หลังจากที่เดินทางมาสี่วันนับจากวันที่ออกจากโรงเตี๊ยม หากนับตั้งแต่เริ่มเดินทางก็จะเป็นวันที่เก้าของไดอิจิ ป่ารอบ ๆ ยังคงเป็นหิมะขาวโพลน แต่พันธุ์ไม้รอบ ๆ เริ่มเปลี่ยนไป ต้นสนเริ่มเตี้ยและพบได้เบาบางลง ต้นโอ๊กเริ่มเห็นได้มากขึ้นและโตอยู่ชิดติดกัน พ้นเขตต้นสนหมื่นปีของฟุยุมิแล้ว แสดงว่านี่จะเป็นนอกอาณาเขตของแคว้นหลักและเข้าสู่เขตหัวเมืองชั้นนอกของฟุยุมิ สภาพอากาศ ณ ตอนนั้นขมุกขมัว หมอกหนาทึบ เมฆปกคลุมท้องฟ้า ทำให้แม้จะเป็นตอนเที่ยงวันก็ดูเหมือนหัวค่ำเสียมากกว่า
ไดอิจิมารุ : “เที่ยงแล้ว กินอะไรสักหน่อยไหม?”
ไดอิจิเดินไปข้าง ๆ ลำธารแช่แข็ง ชักดาบของชายชราออกมาและตั้งท่าเตรียมแทงปลาใต้ผืนน้ำแข็ง
โกโก้ : “เจ้าหน้ากาก…”
ไดอิจิมารุ : “อะไร ?”
โกโก้ : "ไม่อยากกินปลา..."
ไดอิจิมารุ : "หา ?" (หันไปมองโกโก้ที่ไหล่ซ้าย)
โกโก้ : “นอกจากปลาแล้ว ไม่มีอย่างอื่นที่หลากหลายกว่านี้ให้กินเลยหรอ เล่นให้กินแต่ปลาปลาปลาจนฉันจะกลายเป็นปลาแทนแล้วเนี่ย!”
ไดอิจิมารุ : “องุ่นนวลกับกระดาษหมึกเกลือ (พันธุ์สาหร่ายในละแวกนี้) ที่ข้าหามาให้เจ้าเมื่อวานก็น่าจะหลากหลายพอได้บ้างแล้วนี่นา? แล้วปลาเนื้ออ่อนที่ข้าย่างให้มันไม่อร่อยหรือไงยังไง?”
โกโก้ : “อย่าให้พูดเลยเถอะ ! ไอเจ้าองุ่นนวลแต่สีดำยังกับถ่านนั่นหวานเกินจนน้ำของมันแค่หยดเดียวเอาไปใช้ผสมน้ำทำน้ำหวานแจกคนทั้งหมู่บ้านได้เลยมั้ง ส่วนสาหร่ายนั่นกินทั้งชาติก็ไม่อิ่ม ปลาน่ะก็อร่อย แต่มันเบื่อ ! นายเข้าใจมั้ย !”
ไดอิจิมารุ : “ (เรื่องมากเหลือเกิน ลูกโอ๊กก็ไม่กิน แล้วกระรอกประสาอะไรมันกินปลากัน ปกติกินผลไม้กับแมลงไม่ใช่หรือ แถมยังกินล้างกินผลาญในปริมาณเทียบเท่ามนุษย์อีก) ”
ไดอิจิมารุ : “ถ้าอย่างนั้นก็เหลือกระต่ายถ่านแช่แข็งที่อยู่ตรงนั้นนะ” (ชี้นิ้วซ้ายไปที่ก้อนน้ำแข็งขนาดเท่ากับตัวคนซึ่งในนั้นมีกระต่ายสีดำที่ตัวใหญ่กว่ากระต่ายปกติราวสองเท่าถูกแช่แข็งอยู่”)
โกโก้ : (ตะโกน) “แบบนี้ฆ่ากันดีกว่า ฉันเคยลองกับเจ้านักเดินทางพวกนั้นแล้ว เนื้อก็เหนียวเคี้ยวยาก รสชาติก็ห่วยแตกเหมือนเนื้อเน่า กลิ่นก็เหม็นสาบแสบจมูก!”
ไดอิจิมารุ : “พวกเจ้าไม่รู้วิธีการนำมันมาประกอบอาหารที่ถูกต้องน่ะสิ คงจะละลายน้ำแข็งแล้วฆ่ามันล่ะสินะ”
โกโก้ : “รู้ได้ไง....”
ไดอิจิขอให้โกโก้ออกจากไหล่ขวาของเขาไปก่อนเพื่อที่จะได้ก่อไฟและจัดการวัตถุดิบได้สะดวก เขานำกิ่งไม้แห้งมากลายแท่งแล้วนำบางส่วนมาปอกเปลือกบาง ๆ แล้วนำมากองกัน ทับด้วยเศษผ้าที่ใช้งานไม่ได้เล็กน้อย หลังจากที่ได้เชื้อไฟแล้วเขาก็วางเชือกไว้บนเชื้อไฟและวางฟืนขนาดใหญ่ที่กว้างราวหนึ่งคืบและยาวสามคืบทับเชือกอีกทีพร้อมกับยืนบนฟืนด้วยขาทั้งสองข้าง นำปลายเชือกทั้งสองด้านขึ้นมาด้านหน้าแล้วจับเชือกด้วยสองมือข้างละเส้น
ไดอิจิมารุ : "ดูนะ การก่อไฟด้วยวิธีนี้จะช่วยประหยัดแรงและเวลาแต่ต้องระวังเรื่องสมดุลร่างกายและอย่าให้ความเร็วในการสีเชือกตกลง"
ไดอิจิดึงเชือกทั้งสองข้างขึ้นจนตึง ดึงด้านขวาขึ้นลดด้านซ้ายลงจากนั้นดึงด้านซ้ายขึ้นและลดด้านขวาลง สลับกันอย่างรวดเร็ว สักพักหนึ่งก็เกิดควันขึ้นมาจากเชื้อไฟ เขาดึงเชือกและยกฟืนออกพร้อมกับถอดงอบออกมา ไดอิจิคุกเข่าซ้ายลงพื้นและนำงอบมาพัดที่เชื้อไฟเบา ๆ จนไฟลุกโชนขึ้นมา เขาหยิบกิ่งไม้ใกล้ ๆ มาหักแล้วโยนใส่กองไฟเพื่อไม่ให้ไฟดับ
ไดอิจิถอดถุงมือเหล็กออกพร้อมกับมองไปรอบ ๆ และเห็นแผ่นหินที่ใหญ่พอที่จะสามารถใช้หมักเนื้อได้ เขาใช้มือซ้ายหยิบมันขึ้นมาแล้วเดินไปที่ริมแม่น้ำแช่แข็งและใช้มือขวาทุบที่น้ำแข็งจนแตกเป็นรูพร้อมกับล้างแผ่นหินและมือจนสะอาด
ไดอิจิมารุ : (ไดอิจิทำตามขั้นตอนที่เขาอธิบาย) “วิธีที่ถูกต้องคือแทงดาบลงไปที่ท้ายทอยของมันแล้วดึงออกมาให้ไวที่สุดเพื่อไม่ให้มันเกิดความเครียดซึ่งจะทำให้เนื้อไม่อร่อย อย่างช้าต้องแทงให้ทะลุภายในสองวินาที ตัดที่กลางลำตัวเป็นแนวขวาง นำเครื่องในออกมาให้หมดแล้วแล่เนื้อออกมาล้างน้ำให้สะอาดทั้งสองอย่าง ใส่เครื่องเทศและพริกป่นเล็กน้อยแล้วหมักกับเนื้อให้เข้ากัน เครื่องในจะใช้เครื่องเทศเยอะหน่อยและควรหมักให้นานด้วย
ไดอิจิมารุ : “รอสักพักให้เครื่องเทศหมักเข้ากับเนื้อพอดีสักสิบนาทีก็ได้ เครื่องในก็หมักนานกว่านี้อีกหน่อย เนื้อของกระต่ายจะมีกลิ่นสาบ เพราะฉะนั้นควรใช้เครื่องเทศที่มีกลิ่นแรงโดยเฉพาะ อย่างในกระปุกเครื่องเทศเล็ก ๆ นี้ก็เป็นพริกไทย ขิง กระเทียม ใบกระวาน อบเชยที่ตากจนแห้งแล้วนำมาบดจนป่นละเอียด เมื่อรอเนื้อเสร็จแล้วก็นำเนื้อมาย่าง การย่างต้องให้เนื้อทั้งชิ้นถูกไฟทุกส่วน สำหรับกระต่ายพันธุ์นี้โดนไฟแค่สามสิบวินาทีก็เพียงพอแล้ว ส่วนนอกจะกรอบเหมือนนำไปทอดน้ำมัน เนื้อข้างในจะชุ่มฉ่ำและไม่มีกลิ่นสาบด้วย”
ไดอิจิมารุ : “เครื่องในจะสุกยากหน่อยและมีกลิ่นที่แรง ข้าเลยใช้เครื่องเทศในปริมาณที่มากกว่าเนื้อ เวลาย่างก็ควรย่างให้นานสักหน่อยจะได้สุกทุกส่วน”
โกโก้ : “ทำไมเครื่องในถึงสุกยากล่ะ แล้วเนื้อกรอบไวขนาดนี้เลยหรอ?”
ไดอิจิมารุ : “ไม่รู้ ข้ารู้แค่นี้ อย่างอื่นช่างมัน สนใจแค่เนื้อตรงหน้าก็พอแล้ว” (ยื่นขาหน้าของกระต่ายให้)
โกโก้ : “(กลิ่นของเนื้อหอมเตะจมูก เมื่อลองฟังเสียงดูก็จะได้ยินเสียงฟู่ ๆ จากเนื้อทำให้ความอยากอาหารเพิ่มมากขึ้นไปอีก)” (รับเนื้อจากมือของไดอิจิ)
โกโก้ : “มันจะซักแค่ไหนกันเชียว !” (กัดเนื้อเข้าไปเต็ม ๆ คำ)
ทันทีที่โกโก้กัดเข้าไปที่เนื้อกระต่าย เขาก็แน่นิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่จะปล่อยแสงออกมาจากตาและปากพร้อมกับคำรามออกมาอย่างบ้าคลั่ง แน่นอนว่าทั้งหมดคือจินตนาการของโกโก้หลังจากที่ได้ลิ้มรสเนื้อสัตว์อื่นนอกจากปลาเป็นครั้งแรกในรอบสี่วัน และเป็นสัตว์ตระกูลเดียวกับกระรอก (สัตว์ฟันแทะ) เสียด้วยสิ
ไดอิจิมารุ : “อ้าปากค้างไปแล้วล่ะนั่น…..”
ไดอิจิมารุ : (กินขาหลังที่ย่างสุกแล้ว) “สัมผัสนุ่มละมุนแต่ไม่เละ เนื้อที่ชุ่มฉ่ำพร้อมกับไขมันที่แทรกเล็กน้อยช่วยให้การกัดแต่ละทีแม้จะมีฟันแค่สี่ซี่ก็เคี้ยวได้อย่างง่ายดาย รสชาติของเนื้อที่มีความเผ็ดร้อนเบา ๆ มาพร้อมกับกลิ่นของเครื่องเทศทำให้รสชาติอร่อยจนหยุดกินไม่ได้…อ้าว กินหมดแล้วหรือ?”
โกโก้ : “ทำไมนายทำอาหารเก่งจัง !”
ไดอิจิมารุ : “ข้าอาศัยอยู่ในป่าตั้งแต่เด็กเลยรู้เรื่องพวกนี้ด้วยก็แค่นั้นแหละ แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่มีเครื่องปรุงอื่น ๆ เลย”
ไดอิจิมารุ : (ยื่นไส้ย่างให้) “แม้จะเป็นไส้และดูน่าขยะแขยง แต่รสชาติดีกว่าที่เจ้ากินไปอีก”
โกโก้ : “กลิ่นเครื่องเทศแรงขนาดนี้จะไม่เผ็ดแย่หรอ?”
ไดอิจิมารุ : “ความเผ็ดน่ะ ช่วยให้ความอยากอาหารเพิ่มขึ้นและกินอะไรอร่อยมากขึ้นนะ”
โกโก้ : (เลิ่กลั่กเล็กน้อย) “มันสะอาดแล้วใช่มั้ย?”
ไดอิจิมารุ : “ข้าล้างจนไม่เหลืออะไรให้ล้างแล้ว ไม่ต้องกลัว ข้าไม่พลาดแน่”
โกโก้ : “กะ...ก็ได้…”
โกโก้หลับตาปี๋กัดคำเล็ก ๆ ที่ไส้ย่างที่ไดอิจิให้ เมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่าไส้ย่างนั้นได้หายไปพร้อมกับปากที่มอมแมมเหมือนเด็กน้อย
ไดอิจิมารุ : “เจ้าคงจะไม่รู้ตัวเลยล่ะสิว่ากินหมดไปแล้ว”
โกโก้ : "น...น้ำ"
โกโก้บ่นว่าเผ็ดซ้ำ ๆ ระหว่างที่ร้องไห้และพยายามดื่มน้ำในปริมาณมากเพื่อแก้เผ็ด หลังจากนั้นก็สลบไปเพราะน้ำที่ดื่มนั้นเป็นน้ำเย็นจัด
(ณ ฟุยุมิ)
ทุกอย่างมอดไหม้ไม่เหลือชิ้นดี บ้านเรือนมอดไหม้จนไม่เหลือเค้าโครงปราสาทอันงดงามพังลงมากลายเป็นเพียงเศษไม้ไร้ประโยชน์ ทองคำ ดาบ เกราะอันล้ำค่ากลายเป็นขยะที่ไม่มีใครเหลียวแลพร้อมกับโครงกระดูกมนุษย์ที่กองกันสูงกว่าห้าเมตรซึ่งมีสีดำไหม้พร้อมกับขี้เถ้าที่เหมือนว่าจะศพถูกนำมากอง ๆ กันไว้แล้วราดน้ำมันจากนั้นก็เผาเสียในคราเดียว ท่ามกลางผืนขี้เถ้าที่กว้างสุดลูกหูลูกตาก็มีเรือนไม้รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าหลังคาหน้าจั่วหลาย ๆ หลังเรียงกันเป็นตับ จากสภาพของเรือนคล้ายกับว่าถูกสร้างขึ้นมาใหม่เป็นระยะเวลาสั้น ๆ สำหรับการอยู่อาศัยชั่วคราว ด้านในของหลังแรกมีชาวฟุยุมิทั้งทหารและชาวบ้านที่เหลือรอดถูกถอดเสื้อเหลือเพียงกางเกงถูกมัดแขนและขาพร้อมกับล่ามโซ่ไว้นับสิบคน บางคนกัดลิ้นตัวเองตาย บางคนถูกทรมาณจนตาย ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่เพียงคนเดียวก็สภาพร่อแร่จากการที่อดอาหารและน้ำมานาน ริมฝีปากแห้งผาก บาดแผลจากการทุบตีและฟาดด้วยแส้เต็มตัว ผมสีดำของเขาถูกไฟเผาจนเกลี้ยงจนเห็นหนังหัว
ทหารสวมผ้าคลุมของ "พวกนั้น" ที่ไดอิจิพูดถึงเดินเข้ามาหาชายชาวฟุยุมิที่ถูกจับและยังมีชีวิตอยู่ อกซ้ายของผ้าคลุมมีลายดอกไม้ห้ากลีบ แต่ละกลีบเป็นมีดสั้นเรียงรอบเกสรรูปไฟ ในมือของเขาถือแก้วน้ำดินเผาและเศษเนื้อทีนำมาอัดรวม ๆ กันอยู่
ทหารสวมผ้าคลุม : "เฮ้ย เมื่อไหร่จะบอกเสียทีว่ามันหนีไปที่ไหน"
ชายชาวฟุยุมิ : (หลับตาก้มหน้าเหมือนร่างไร้วิญญาณ)
ทหารสวมผ้าคลุมบีบที่หน้าผากของชายชาวฟุยุมิแล้วดึงให้แหงนหน้าขึ้นมา จากนั้นจึงยัดเนื้อบดและเทน้ำกรอกปากเข้าไปจนสำลัก
ทหารสวมผ้าคลุม : "ถ้ายังคงเงียบเป็นเป่าสากอย่างนี้เจ้าก็ไม่มีวันออกไปจากตรงนี้ได้หรอก แค่ปริปากบอกมาว่าไอ้ซามูไรนั่นหนีไปไหน หน้าตาลักษณะชุดของมันเป็นอย่างไรมันยากนักหรือไง"
ชายชาวฟุยุมิ : (สำลักน้ำ) "....ข้าไม่รู้"
ทหารสวมผ้าคลุม : "ข้าเริ่มเบื่อที่จะต้องมาทรมาณเจ้าแล้วนะ" (ล้วงแส้ที่เก็บไว้ใต้ผ้าคลุมแล้วง้างเตรียมเฆี่ยน)
??? : "พอได้แล้ว ถามมันไปก็ไร้ประโยชน์ อย่างไรเสีย ถึงจะรู้ว่ามันกำลังไปที่ไหนพวกเราก็ตามมันไปไม่ได้อยู่ดี พายุหิมะแปรปรวนขนาดนี้ออกไปก็มีแต่แข็งตาย"
ชายอีกคนเดินเข้ามาจากด้านหลังของทหารสวมผ้าคลุมพร้อมกับมายืนต่อหน้าเชลย เขาสวมเครื่องแบบของทหารฟุยุมิ ผมของเขามีสีแดงเข้มแซมด้วยสีดำ ชุดเกราะมีสีแดง มือขวาถือง้าวยาวกว่าสองเมตร มีเกราะรูปหัวงูสีทองที่ไหล่ขวา
ชายชาวฟุยุมิ : "ชิน...นี่เจ้าไปอยู่กับพวกนั้นตั้งแต่ตอนไหนกัน....เจ้าเป็นทหารแต่กลับสาวไส้ของแคว้นและฆ่าชาวบ้านที่ต้องปกป้องเยี่ยงชีวิตเช่นนี้ไม่ละอายเลยหรือไง"
ชิน : "ข้าไม่เคยคิดจะอยู่ฝ่ายเดียวกับพวกฟุยุมิอย่างพวกเจ้า ต้นตระกูลหลายคนของข้าถูกชาวฟุยุมิฆ่าตาย ทุกคนถูกฟุยุมิกลืนกินจนแคว้นอาเคโนะเหลือเพียงชื่อ ข้าแค่ทำแบบที่ถูกกระทำเพียงเท่านั้น ชาวอาเคโนะทุกคนก็คิดเช่นนั้น หลายร้อยปีมานี้ทุกคนรวบรวมกำลังพลเพื่อที่จะแก้แค้นและปลดผนึกให้เจ้าปราสาทของพวกเราคืนชีพกลับมา แต่กลายเป็นว่ามารตะวันกลับถูกชิงไป แผนเละไม่เป็นท่าเพราะแมลงที่ไหนไม่รู้ชิงมันไปก่อน เจ้าไม่คิดว่าตลกเลยหรือ"
ชายชาวฟุยุมิ : "กะอีแค่เรื่องในอดีต...ทำไมเจ้าถึงต้องใส่ใจขนาดนั้นด้วย ! เจ้าควรจะเลิกมองอดีตแล้วก้าวไปข้างหน้าสิ ยิ่งแก้แค้น....มันก็จะมีแต่การแก้แค้นกลับไม่รู้จ-"
ชินใช้มือซ้ายเปล่า ๆ ตัดคอของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วราว ชายชาวฟุยุมิเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่หัวและคอจะค่อย ๆ ไหลตกลงพื้น
ชิน : "พูดพล่ามน่ารำคาญ"
ชิน : "เก็บกวาดซะ" (หันหลังแล้วเดินออกจากเรือน)
ทหารสวมผ้าคลุม : " ขอรับ"
...การก่อไฟที่ไดอิจิทำนั้น เขาคิดขึ้นมาเล่น ๆ เพียงเพราะความขี้เกียจที่จะต้องปั่นแท่งไม้...
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 10
Comments