สายลมประกายน้ำแข็ง ก้าวที่ ๓ โรงเตี๊ยม

แม่กับลูกชายคู่หนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านไม้ชั้นเดียวเล็ก ๆ กลางป่าสนบริเวณเขตชานเมืองของฟุยุมิ ทั้งสองอยู่อาศัยด้วยการเก็บของป่ามาทานและนำบางส่วนมาขาย พวกเขาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แม้ว่าพ่อที่เป็นเสาหลักของบ้านจะป่วยตายไปนานแล้วก็ตาม

    วันหนึ่งที่ทั้งสองมาเก็บของป่าตามปกติ แม้ว่าจะเป็นช่วงบ่ายแต่ก็ไม่สามารถมองใบหน้าของทั้งคู่ให้ชัด ๆ ได้

  ลูกชาย : “ท่านแม่กลับไปพักที่บ้านก่อนเลยก็ได้นะขอรับ เดี๋ยวข้าจะตามท่านไปทีหลัง”

  แม่ : “แล้วแบบนี้ลูกจะไม่เหนื่อยแย่หรือ ?”

  ลูกชาย : “ข้าก็อายุย่างเข้าปีที่สิบแล้วนะขอรับ แค่นี้ข้าไม่เหนื่อยอยู่แล้ว”

  แม่ : “เก่งจังเลยน้าลูกแม่ งั้นเดี๋ยวแม่กลับไปทำข้าวปั้นไข่ปลากับชาดอกเหล็กไหลที่ลูกชอบให้นะ”

  ลูกชาย : “ไชโย! ข้ารักท่านแม่ที่สุดเลย!”

    เสียงเริ่มเบาลง ภาพค่อย ๆ มัวลงอย่างช้า ๆ ไดอิจิมารุตื่นขึ้นบนกิ่งไม้สนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่สูงจากพื้นราวสิบเมตรในอิริยาบถที่หลังพิงลำต้น ขาซ้ายเหยียดตรง ขาขวาพาดทับหน้าแข้งซ้ายและกอดอกอยู่ เขามองออกไปทางซ้ายเห็นดวงอาทิตย์สีแดงชาดที่กำลังขึ้นมาจากเส้นขอบฟ้า แสงทอดยาวมาตามผืนป่าที่ปกคลุมด้วยหิมะปานสำลีสีนวล สายลมพัดจากทิศตะวันตกมาตะวันออก ต้นไม้ปลิวสไวสวยงาม เหล่าสรรพสัตว์น้อยใหญ่รูปร่างแปลกตาลืมตาตื่นออกมาหาอาหาร ไม่ว่าจะเป็นกวางที่เขาส่องประกายสีฟ้าและมีไอเย็นลอยออกมา ตัวตุ่นที่มีเล็บเป็นเหล็ก ปลาที่แหวกว่ายอยู่ใต้ผืนน้ำแข็งหนาที่ปกคลุมทั้งลำธาร

    (เสียงน้ำแข็งแตกเบา ๆ พร้อมกับเสียงแทงดาบ)

    ไดอิจิแทงดาบของชายชราลงไปที่ตัวของปลาใต้ผืนน้ำแข็งอย่างแม่นยำ ทำให้น้ำแข็งโดยรอบแตกกระจายออก เขานำปลาที่ถูกแทงขึ้นมาดู

  ไดอิจิมารุ : (“ดาบของคุณหมอนี่สุดยอดเลยนะเนี่ย แม้ว่าจะใช้ผิดจุดประสงค์ไปสักหน่อยก็เถอะนะ”)

    ระหว่างที่รอปลาสุก เขาก็นำดาบของชายชราขึ้นมาดู ฝักดาบมีสีฟ้ามรกต โกร่งดาบเป็นวงกลมสีขาวลายทั่ว ๆ ไป ใบดาบมีคมแบบเดียวกับอีกเล่มแต่เล่มนี้มีใบดาบที่ตรงและมีสีเงินที่เมื่อถูกกับแสงอาทิตย์จะสะท้อนแสงออกมาเป็นสีน้ำทะเล โคนของใบดาบสลักไว้ว่า “แม่ทัพจัตวา”

  ไดอิจิมารุ : (“แม่ทัพจัตวา...ถ้าเขายังไม่แก่และไม่ประมาทล่ะก็ ข้าคงจะตายไปแล้ว”)

  ไดอิจิมารุ : (“จะว่าไป ดาบของพวกระดับสูงเป็นแบบนี้กันทุกคนเลยหรือ วัสดุแข็งแรงและเบามาก เล่มเก่าของข้าหนักกว่านี้ราวสองเท่าแถมเปราะบางราวกับดาบไม้”)

    ไดอิจิหันกลับไปมองปลาที่เขาย่างไว้ พอเห็นว่าสุกเต็มที่แล้ว เขาก็ถอดหน้ากากส่วนล่างออกแล้วปล่อยให้อีกส่วนบังบริเวณหน้าผากลงมาถึงดั้งจมูก เมื่อทานเสร็จเขาก็ใช้หิมะฝังกลบกองไฟแล้วออกเดินทางต่อ

  ไดอิจิมารุ : (“นี่มันก็ย่างเข้าวันที่ห้าแล้วหลังจากที่ฟุยุมิล่มสลาย แต่ยังไม่เห็นวี่แววว่าใครจะตามมาเลย คงเป็นเพราะอากาศที่หนาวเย็นนี้ทำให้ต้องใช้เวลาเตรียมตัวเป็นพิเศษ โชคดีที่ข้าเดินมาคนเดียว…ไม่สิ มีเด็กด้วยนี่นะ”)

(ช่วงบ่าย)

    รอบ ๆ แม้จะมีเพียงหิมะขาวโพลน แต่หากเงี่ยหูฟังดี ๆ จะได้ยินเสียงสรรพสัตว์เดินไปมา บ้างก็ดักซุ่มรอเหยื่อ บ้างก็นอนหลับพักผ่อนและรอตื่นตอนกลางคืน เมฆเริ่มก่อตัวอีกครั้งและส่งเสียงดังครืน ๆ พายุกำลังจะมา ไดอิจิจะต้องรีบหาโรงเตี๊ยมเพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองหนาวตายไปเสียก่อน

(ช่วงหัวค่ำ)

    พายุหิมะพัดโหมกระหน่ำ ไดอิจิพยายามวิ่งฝ่าพายุเพื่อหาหลบภัย ในที่สุดเขาก็ได้พบกับโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ แต่เหตุใดถึงไม่มีแสงไฟเลยนะ ไดอิจิเดินเข้าไปดูหน้าโรงเตี๊ยมและเห็นว่าประตูคู่ขนาดใหญ่ของโรงเตี๊ยมนั้นไม่ได้ใส่กลอน ไม่แม้แต่จะปิดประตูให้สนิทดี

    ด้วยความสงสัยเด็กน้อยจึงเรียกหาแม่อยู่หน้าบ้านพร้อมกับวางตะกร้าผลไม้ที่เขาแบกไว้บนหลังแล้วแง้มประตูเข้าไปดู

    (เสียงเปิดประตูไม้เก่า ๆ)

  ลูกชาย : “ท่านแม่ ?”

    ภาพที่เขาเห็นคือมนุษย์ตัวผอมแห้งเห็นยันกระดูก สูงราวสองเมตรครึ่ง เล็บแหลมคมยาวเทียบแขนมนุษย์ กำลังแทะก้อนเนื้อขนาดเท่ากับกำปั้นอย่างมูมมาม ข้าง ๆ ตัวของมันมีร่างของแม่เด็กน้อยจมกองเลือดอยู่ ซึ่งกลางอกของนางเป็นรูเหวอะหวะ แม่ของเด็กน้อยตายแล้ว มันค่อย ๆ หันหน้ามามองเด็กน้อยทำให้เห็นลักษณะของมันโดยละเอียด ผิวสีขาวซีดและออกจะโปร่งใสจนพอจะเห็นอวัยวะภายในได้บ้าง หัวโกร๋นโล้นเกลี้ยง ดวงตาสีดำของมันกลมโตและไม่มีเปลือกตา ปากกว้างจนฉีกถึงที่กลางแก้ม ฟันแหลมคมเรียงถี่นับร้อยซี่ทำให้เหมือนว่ามันแสยะยิ้มตลอดเวลา เด็กน้อยยืนตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก มือทั้งสองข้างสั่นระรัว มนุษย์ประหลาดได้พุ่งเข้ามาหาเด็กน้อยอย่างรวดเร็ว และมือของมันก็กำลังที่จะจับไปที่ใบหน้าของเด็กน้อย

    ทันใดนั้น เสียงแตกแหบห้าวของชายวัยกลางคนก็ดังออกมา...

  ??? : (ตะโกน) “เจ้าหน้ากากมัวทำอะไรอยู่น่ะ มันไปหาแกแล้วนะ !”

    ไดอิจิสะดุ้งและชักดาบของชายชราออกมารับการโจมตีจนตัวกระเด็นไปด้านหลังไกลกว่าสามเมตร เขาแทงดาบลงพื้น มือขวาจับด้ามดาบแน่น มือซ้ายกดท้ายดาบลงพื้น ทันทีที่ตั้งสติได้ เขาก็รีบลุกขึ้นตั้งท่าเตรียมโจมตี กางขาแต่พอดีพร้อมกับย่อเข่าลงเล็กน้อย มือขวาจับดาบเหนือมือซ้ายและตั้งดาบตรงไปข้างหน้าแต่ดูเหมือนว่าดาบจะสั่นไม่เบาเลย

    อสูรเข้ามาโจมตีไดอิจิอย่างรวดเร็วพร้อมกับง้างปากจะกัดเข้าไปที่หัวของเขา ไดอิจิรีบถอยหลังและปาดดาบเข้าไปที่ปากของมันจนปากของมันฉีกออกและกรามห้อยลง

    ในพริบตา ปากอสูรตนนั้นก็สมานเป็นเหมือนเดิมก็พร้อมกับอสูรก็คำรามออกมาเป็นเสียงของมนุษย์ชายหญิงปะปนกันอย่างน่าขนลุก แล้ววิ่งตรงไปหาไดอิจิทันที เขาพยายามปัดป้องการโจมตีของอสูร ระหว่างนั้นก็ถอยหลังไปเรื่อย ๆ จนหลังของไดอิจิพิงกับต้นไม้ เมื่ออสูรเห็นว่าไดอิจิเผยช่องว่างก็ง้างแขนเตรียมข่วนเข้าไปที่หัวของเขา ไดอิจิย่อตัวหลบการโจมตีอย่างหวุดหวิดพร้อมกับปล่อยหมัดซ้ายชกเข้าไปที่ลิ้นปี่ของอสูร

ทันทีที่หมัดของเขาถึงตัวอสูรก็เกิดคลื่นลมอย่างรุนแรงพัดออกจากหลังของมัน ไดอิจิถีบเข้าไปที่ท้องของอสูรจนมันกระเด็นไปชนกับประตูของโรงเตี๊ยมที่เปิดอยู่จนปิดเสียงดังลั่น

 อสูรที่เสียหลักค่อย ๆ ลุกขึ้น ผิวของมันเริ่มทึบขึ้นเปลี่ยนเป็นสีแดง มันคงกำลังโกรธอยู่

ไดอิจิใช้มือทั้งสองข้างกำดาบไว้แน่นี้ปลายดาบลงพื้น ลมพายุบางส่วนก็ค่อย ๆ มาหมุนวนรอบดาบและตัวของเขา

  ไดอิจิมารุ : ("เคล็ดดาบวายุทลายอัมพร 'เข็มทะลวงจันทรา' ! ")

    ไดอิจิเหยียดดาบตรงไปข้างหน้าและพุ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วจนมองตามไม่ทัน บริเวณโดยรอบที่เขาผ่านกลายเป็นสุญญากาศอยู่ชั่วขณะ ปลายดาบของเขาที่ชี้อยู่นั้นเป็นจุดที่ลมพัดหมุนวนรุนแรงมากจนแม้แต่ใบไม้ที่ผ่านเฉียด ๆ ยังขาดเป็นเศษเล็ก ๆ ไดอิจิแทงดาบเข้าไปที่กลางอกของอสูรอีกครั้ง เนื่องจากความเย็นจัดของดาบที่ใช้ลมของพายุหิมะ ทำให้บาดแผลของมันไม่สามารถรักษาได้ เขาดึงดาบออกและรีบถอยออกมา

  ไดอิจิมารุ : (“มีเวลาอยู่หนึ่งนาทีก่อนที่แผลของมันจะสูญเสียความเย็นจนหมด ต้องรีบแล้ว”)

    ไดอิจิจับดาบสองมือตั้งท่าให้ปลายดาบชี้ไปทางหลังซ้าย พุ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายพร้อมกับกวาดดาบจากซ้ายไปขวาเข้าไปที่ใต้รักแร้ของอสูร ก่อนที่จะถูกตัว มันได้หลบการโจมตีและเตะไดอิจิกระเด็นไป มันวิ่งเข้าไปหาไดอิจิพร้อมกับกระหน่ำโจมตีใส่เขา ไดอิจิใช้ดาบโจมตีสวนกลับไปที่เล็บของมันจนเกิดประกายไฟ ทั้งคู่รัวการโจมตีนับสิบ ๆ ครั้งจนในที่สุดดาบของไดอิจิก็หลุดมือไปและกระเด็นไปทางซ้าย เขาเลื่อนตัวไปทางขวาพร้อมกับหมุนตัวและมาอยู่ที่ด้านหลังของอสูร

  ไดอิจิมารุ : “ใช้หมัดนี่แหละ เหมาะกับพวกโจมตีระยะไกลและกว้างแบบแกที่สุดแล้ว”

 เขาใช้มือขวาต่อยเข้าไปที่หลังของอสูรจนหลังแอ่นทำให้มันหันหน้ามาหาเขา ไดอิจิหลบไปที่อีกด้านล่อให้มันหันหน้ากลับมา เขาใช้มือซ้ายเสยคางของอสูรอย่างแรงจนตัวลอยขึ้นฟ้า ไดอิจิก้าวขาซ้ายไปด้านหน้าหนึ่งก้าวหันตัวไปด้านซ้ายเล็กน้อยพร้อมกับยกขาขวาขึ้นจนเหนือหัว เอนตัวไปด้านหลังจนแทบจะขนานกับพื้นทำให้ถีบถูกท้องของอสูรจนเกิดเสียงดังหนักแน่นและทำให้ตัวของมันลอยขึ้นสูงกว่าเดิม เขาถอยหลังสองก้าวอย่างรวดเร็ว ย่อตัวลงและกระโดดขึ้นเหนืออสูรกายที่ลอยอยู่ กำมือขวาและง้างสุดแรงพร้อมกับสายลมที่พัดหมุนวนรอบหมัดของเขา

  ไดอิจิมารุ : ("เคล็ดหมัดพระพายหมื่นลี้ 'ทั่งเหล็ก' ! ")

    ไดอิจิต่อยลงที่หัวของอสูรให้ลงมากระแทกกับพื้น ทำให้หิมะกระจายออกเป็นวงกว้าง เขาใช้มือซ้ายควักหัวใจของอสูรออกมาแบบเดียวกับที่มันทำกับมนุษย์คนอื่นและบีบมันจนแตกละเอียด

    อสูรกรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียงด้วยความเจ็บปวดและพยายามจะลุกขึ้น ไดอิจิชักดาบอีกเล่มขึ้นมากระหน่ำฟันที่กลางท้องของมันจนเครื่องในทะลักออกมา ทำให้มันสิ้นฤทธิ์และตายลงไปในที่สุด ไดอิจิยืนนิ่ง ๆ อยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะสะบัดดาบ มือซ้ายจับฝักดาบและค่อย ๆ รูดจากโคนดาบจนถึงปลายดาบและเก็บเข้าฝัก เขาเดินไปเก็บไปเก็บดาบอีกเล่มที่ทำตกไว้และนำเข้าฝัก

    เขาหันกลับไปมองซากศพของอสูรอยู่สักพัก

  ไดอิจิมารุ : (“จะว่าไป…เสียงเมื่อครู่นี้เป็นเสียงใครกันนะ”)

  ??? : (ตะโกน) “เฮ้ย ! ยืนคิดอะไรอยู่ รีบเข้ามาช่วยก่อน !”

    ไดอิจิเดินกลับเข้าไปในโรงเตี๊ยมพร้อมกับหันหน้ามองซ้ายขวาเพื่อหาแหล่งที่มาของเสียง แต่ภาพที่เขาเห็นคือนักเดินทางชายสามคนและหญิงสองคนนอนตายกันเกลื่อนจนกลิ่นคาวเลือดโชยออกมา สภาพศพของชายสองคนถูกอสูรข่วนขาดเป็นท่อนไม่เหลือชิ้นดี ชายอีกคนถูกข่วนที่กลางหลังล้มลงไปกองกับพื้น ผมของเขาเป็นสีน้ำตาลสว่าง ผิวขาว สวมชุดผ้าธรรมดาสีเหลืองที่มีเกราะหนังทับบนไหล่และอก ดาบเป็นดาบตรงยาว มีคมทั้งสองด้าน ส่วนหญิงสองคนถูกควักหัวใจออกมา ศพอยู่ในท่านอนคว่ำ ทั้งคู่สวมผ้าคลุมสีน้ำตาลอ่อน ผมสีชมพูอ่อน สวมถุงมือและรองเท้าหนัง และถือไม้คทาขนาดใหญ่ของนักเวทดูท่าคงจะเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน รอบ ๆ ศพมีโต๊ะและอาหารกระจัดกระจาย อสูรคงจะเข้ามาโจมตีตอนพวกเขากำลังทานอาหารอยู่ ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ แสดงว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวมาก

  ไดอิจิมารุ : “เจ้าอยู่ที่ไหน ? ไม่ต้องตะโกนก็ได้ ข้าฟังอยู่”

  ??? : “ฉันอยู่นี่ !”

  ไดอิจิมารุ : “("ฉัน" ? ใช้สรรพนามแทนตัวเองแปลกเหลือเกินนะ ไม่ใช่คนแถวนี้หรอกหรือ ?”

    ไดอิจิเดินตามเสียงที่ได้ยินจนมาหยุดที่ศพของนักเดินทางหญิงคนหนึ่งที่เป็นนักเวท มือซ้ายของนางที่ไม่ได้ถือคทากำลังโอบกอดอะไรสักอย่าง ไดอิจิประนมมือขึ้นพร้อมกับนำสิ่งที่นางกอดอยู่ขึ้นมาดู มันเป็นกรงเหล็กรูปทรงสี่เหลี่ยมที่ข้างในมีกระรอกหางพวงสีน้ำตาล ท้องเป็นสีน้ำตาลอ่อน หลังมีเส้นสีขาวตัดผ่านที่กึ่งกลางลำตัว ดวงตาหนึ่งข้างเป็นสีเขียวมรกต อีกข้างเป็นสีฟ้าสดใสคล้ายน้ำทะเล มีหูสั้นกลมและในใบหูเป็นสีเนื้ออ่อน ๆ จมูกยาวสีดำ แก้มทั้งสองข้างมีหนวดบาง ๆ สีน้ำตาลเข้มข้างละห้าเส้น

    ไดอิจิยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งพร้อมกับพ่นลมหายใจสั้น ๆ เบา ๆ ออกมา กระรอกทำสีหน้าไม่พอใจและพ่นควันออกมาจากจมูก

  กระรอก : “อะไร ?! กำลังหัวเราะเยาะชั้นหรอ ใส่หน้ากากแต่ชั้นรู้นะ !”

  ไดอิจิมารุ : “ก็เสียงของเจ้าไม่เหมาะกับรูปร่างอันน่ารักน่าชังของเจ้าเลยน่ะสิ”

  กระรอก : “นี่แกกล้ามาบอกว่าท่านโกโก้ผู้นี้น่ารักงั้นหรือ ฉันน่ะออกจะหล่อจะตาย แกมันคนตาไม่ถึง !"

  ไดอิจิมารุ : “ระวังนะ”

    หลังจากพูดจบ ไดอิจิก็หยิบมีดสั้นออกมาจากชุดใต้ผ้าคลุมของเขามาแทงเข้าไปที่ลูกกุญแจจนแตกกระจาย โกโก้ยกประตูกรงขึ้นแล้วปีนขึ้นไหลขวาของไดอิจิและหันหน้าไปมองไดอิจิพร้อมกับดมชุดของเขาอยู่สักพัก

  ไดอิจิมารุ : “ไดอิจิมารุ จะเรียกว่าไดอิจิก็ได้”

  โกโก้ : “นายมาจากไหนเหรอ ฉันไม่เคยเห็นนักเดินทางที่ใช้ดาบหรือเกราะลักษณะแบบนี้เลย”

  ไดอิจิมารุ : “ฟุยุมิ”

  โกโก้ : “ไม่รู้จักอะ นั่นมันบ้านนอกใช่มั้ย ?”

  ไดอิจิมารุ : “เพราะว่าหิมะปกคลุมตลอดปีเลยไม่ค่อยได้ติดต่อกับอาณาจักรอื่น ๆ จะว่าบ้านนอกก็ใช่ แต่อาณาเขตก็กว้างขวางมากนะ ผืนหิมะในทวีปนี้แทบทั้งหมดเป็นของฟุยุมิเลยนะ ว่าแต่ เจ้ามาจากไหนรึ ?”

  โกโก้ : “ฉันมาจากทวีปออสโทรมีย์ ทวีปเล็ก ๆ ตรงด้านตะวันออกเฉียงเหนือน่ะ จริง ๆ ฉันเป็นมนุษย์นะแต่ไม่รู้ทำไมถึงเป็นกระรอก ตื่นมาก็อยู่ในร่างนี้ ยังไม่ทันไรก็ถูกนักเดินทางพวกนี้ (ชี้ไปที่ศพของเหล่านักเดินทาง) จับใส่กรงเพราะเชื่อว่าเป็นตัวนำพาโชคลาภ แถมยังตั้งชื่อว่าโกโก้อีก เชยจริง ๆ….”

  ไดอิจิมารุ : “("แล้วจะเรียกตัวเองด้วยชื่อนั้นทำไมกันล่ะ") ไกลมากเลยนะ ที่เขาว่าต้องข้ามมหาสมุทรด้วยสำเภานานเป็นเดือนกว่าจะมาถึงทวีปกลางใช่ไหม ถ้ามาไกลได้ขนาดนี้ พวกเขาก็น่าจะสู้กับอสูรตนนั้นได้สิ ?”

  โกโก้ : “หัวหน้าที่เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดของทีมน้ำมูกอุดตันในจมูกตอนนอนก็เลยหายใจไม่ออก แล้วพอหายใจทางปากก็สำลักน้ำมูกตายน่ะสิ แถมเจ้าพวกลูกน้องพอไม่มีหัวหน้าก็ทำอะไรไม่ถูกเลยมานั่งดื่มเหล้ากันในโรงเตี๊ยม เมาเละเทะเลย สภาพก็เป็นแบบที่นายเห็น”

  ไดอิจิมารุ : “แล้วเดินทางมาฟุยุมิทำไมหรือ ?”

  โกโก้ : “เปล่า ไม่ได้มาหาฟุยุมิอะไรนั่น เอาจริง ๆ คือ ไม่มีใครรู้จักด้วยซ้ำ พวกนั้นแค่ได้ยินมาว่าทางเหนือสุดของทวีปนี้มีปลากับปูน้ำจืดเขตหนาวที่อร่อยมาก ๆ ระดับที่ว่าพอได้ลิ้มรสก็ แม้ตายก็จะไม่รู้สึกเสียดายชีวิตเลย ก็เลยอยากมาลองชิมน่ะ”

  ไดอิจิมารุ : “น่าเสียดายนะ ฟุยุมิตอนนี้ล่มสลายแล้วคงถูกเปลี่ยนเป็นแคว้นอื่นไปแล้วล่ะ คงไม่ให้ใครเข้าออกแคว้นไปสักพักใหญ่เลย”

  โกโก้ : “ถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วตัวนายออกมาได้ยังไงหรอ เกิดเรื่องขึ้นรึไง (ชี้ไปที่ทารกใต้ผ้าคลุมของไดอิจิ) แล้วเด็กนั่นเกี่ยวมั้ย ?”

  ไดอิจิมารุ : “มันเป็นภารกิจน่ะ ก่อนที่แคว้นจะถูกยึด เจ้าปราสาทท่านมอบดาบของเขาแล้วฝากเด็กคนนี้ไว้ให้กับข้า ให้พาไปที่ทิศตะวันออกสุดน่ะ”

  โกโก้ : “เด็กนี่มีอะไรพิเศษเหรอ แล้วหลับปุ๋ยเลยนะเนี่ย (ก้มลงไปมองที่เด็ก)”

    ไดอิจิพูดไป พลางเก็บกวาดศพไปฝังข้าง ๆ โรงเตี๊ยมอย่างเรียบร้อย

  ไดอิจิมารุ : “มารตะวันอยู่ในตัวเด็กคนนี้น่ะสิ เห็นเล่าขานกันว่าถ้ามันเป็นอิสระเมื่อไร วิญญาณของทุกชีวิตจะถูกมันดูดไปและแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่าง มนุษย์สมัยก่อนช่วยกันผนึกมันในกายหยาบของทารกคนนี้และผนึกซ้อนอีกทีเพื่อไม่ให้ทารกเติบโตแล้วก็เก็บรักษามานับพันปี พอแคว้นจะล่มสลายก็เลยต้องนำทารกออกมาจากผนึกแล้วพาหนีออกมาไม่ให้เป็นอันตราย งานของข้าก็คือนำเด็กคนนี้ไปประกอบพิธีที่ตะวันออกไกลเพื่อส่งให้เจ้าหญิงมารตะวันกลับสู่พระอาทิตย์”

  โกโก้ : “โห อีกไกลโขเลยนะ นี่เป็นตะวันตกสุดเลยนี่”

  ไดอิจิมารุ : “ใช่ จะข้ามมหาสมุทรอีกด้านก็ไม่ได้ มันอันตรายเกินไป แถม "เจ้าพวกนั้น" ยังไล่ล่าข้าเพื่อชิงพลังมารของเด็กคนนี้มาใช้อีก”

  โกโก้ : “มันใช้ไม่ได้เหรอ ?”

  ไดอิจิมารุ : “มันใช้ได้หากใช้เป็น แต่ถึงจะใช้เป็น การฆ่าคนหนึ่งคนจะทำให้อีกหมื่นคนตายด้วย การใช้รักษาคนหนึ่งคนก็จะฆ่าอีกหมื่นคน มันอันตรายเกินไปที่จะใช้”

  โกโก้ : “น่าสนใจแฮะ~ ฉันอยากตามไปด้วยจัง”

    ไดอิจิฝังศพของเหล่านักเดินทางและอสูรให้อย่างดีพร้อมยืนประนมมืออยู่สักพัก หลังจากนั้นเขาก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งกางออกมาดู มันเป็นแผนที่ของนักเดินทางที่เขาเจอตอนเก็บกวาด

 โกโก้ : "แผนที่นั่นมันไม่ได้สมบูรณ์ขนาดนั้นนะ หมู่เกาะเล็ก ๆ หลายที่ไม่ได้ถูกเขียนลงไปเพราะอะไรก็ไม่รู้"

  ไดอิจิมารุ : “ยังไงข้าก็จะขอให้เจ้าตามข้ามาอยู่แล้ว ทวีปแห่งปัญญามันก็ไกลมาก เจ้าคงจะผ่านอะไรมาเยอะ แถมแผนที่ก็ไม่ได้ใส่รายละเอียดใด ๆ ไว้มาก มีเจ้าคอยให้คำแนะนำต่าง ๆ ระหว่างเดินทางคงจะดีไม่น้อย”

  โกโก้ : “ฮ่าฮ่า ! ผจญภัย !”

  ไดอิจิมารุ : “เจ้าก็เดินทางมาแล้วนี่นา เหตุใดถึงดูตื่นเต้นขนาดนั้นล่ะ ?”

  โกโก้ : “เพราะเจ้าพวกนั้นเล่นลัดข้ามทะเลจากทวีปกลางมาที่นี่เลยน่ะสิ แถมทวีปกลางตรงที่ข้าผ่านมาก็ไม่มีอะไรน่าดูน่าชมเลยซักนิด”

  โกโก้ : “แล้วไม่ต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือหานมให้เด็กคนนี้หรอ ?”

  ไดอิจิมารุ : “ข้าใช้อาหารเม็ดของทหารฟุยุมิน่ะ สารอาหารครบถ้วนและไม่มีกากไย ทำให้ไม่มีอะไรให้ถ่ายหนัก ส่วนถ่ายเบา ถ้าเด็กร้องไห้เมื่อไร ข้าก็แค่ถอดผ้าอ้อมออกและเด็กก็จะถ่ายเบาเอง”

  โกโก้ : “ลำบากน่าดูเลยนะ”

  ไดอิจิมารุ : “ยังมีให้ลำบากกว่านี้อีก”

  โกโก้ : “แล้วตอนนี้เราอยู่ตรงไหนหรอ ?”

  ไดอิจิมารุ : “ทวีปซ้ายสุด เหนือทะเลสาบความตายแห่งพระเจ้าไปสักพันห้าร้อยกิโลฯ’

  โกโก้ : “ทะเลสาบยักษ์กลม ๆ นั่นน่ะหรอ….เราอยู่ทิศเหนือสุด ๆ เลยนี่ ?!”

    ไดอิจิกลับเข้าโรงเตี๊ยมเพื่อพักผ่อน แต่รู้สึกเหมือนลืมบางอย่างไปเลยนะ

    เถ้าแก่และลูกจ้างของโรงเตี๊ยมสี่คนกำลังหลบมาอยู่ในชั้นใต้ดินของโรงเตี๊ยมพร้อมกับกองทัพแมลงสาบนับหมื่น ๆ ตัวที่ล้อมรอบพวกเขา หนีเสือปะจระเข้ขนานแท้เลยนะ

...พวกเขาทนนั่งกอดเข่าอยู่กับแมลงสาบทั้งคืนไม่ได้หลับไม่ได้นอน และไดอิจิก็มาพบตัวของพวกเขาในเช้าวันต่อมา...

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!