Trasher Slayer : ยอดนักฆ่าโลกะขยะ
จ๊อกกก\~
คุณอาจจะกำลังสงสัยว่าเสียงที่ดังขึ้นเมื่อครู่มันคือเสียงท้องของผมที่กำลังร้อง หรือ เสียงของน้ำที่กำลังไหลกันแน่ อันที่จริงก็ทั้งสองอย่าง ครั้งที่ 3 ตั้งแต่เข้ากะมาที่ผมเดินมากดกาแฟโควต้าพนักงานร้านสะดวกซื้อ วันละ 1 แก้ว
ใช่ครับ! 1 แก้ว ผมใช้แก้วเดิม แม้จะครั้งที่ 3 ก็ตาม
ผมชื่อ วิล หรือชื่อเต็มๆคือ อนาวิล เหตุผลที่ชื่อนี้ก็เพราะทั้งพ่อและแม่ของผมชื่นชอบ Star Wars เข้าเส้น พวกเขาเลยตั้งใจจะตั้งชื่อผมว่า อนาคิน แต่โชคยังดีที่จนแล้วจนรอดพวกเขาก็พึ่งนึกออกว่าอนาคินคือมหาวายร้ายแห่งจักรวาล เลยเปลี่ยนเป็น อนาวิล ซึ่งเวลาที่ต้องอธิบายที่มาของมัน อนาวิล หรือ อนาคิน มันก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่
ร้านสะดวกซื้อที่ผมทำงาน อยู่ในทำเลที่ดีที่สุดในจังหวัดเชียงใหม่ มันคือจุดถ่ายรูปคู่กับพระธาตุดอยสุเทพที่อยู่ห่างออกไปด้านหลังไม่ไกล ถ้าหากคุณมาได้ตรงตามวันและเวลา อาจจะได้รูปพระอาทิตย์ที่ลงมาประดับยอดพระธาตุพอดิบพอดี หากแต่ว่าคนที่มาเขาต้องการเพียงแค่ถ่ายรูป เพราะหากอยากจับจ่ายใช้สอย พวกเขาจะเลือกใช้บริการ ร้านสะดวกซื้อเจ้าดังที่ฝั่งตรงข้าม
ผมเดินกลับมายังเคาน์เตอร์ ผ่านชั้นวางสินค้าที่เรียงรายเป็นแถวซ้ำซาก ขวดน้ำอัดลม กระป๋องกาแฟสำเร็จรูป และขนมขบเคี้ยวที่วางเป็นระเบียบ แต่ไม่มีลูกค้าสักคนเข้ามาหยิบจับ
"ด็อค!" ผมเอ่ยเรียกระบบปฎิบัติการ์ณ Ai เพื่อนที่เปรียบเสมือนทิงเกอร์เบลประจำตัวผม
[ครับ เจ้านาย!]
"เช็คเมลให้ฉันหรือยัง"
[ครั้งที่ 7 ของวันนี้ครับ......ยังไม่มีอัพเดทครับเจ้านาย]
"แค่นี้ต้องบ่นด้วยหรือไง ไม่น่าล่ะบริษัทนายถึงได้จะเรียกคืนซอฟแวร์รุ่นนายจนหมด"
[ฮ่าๆ ตลกมากๆครับ]
มันประชด!
หลักฐานว่า Ai เข้าไกล้มนุษย์มากขึ้นทุกที แม้จะเถียงกันบ่อยแต่มันก็เป็นเพื่อนไม่กี่คนของผม
ตั้งแต่พ่อและแม่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเมื่อ 3 ปีก่อน ผมก็อาศัยอยู่กับลุงและป้า ปากกัดตีนถีบดิ้นรนทุกอย่างเพื่อความฝัน การได้เข้าเรียนในคณะวิศวคอมฯ
ความฝันที่พ่อทิ้งมันไป เพราะผมเกิดขึ้นมา พ่อฝันจะสร้างโลกที่ทุกคนจะหลีกหนีจากความจริงอันโหดร้ายไปอยู่ ณ ดินแดนแห่งนั้น ผมเองก็เช่นกัน
"อ้าว วิล ควงกะอีกแล้วหรอ" เสียงเจือยแจ่วของ ลูกแบท ดังมาตั้งแต่ร่างยังไม่พ้นประตู ก่อนที่ดวงตาโตเป็นประกาย ที่มีไฝเสน่ห์อยู่ใต้ตาขวา อันเป็นเอกลักษณ์จะสบเข้ากับตาของผมที่สั่นระริกหาที่วางทันทีที่รู้ตัว จมูกโด่งแหลมสีแดงระเรื่อ และ ริมฝีปากบางแน่นนั้น ไม่ว่าใครได้มองก็ต้องรู้สึกหวิวๆในอกข้างซ้ายกันทั้งนั้น
"เอ่อ..."
"ฉันว่าแล้วเชียววว" เธอลากเสียงยาว พลางส่งยิ้มประโลมโลกมาหาผม "ก็เลยซื้อกาแฟมาฝาก"
ผมยังเออๆออๆอยู่อย่างนั้น ขณะเธอเหลือบลงมองแก้วกาแฟในมือผม
"นี่ ไหนบอกว่าจะรอกินกาแฟฉันไง วันหลังถ้ากินกาแฟเยอะแบบนี้อีกจะไม่ซื้อมาฝากแล้วนะ" เธอขมวดคิ้วทำปากยู้
"ฮ่าๆ ก็ผมไม่นึกว่าวันนี้คุณแบทจะมาเข้ากะนี่ครับ" ผมยิ้มแหยๆ พลางลูบหัวแก้เขิน จริงๆอยากบอกไปว่า ตอนนี้มีบางอย่างที่ทำให้ตาสว่างกว่ากาแฟ
"อ๋าาา งั้นฉันไปแช่ไว้ให้ดีกว่า ไม่รู้จะหมดอร่อยไหม แต่...ให้กินตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด" เธอดึงกาแฟเย็นแก้วละร้อยกว่าบาทกลับไป พลางทำท่าเชิดหน้า ก่อนจะหายไปแต่งตัวเข้ากะทางหลังร้าน
ผมถอนหายใจออกมาพร้อมรอยยิ้ม นี่สินะคนที่มีพลังล้นเหลือและทำให้โลกใบนี้มันน่าอยู่ขึ้น หากจะมีใครสักคนที่เป็นนิยามคำว่าสมบูรณ์แบบได้ดีที่สุดก็คงจะเป็นเธอ อันที่จริงเธอไม่ใช่ลูกจ้างทั่วๆไป ทว่าเป็นถึงลูกสาวเจ้าของร้านสะดวกซื้อแห่งนี้ และ อีกกว่า 20 สาขา ทั่วภาคเหนือ
เห้ออออ รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที
[อย่างนี้เองซินะครับ?] จู่ๆเสียงด็อคก็ดังขึ้น
"อะไรของนาย?"
[อัตราการเต้นหัวใจเพิ่มขึ้น มากกว่ากินกาแฟทั้งวัน]
ผมอมยิ้มกับคำพูดของ Ai แต่ก็ปฎิเสธไปทันควัน
"มันไม่ใช่เรื่องอะไรของนายสักหน่อย"
[ความรักของมนุษย์ อิอิ]
"รออีเมลล์ต่อไป แล้วบอกฉันด้วย"
อีเมลล์ที่ผมรอมาตลอดสัปดาห์ คือจดหมายขอทุนเข้ามหาวิทยลัยเอกชนแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศ มันเป็นการเสนอไอเดียโปรเจกต์ ให้ทางมหาลัยพิจรณา
ติ้ง!
และแล้วเสียงที่ผมรอมาตลอดทั้งวันก็ดังขึ้น
[มาแล้วครับ ให้ผมดู หรือ คุณอยากจะดูเอง]
ผมไม่ได้ตอบอะไรเจ้าด็อค แต่รีบตะลีตะลานหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดหน้ากล่องขาเข้าอีเมลล์ขึ้นมาดูในทันที
[ มหาวิทยลัย xxxx
คุณ อนาวิล ดำรงวิทย์ ผ่านการคัดเลือก
กรุณาส่งพอร์ตโฟลิโอ้ชิ้นอื่นๆในลำดับต่อไป]
เสียงแห่งความดีใจสุดชีวิตถูกกลืนไปในลำคอ ผมอ่านข้อความนั้นซ้ำไปซ้ำมา ขณะหลบอยู่หลังเคาน์เตอร์ ใจเต้นแรงจนอยากจะลิงโลดมันซะเดี๋ยวนี้ ภูเขาทั้งลูกกระเด็นหลุดผัวะไปจากอกในพริบตา ในที่สุดผมก็ทำมันได้ ทำมันได้สักที
"คุณแบทครับผมทำได้แล้วครับ ทำได้แล้ว" ผมหลุดพล่ามพ่นออกไปทันทีที่เห็นคุณแบทในชุดพนักงานเดินเข้ามาหลังเคาน์เตอร์ และยืนทำตาโตงงๆพลางอมยิ้มอยู่อย่างนั้น
"ผมขอทุนเข้ามหาลัยผ่านแล้วครับ" ผมพูดซ้ำ ขณะที่รอยยิ้มของเธอค่อยๆเผยออกมามากขึ้น มันช่างเป็นช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบ ทั้งความสำเร็จ และ คนที่อยากจะใช้เวลาเหล่านี้ด้วยก็อยู่ตรงนี้
"ดีจังนะ นายเก่งสุดๆไปเลย" เธอเอ่ยชมผมขณะผมกระโดดโลดเต้นอยู่อย่างนั้น "อย่างนั้น เธอก็ต้องไปอยู่กรุงเทพน่ะสิ"
ลืมคิดข้อนี้ไปเสียสนิท แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่ถึงปีที่ได้รู้จักคุณแบท แต่เธอเป็นคนไม่กี่คนที่ผมรู้สึกว่าเธอสนใจผมจริงๆ แม้จะรู้ว่าเธอมีแฟนอยู่แล้ว เลยไม่เคยคิดจะบอกความในใจ แต่ก็แอบหวังเล็กๆมาตลอด
"นั้นสินะครับ" รอยยิ้มค่อยๆหุบลง
"เป็นอะไรไป อย่าบอกนะว่าเธอมีแฟนอยู่ที่นี่แล้วไม่บอกฉันน่ะ"
"ปะ...ป่าว นะครับ" ผมรีบปฎิเสธ ใครจะกล้าบอกว่าเหตุผลที่พรากรอยยิ้มเมื่อครู่คือเธอ
"เอ๊ะ....หรือว่าาาา" เธอหรี่ตามอง เมื่อระลึกอะไรบางอย่างได้ ในขณะที่ผมตาโตสวนไป
จริงๆถ้าเธอจะรู้ก็ไม่แปลกนัก อาการผมมันชัดเจนซะจน คนอื่นๆในร้านแซวซุบซิบกันตลอด แต่ด้วยลูกแบทเป็นเหมือนเจ้าของร้าน พวกพนักงานจึงไม่กล้าแซวเธอตรงๆ ต่างจากผม
"ไม่นะครับ" ผมหลับตาปี๋ตอบไป ทั้งๆที่เธอยังไม่ได้พูดอะไรต่อ
ลูกแบทขมวดคิ้ว ทำปากจู๋ ยืนงงๆกับท่าทีพิลึกของผม
"ไม่...อะไรอะ"
"อ่อ คือ...." ผมตะกุกตะกักพึ่งตระหนักได้ว่าเธอยังไม่ได้จับได้ "ไม่....ได้กังวลเรื่องนั้นเลยครับ"
"อ๋าาาา" เธอทำท่าคิดออกเหมือนเดิม "ก็นึกว่ากลัวการไปอยู่กรุงเทพซะอีก"
"แหะๆ ก็นิดนึงครับ"
"อย่างงั้นก็ลำบากแย่เลย เอาไว้ถ้าฉันไปเที่ยวกรุงเทพจะแวะไปหาบ่อยๆนะ จะได้พาวิลไปเที่ยวทะเลแบบที่เคยคุยกันไว้ด้วยไง"
เห็นหรือยังครับ ทำไมคนอื่นชอบแซวเราสองคนประจำ ถ้าไม่รู้จักคุณแบท ใครๆก็คงคิดว่าเธออ่อยแน่นอน แต่จริงๆแล้วไม่เลย ที่เธอสนิทกับผมอาจจะเป็นเพราะว่านิสัยลึกๆของเธอมันเหมือนเด็กผู้ชายที่ชอบอะไรลุยๆ จนบางทีกิจกรรมพวกนั้นเด็กสาวในวัยเดียวกันน้อยคนจะชอบเหมือนเธอ ประกอบกับตัวผมไม่ได้มีพ่อแม่มาคอยจ้ำจี้จ้ำชัย ก็เลยไปไหนไปกันกับเธอได้ตลอด
แต่เพราะแบบนั้นผมก็เลยยิ่งตกหลุมรัก!
และเพราะรู้แบบนี้ ก็เลยยิ่งบอกออกไปไม่ได้!
....Friend Zone โดย สมบูรณ์แบบ....
เม็ดฝนที่หยดลงกระทบหน้าต่างร้านทำให้แสงภายในดูพร่ามัว ตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมา ร้านที่เงียบสงบเกือบจะราวกับว่าหายไปจากโลกภายนอก มีเพียงเสียงคลอเบาๆ ของเพลงในร้านที่เติมเต็มความเงียบสงัดนี้
“วันนี้ลูกค้าน้อยนะ” ลูกแบทชวนคุยไม่หยุด ดั่งเช่นทุกวัน
"ก็แหงสิครับ คุณแบท ใครเขาจะมากัน"
[เจ้านายเองก็ชอบไม่ใช่หรือไง] เจ้า Ai รู้มากยังคงปากแจ๋วอยู่ในหูฟัง ราวกับเสียงมารที่คอยกระซิบข้างหู
"นี่ก็หมดกะนายแล้ว จะกลับบ้านยังไงล่ะ" เธอแสดงท่าทีเป็นห่วงออกมา
"ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณแบท เดี๋ยวรอให้พี่มิ้นกับพี่ศักดิ์มาเปลี่ยนกะก่อน คุณแบทจะได้มีเพื่อนยังไงล่ะครับ"
อันที่จริงผมควรจะกลับบ้าน ไปตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ใจจริงก็ร้อนรนกลัวจะไม่ทันรถไฟฟ้ารอบสุดท้ายตอนสามทุ่ม แต่ถ้าต้องปล่อยเธอเฝ้าร้านคนเดียวตอนกลางคืนแบบนี้ ผมยอมเดินอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
"ถ้างั้นเดี๋ยวพี่มิ้นมาให้ฉันไปส่งนะ ฝนตกแบบนี้จะมีรถไหมก็ไม่รู้"
[โอเคครับคุณแบท] เจ้าด็อครีบสอดขึ้นมาทันที
"เอ่อ....ไม่เป็นไรครับ จะเหนื่อยคุณแบทเปล่าๆ"
ทันทีที่สิ้นประโยค เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้มาตบบ่าผม ด้วยท่าทางที่ดูห้าวๆของเธอ
"นี่! พูดเหมือนพึ่งรู้จักกันงั้นแหละ"
นั่นน่ะสิ จริงๆเธอก็สนิทกับผมนะ เห็นจะมีแต่ผมนี่แหละที่ไม่สนิทกับเธอสักที
ลูกแบทหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูข้อความใหม่ ก่อนจะกล่าว "ถ้าไม่ให้ไปส่ง ก็ไปได้แล้ว พี่มิ้นอยู่แค่แยกไฟแดงนี่เอง"
[ได้ครับ ไปส่งถึงห้องเลยก็ได้ครับ]
ผมเม้มปากอยากจะด่ามันให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ทำไม่ได้ต่อหน้าสาวอย่างนี้
"ไม่เป็นไรครับ รอจนกว่าพี่มิ้นจะมาดีกว่า"
"ฉันบอกให้กลับบ้าน" เธอท้าวสะเอวทำท่าดุ "ไม่งั้นก็ไปส่ง....เอาไง?"
"อะ...โอเคครับๆ" ผมตอบอย่างปฎิเสธไม่ได้
ถึงแม้จะปฎิเสธตั้งหลายที แต่สัมภาระใต้เคาน์เตอร์ก็ถูกรวบเก็บเสร็จภายในไม่กี่วินาที '20.48 นาฬิกา' ผมบอกลาเธออย่างเช่นทุกวัน ก่อนจะเดินก้าววิ่งก้าวข้ามฝั่งถนนมา เพื่อมุ่งตรงไปยังสถานีรถไฟฟ้าราวๆ 300 เมตร
[เจ้านายนี่ไม่ได้เรื่องอีกแล้วนะครับ!]
"ใครมันจะไปจิตใจต่ำทรามเหมือน Ai ไม่สมประกอบอย่างแกละวะ"
[แหม่! เดี๋ยวอาทิตย์หน้าอัพเดตซอฟแวร์ พวกเขาก็ดึงผมกลับและเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่กว่าให้แล้ว ถึงตอนนั้นจะมาคิดถึงผมไม่ได้นะครับ]
ใจหายเหมือนกันเมื่อได้ยินอย่างนั้น ถึงจะกัดกันเป็นประจำแต่ด็อคก็อยู่กับผม 24 ชม. มาตลอด 1 ปีกว่าๆ
"นั่นสินะ นายคงอดไปกรุงเทพฯ กับฉัน"
[ผมน่ะไปได้ทุกที่นั่นแหละครับ แต่เจ้านายนั่นแหละถ้าไม่รีบกลับไปส่งพอร์ตก่อนเที่ยงคืนจะไม่ทันเอานะครับ]
เกือบลืมไปเลย ถึงจะหงุดหงิดกับการถามปุ้บจะเอาปั้บของมหาลัย แต่ก็หงุดหงิดอย่างเต็มใจ อีกแค่ก้าวเดียวเท่านั้นฝันของผมก็จะเป็นจริง
และ อีกก้าวเดียวเท่านั้นที่ผมจะถึงสถานีรถไฟฟ้า
พึบ!
[เจ้านายครับเป็นอะไรไหม]
"เห้ยระวังหน่อยสิวะไอเบื้อกเอ้ย"
ผมโดนชนจนหน้าขมำลงบนทางม้าลายที่น้ำเจิ่งนอง กลุ่มวัยรุ่นราว 4-5 คนที่สวมแมสก์ปิดบังใบหน้า พร้อมรอยสักบนผิวกร้านๆหันมาถ่มน้ำลายใส่ผม ขณะหันอุปกรณ์บางอย่างที่มีปลายแหลมมาตรงหน้า
"เดี๋ยวพ่อแทงให้ตับแตกเลย"
มันย่อตัวลงมา ก่อนจะเดินไปอย่างไม่สนใจใยดี น้ำที่กระเซนเข้าคอนแทคเลนส์ทำให้ทุกอย่างเบลอไปเพียงครู่
ปี้น!!!!!
รถเก๋งสีขาวที่พุ่งตรงมาเหยียบเบรคกระทันหัน จนรถคันหลังที่ตามมาชนท้ายเข้าอย่างจัง ให้พุ่งเข้ามาไกล้ร่างผมอีกเพียงคืบ
"วิล! เป็นอะไรไหม" เสียงของเจ้าของรถตะโกนออกมาในทันทีที่เห็นผม ล้มอยู่อย่างนั้น
ผู้หญิงที่ลงมาจากรถเข้ามาประคองผมค่อยๆลุกขึ้น ขณะที่คนขับหันไปโบกรถที่ต่อท้ายเพื่อระบายการจราจร เลือดสีแดงข้นที่ถูกเจือด้วยน้ำฝนไหลอาบศอกทั้ง 2 ข้าง
[ไอพวกเวรเอ้ย ถอดหูฟังซิเจ้านาย ถอดหูฟัง] ด็อคแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวออกมา จนถ้าเป็นเหตุการณ์ปกติคงสงสัยในความเป็น Ai ของมัน
"เจ็บไหมวิล มานี่ๆ" เธอพาผมเดินข้ามให้พ้นถนนมานั่งลงริมฟุตบาท ทุกอย่างยังคงเบลอไปกับสายฝน ไม่ว่าผมจะพยายามแค่ไหน ทัศนวิสัยก็ยังไม่ดีขึ้น ทางสุดท้ายผมจึงตัดสินใจถอดคอนแทคเลนส์ออกและโยนมันทิ้งไป
เหมือนได้สติกลับมา ถึงภาพจะไม่ชัด 100% แต่ก็ยังพอมั่นใจว่าใครเป็นใคร และ 2 คนที่ผมเห็นตรงหน้า คือพี่ ศักดิ์ และ พี่มิ้น คนที่ควรจะไปเข้ากะต่อจากผมเมื่อเกือบ 40 นาทีที่แล้ว
วินาทีนั้นลางสังหรณ์สั่งให้ผมควานสายตาหากลุ่มคนที่ชนผมซึ่งเดินสวนไปในทันที แต่บัดนี้พวกมันหายไปในความมืดของถนนใหญ่ที่ฝั่งตรงข้ามแล้ว อะไรบางอย่างกระซิบแผ่วเบาให้ผมตัดสินใจลุกวิ่งด้วยอาการเสียวสันหลังวาบ
"วิล จะไปไหน วิล"
[เจ้านายครับจะไปไหน คุณยังเจ็บอยู่]
ไม่ว่าใครก็ตกใจทั้งนั้นกับการกระทำของผม แต่สาเหตุที่ผมวิ่งกลับมาเพราะเรื่องที่น่าตกใจยิ่งกว่า ดวงไฟสีเหลืองฟุ้งที่พุ่งมาด้วยความเร็วตัดผ่านม่านหมอกของพายุที่พึ่งตกลงมาหนักอีกครั้ง คือสิ่งเดียวที่ผมพอจะระบุรถที่วิ่งบนถนน เพื่อกะจังหวะข้าม ภาวนาในใจ 'ขออย่าให้เป็นแบบที่คิดๆ'
บ่อยครั้งที่วิตกกังวลมากไป แต่สุดท้ายครั้งนี้กลับไม่ใช่เช่นนั้น สายตาผมพยายามปรับโฟกัสขณะที่ร้านสะดวกซื้ออยู่ห่างออกไปแค่ 1 เลนถนน
กลุ่มชายวัยรุ่นในเสื้อฮู้ดสีดำพร้อมอุปกรณ์ปกปิดตัวตน กำลังยื่นปืนจี้พนักงานของร้านสะดวกซื้อ ที่บัดนี้คือ ลูกแบท
ผมเร่งสปีดอย่างไม่คิดชีวิต 1ในพวกมันหันมามองผม อันเป็นจุดเด่นเดียวภายนอกร้านนี้ กระทั้งทุกคนในร้านหันมามองเป็นตาเดียวกัน จนละความสนใจจากตัวประกันที่อยู่ตรงหน้า
อีกแค่ก้าวเดียว.....
ปัง!
เม็ดฝนแต่ละเม็ดเคลื่อนตัวช้าเสียจนแทบจะไหลย้อนกลับ ทันทีที่เสียงปืนดังขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ ผมจ้องมองพวกมันที่กำลังจะสติแตก ขณะกระสุนลอยอยู่ในอากาศระหว่างปากกระบอกและร่างอันผอมบางของเธอ ทุกอย่างเงียบสงัดหยุดนิ่ง สายตาที่ดูอ่อนโยนแต่ก็เข้มแข็งอยู่ในที ยังคงมองมาที่ผม
[เจ้านายระวัง!]
เอี้ยด\~ โครม
แรงปะทะมหาศาลพุ่งกระแทกร่างของผม จนประสาทสัมผัสและความเจ็บปวดมลายหายไปในพริบตา ความดำมืดค่อยๆคลืบคลานภายในดวงตาที่ยังค้างจ้องไปที่เธอ
และผมก็ไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกต่อไป......
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 3
Comments