เช้าวันรุ่งขึ้น หลินรั่วอี๋ตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน แม้ว่าเธอจะพยายามทำให้ตัวเองรู้สึกตื่นเต้น แต่ความกดดันจากโอกาสใหม่ที่กำลังจะมาถึงกลับทำให้เธอรู้สึกตึงเครียดขึ้น
เธอเตรียมตัวให้พร้อม โดยเลือกใส่ชุดเรียบง่าย แต่ก็ดูดีและสุภาพ เธอรู้ดีว่าวันนี้เธอจะต้องพบกับความท้าทายที่สำคัญ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอได้ตลอดไป
เมื่อถึงเวลานัดหมาย รถยนต์หรูของชูกรุ๊ปมาจอดที่หน้าบ้านของเธอ พนักงานขับรถเปิดประตูให้เธอเข้าไปในรถอย่างสุภาพ และเธอก็รู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมาที่เธอเมื่อเธอเข้าสู่รถ ทั้งๆ ที่เธอเคยคิดว่าเธอจะไม่รู้สึกอึดอัดในสถานการณ์เช่นนี้ แต่วันนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น
ในระหว่างการเดินทาง หลินรั่วอี๋พยายามทำให้ตัวเองรู้สึกผ่อนคลาย แต่ในใจกลับเต้นแรงยิ่งขึ้นเมื่อรถเข้าใกล้ชูกรุ๊ป เธอนึกถึงโครงการที่ชูหลิงเซวียนได้พูดถึง เมื่อคิดถึงมัน น้ำตาแห่งความตื่นเต้นก็แทบจะเปล่งออกมา
เมื่อถึงบริษัท เธอได้รับการต้อนรับจากพนักงานเหมือนครั้งที่แล้ว แต่ในวันนี้ความรู้สึกของเธอแตกต่างออกไป ราวกับว่าทุกสายตาจับจ้องมาที่เธออย่างละเอียด
“คุณหลิน ประธานรอคุณอยู่ที่ห้องประชุมค่ะ” พนักงานพูดอย่างสุภาพ และพาเธอไปยังห้องประชุมที่กว้างขวาง
ภายในห้องประชุม หลินรั่วอี๋เห็นชูหลิงเซวียนนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ ท่าทางของเขายังคงเยือกเย็น แต่ดวงตาของเขากลับฉายแสงที่แตกต่างออกไป ราวกับว่าเขากำลังรอคอยการมาถึงของเธอ
“มานั่งตรงนี้” เขาพูด พร้อมกับชี้ไปที่เก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามเขา
หลินรั่วอี๋นั่งลงข้างๆ เขา ในใจเธอยังรู้สึกประหม่า แต่เธอก็พยายามที่จะตั้งสติ
“วันนี้เราจะพูดคุยเกี่ยวกับรายละเอียดของโปรเจกต์” ชูหลิงเซวียนกล่าวเสียงเรียบ “เราได้กำหนดวันและสถานที่สำหรับการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมแล้ว”
หลินรั่วอี๋ตั้งใจฟัง เขาเริ่มอธิบายเกี่ยวกับโครงการที่จะจัดขึ้นในต่างประเทศ ซึ่งจะมีนักดนตรีและศิลปินจากหลากหลายประเทศเข้าร่วม เธอรู้สึกทึ่งกับขอบเขตและความสำคัญของโปรเจกต์นี้
“คุณหลิน คุณจะเป็นผู้ประสานงานหลักสำหรับการแลกเปลี่ยนทางดนตรีนี้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นี่ไม่ใช่แค่การแสดงดนตรี แต่ยังเป็นโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์กับศิลปินจากทั่วโลก”
คำพูดของเขาทำให้หลินรั่วอี๋รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบอยู่ในมือของเธอ และความกดดันที่มากขึ้นก็ทำให้หัวใจของเธอเต้นรัว แต่เธอก็รู้ว่าความรับผิดชอบนี้มีความสำคัญมาก
“ฉันจะทำให้ดีที่สุดค่ะ” เธอตอบด้วยเสียงที่มั่นใจ แม้ว่าภายในใจจะเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ
“ดีมาก” ชูหลิงเซวียนตอบกลับ พร้อมกับยิ้มเล็กน้อย ความเยือกเย็นในสายตาของเขาเริ่มลดลง “เราจะเริ่มทำงานกันตั้งแต่วันนี้เลย”
หลังจากการประชุมที่เข้มข้น หลินรั่วอี๋รู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของโลกใหม่ที่แตกต่างออกไป ในขณะที่เธอเริ่มต้นทำงานอย่างจริงจัง ชูหลิงเซวียนก็มอบหมายงานให้เธออย่างชัดเจน ทำให้เธอเริ่มรู้สึกถึงความสำคัญของบทบาทที่เธอต้องทำ
แต่ระหว่างที่ทำงานนั้น หลินรั่วอี๋ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความคิดเกี่ยวกับชูหลิงเซวียน เขายังคงมีความลึกลับที่น่าสนใจ และทุกการกระทำของเขาทำให้เธอรู้สึกอยากทำความเข้าใจเขาให้มากขึ้น
“ท่านประธานคะ” หลินรั่วอี๋ตัดสินใจถามหลังจากการประชุมเสร็จสิ้น “ท่านมีเหตุผลอะไรที่ต้องการทำโปรเจกต์นี้เป็นพิเศษหรือเปล่าคะ?”
ชูหลิงเซวียนหยุดคิดไปครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบ “เป็นโอกาสในการแสดงให้คนอื่นเห็นถึงความสำคัญของดนตรีและวัฒนธรรมครับ” เขาหันมามองเธอ ดวงตาของเขาส่องแสงออกมาด้วยความจริงจัง “และอีกอย่าง… ผมเชื่อว่าดนตรีสามารถเชื่อมโยงผู้คนได้”
คำพูดของเขาทำให้หลินรั่วอี๋รู้สึกตื่นเต้น เธอเริ่มเห็นแสงสว่างในใจว่าโปรเจกต์นี้มีความหมายมากกว่าที่เธอคิด มันอาจเป็นวิธีการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนจากวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน
ระหว่างการทำงาน หลินรั่วอี๋ได้มีโอกาสพบปะกับนักดนตรีและศิลปินต่างชาติหลายคน ซึ่งเธอรู้สึกยินดีและตื่นเต้นที่ได้เรียนรู้จากพวกเขา แต่ในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกถึงความกดดันในการต้องทำให้ทุกอย่างออกมาสมบูรณ์แบบ
“ทำไมฉันถึงต้องกลัว?” หลินรั่วอี๋คิดในใจ ขณะที่เธอเริ่มฝึกซ้อมบทเพลงที่จะใช้ในโปรเจกต์ “นี่คือโอกาสของฉัน ฉันจะไม่ปล่อยให้ความกลัวมาหยุดฉัน”
และในทุกๆ วัน เมื่อเธอฝึกซ้อมและทำงานหนักขึ้นเรื่อย ๆ เธอเริ่มเห็นว่าไม่เพียงแต่ความสามารถด้านดนตรีของเธอเท่านั้นที่ได้รับการพัฒนา แต่ความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งใหม่ๆ ก็เติบโตขึ้นตามไปด้วย
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อโปรเจกต์ใกล้เข้ามา หลินรั่วอี๋เริ่มรู้สึกถึงความสำเร็จในงานที่เธอทำ ถึงแม้ว่าเธอจะยังมีความกังวลอยู่บ้าง แต่ความมั่นใจในตัวเองก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น
และในขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับชูหลิงเซวียนก็ดูเหมือนจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป โดยที่เธอสังเกตเห็นถึงความอบอุ่นในสายตาของเขาเมื่อมองมายังเธอ แต่เธอยังไม่สามารถเข้าใจถึงความรู้สึกที่แท้จริงของเขาได้
หลินรั่วอี๋รู้ดีว่าเธอต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายนี้ด้วยความเข้มแข็ง และด้วยความช่วยเหลือจากชูหลิงเซวียน เธอรู้สึกว่าตัวเองเริ่มก้าวเข้าสู่โลกใหม่ที่เต็มไปด้วยความเป็นไปได้และความฝันที่กำลังจะกลายเป็นจริง
ในขณะที่การเตรียมงานดำเนินไปอย่างเข้มข้น หลินรั่วอี๋ก็เริ่มรู้จักกับทีมงานของโปรเจกต์นี้มากขึ้น โดยเฉพาะนักดนตรีจากต่างประเทศที่เธอได้มีโอกาสทำความรู้จักและทำงานร่วมกัน สิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นและกระตือรือร้นมากขึ้นในการทำงาน
วันหนึ่ง ขณะที่เธอเข้าร่วมการประชุมทีม หลินรั่วอี๋นั่งอยู่ข้างๆ นักเปียโนจากเยอรมนี ชื่อว่าไลล่า เขามีสไตล์การเล่นที่เป็นเอกลักษณ์และมักจะแบ่งปันแนวคิดทางดนตรีที่แปลกใหม่กับเธอ
“เราต้องผสมผสานเสียงดนตรีให้เข้ากันนะ” ไลล่าพูดขณะที่เขาลองเล่นเมโลดี้ที่เธอได้แต่งขึ้น “ดนตรีที่ดีมาจากความร่วมมือและความเข้าใจซึ่งกันและกัน”
หลินรั่วอี๋รู้สึกได้รับแรงบันดาลใจจากคำพูดของเขา และเธอก็พยายามที่จะเปิดใจรับความคิดเห็นของเพื่อนร่วมงานทุกคน ไม่เพียงแต่เพื่อพัฒนาทักษะทางดนตรีของตัวเอง แต่ยังเพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณค่าให้กับโปรเจกต์นี้
ในช่วงเวลาที่พวกเขาฝึกซ้อมกัน ชูหลิงเซวียนก็จะเข้ามาสังเกตการณ์บ่อยๆ เขาไม่เพียงแต่เป็นผู้บริหารโปรเจกต์ แต่ยังทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำปรึกษาที่สำคัญ ช่วยชี้แนะในทุก ๆ ขั้นตอน
“ฟังนะ หลินรั่วอี๋” เขาพูดขณะยืนมองการซ้อม “สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสื่อสารระหว่างดนตรี อย่ากลัวที่จะลองสิ่งใหม่ๆ”
ในขณะนั้น หลินรั่วอี๋รู้สึกว่าคำแนะนำของเขามีความหมายมากกว่าแค่เรื่องดนตรี มันเป็นการกระตุ้นให้เธอได้ค้นพบความสามารถในตัวเอง และเธอรู้สึกขอบคุณที่เขาเชื่อมั่นในตัวเธอ
“ขอบคุณค่ะ” หลินรั่วอี๋ตอบกลับ พร้อมกับรู้สึกถึงความอบอุ่นในหัวใจ
แม้ว่าเธอจะทำงานร่วมกับทีมได้อย่างดี แต่ความรู้สึกที่เธอมีต่อชูหลิงเซวียนกลับยังคงเป็นปริศนา เขามีเสน่ห์ที่ทำให้เธอรู้สึกดึงดูด แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ทำให้เธอรู้สึกกลัวเพราะเขามักจะมีท่าทีที่เย็นชาและเป็นทางการ
ในคืนหนึ่ง ขณะที่เธอทำงานอย่างหนักอยู่ในสตูดิโอ เธอได้รับข้อความจากชูหลิงเซวียน “จะไปที่ร้านกาแฟใกล้ๆ มั้ย? ผมอยากพูดคุยเกี่ยวกับแนวทางในการทำงานของคุณ”
หัวใจของหลินรั่วอี๋เต้นแรงอีกครั้ง เธอไม่แน่ใจว่าควรจะตอบอย่างไร แต่ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจตอบตกลง
เมื่อถึงร้านกาแฟ เธอพบว่าชูหลิงเซวียนนั่งอยู่ที่มุมเงียบ ๆ ของร้าน เขาดูมีสมาธิและสงบมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นในที่ทำงาน
“นั่งเถอะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลงเมื่อเห็นเธอเข้ามา
หลินรั่วอี๋นั่งลงข้างๆ และสั่งเครื่องดื่มด้วยความประหม่า
“คุณทำงานได้ดีมากในช่วงนี้” เขาเริ่มพูด “แต่ผมรู้สึกว่าคุณยังมีอะไรที่คุณกลัวอยู่”
“กลัว?” หลินรั่วอี๋ถามด้วยความงุนงง “ฉันไม่กลัวนะคะ”
“ทุกคนมีความกลัวในตัวเอง” เขาพูดอย่างมั่นใจ “คุณต้องกล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับมัน”
หลินรั่วอี๋นิ่งไปครู่หนึ่ง เธอรู้สึกเหมือนว่าชูหลิงเซวียนเห็นอะไรบางอย่างในตัวเธอที่เธอไม่สามารถมองเห็นได้ เขากำลังพูดถึงความไม่มั่นใจในตัวเองที่ยังคงอยู่ในใจเธอ และมันทำให้เธอรู้สึกว่านี่คือการเปิดเผยที่ไม่คาดคิด
“คุณรู้ไหม… ฉันเคยกลัวที่จะต้องขึ้นแสดงต่อหน้าคนเยอะๆ” หลินรั่วอี๋ยอมรับในที่สุด “มันทำให้ฉันรู้สึกอ่อนแอ”
ชูหลิงเซวียนยิ้มเล็กน้อย “แต่คุณก็ยังทำมันอยู่ใช่ไหม? นั่นแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญในตัวคุณ”
คำพูดนี้ทำให้หลินรั่วอี๋รู้สึกดีขึ้นในทันที เธอรู้ว่าความกลัวเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่การที่เธอสามารถเผชิญหน้ากับมันได้ก็ถือว่าเป็นชัยชนะอย่างหนึ่ง
“ขอบคุณค่ะ ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุด” เธอพูดด้วยความมุ่งมั่น
ขณะที่การสนทนากำลังดำเนินไป ชูหลิงเซวียนเริ่มเปิดใจให้เธอเห็นถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา เขาแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางในวงการดนตรี ความยากลำบากที่เขาเคยเผชิญ และความหลงใหลที่เขามีต่อดนตรี
หลินรั่วอี๋รู้สึกเหมือนว่าเขาไม่ได้เป็นแค่ผู้บริหาร แต่เป็นคนที่มีความฝันและแรงผลักดันเช่นเดียวกับเธอ
“ดนตรีคือชีวิตของผม” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “และผมเชื่อว่ามันสามารถทำให้ผู้คนเชื่อมโยงกันได้”
ในขณะนั้น ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไป ความกดดันและความเครียดที่พวกเขาร่วมกันเผชิญทำให้พวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้น
เมื่อค่ำคืนเริ่มล่วงเลย หลินรั่วอี๋รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในตัวเอง เธอเริ่มตระหนักว่าเธอไม่เพียงแต่ทำงานเพื่อสร้างสรรค์ผลงาน แต่ยังเรียนรู้เกี่ยวกับความเข้มแข็งและความสามารถในตัวเอง
ในขณะที่เธอและชูหลิงเซวียนยิ้มให้กัน พวกเขารู้ว่าการเดินทางนี้ยังไม่สิ้นสุด และในอนาคตยังมีความท้าทายและโอกาสรออยู่ข้างหน้า
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 10
Comments