอื้นไห้ออกมา
(ยัยฟ้าเกิดอะไรขึ้น?)
น้ำเสียงที่ฟังดูร้อนรนอยู่เล็กน้อยไม่ทำให้ฉันอยากจะเอ่ยตอบ ฉับพลันเสียงออดหน้าห้องที่ดังติดๆ กันก็เรียกความสนใจให้ฉันหันไปมอง ก่อนจะเดินไปเปิดประตูโดยที่คนปลายสายยังแสดงความกังวลใจออกมาผ่านทางน้ำเสียง นัยน์ตาพลันกระตุกวูบเมื่อสัมผัสปลายแหลมและเย็นยะเยือกปักลงมาตรงกลางหน้าอก
"ขอช่องทางติดต่อแค่นี้ไม่ได้ก็ตายไปซะ! ใช่แล้ว ตายซะ! ตาย!"
บัดซบชะมัดเลย อุตส่าห์จะได้คุยกับหมอนั้นทั้งทีแต่เสือกเป็นตอนที่มีมีดปักอยู่กลางอกซะได้ ถ้าจำไม่ผิด ไอ้เด็กโรคจิตที่ทำร้ายฉันคือเด็กคนเดียวกันกับที่นั่งอยู่ในกลุ่มเด็กม.ปลาย ให้มันได้อย่างนี้สิ ฉันล้มตัวลงแม้มือจะยังกำมือถือไว้แน่น ยามนี้หูมันอื้อไปหมดขณะที่ความรู้สึกหนาวชาแทรกไปทั่วทั้งกาย แผนที่วางไว้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ในบ้านพักคนชราจบลงแล้ว ดีนะที่ไม่เลี้ยงตัวอะไรไว้ ไม่งั้นฉันคงรู้สึกผิดแย่ที่ทิ้งมันไว้ ถ้ารู้ว่าจะตายแบบนี้.. อย่างน้อยๆ ฉันก็น่าจะสารภาพรักไปให้รู้แล้วรู้รอด มานอนจมกองเลือดและเสียดายอยู่อย่างนี้มันน่าเจ็บใจชะมัด พี่ๆ กับพ่อเองจะรู้ข่าวเรื่องฉันไหมนะ.. คงไม่รู้หรอก ขนาดตอนที่ยังใช้นานสกุลเดียวกันคนพวกนั้นยังไม่ใส่ใจฉันเลย จะว่าไป.. ทำไมหมอนั้นถึงได้ทิ้งฉันไปในวันที่ฉันไม่เหลือใครด้วยนะ
ความมืดค่อยๆ สะท้อนเข้ามาในแววตา
ฉัน.. ฟ้าใหม่
ตายอย่างน่าอนาถในวัยเพียง 27 ปี
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 19
Comments