บทที่๒ คุณหนูใหญ่เปลี่ยนไป
3วันต่อมา เกวียนบรรทุกเสบียงอาหารและเครื่องนุ่งห่ม กว่า100เกวียน ได้เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวง โดยมีเสนาบดีกรมโยธาหวังเทียนชุน เป็นผู้รับหน้าที่นำเสบียงไปแจกจ่าย และซ่อมแซมเส้นทางสัญจรที่เสียหาย
แม่ทัพเสิ่นห่าว เป็นแม่ทัพรักษาการณ์ประจำเมืองหลวง ได้รับคำสั่งให้นำกำลังทหารกว่าห้าพันนาย คุ้มกันความปลอดภัย พร้อมทั้งคอยให้ความช่วยเหลือใต้เท้าหวัง จัดการกับปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในระหว่างการเดินทาง
ตลอดทางมีชาวบ้านจำนวนไม่น้อย ออกมายืนถือร่มท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย เพื่อรอส่งทุกคนที่ออกเดินทางกันในวันนี้
ขบวนอันยาวเหยียดเคลื่อนผ่านไปได้สักพัก หวังฮูหยินก็หันมากระชับผ้าคลุมขนสัตว์ให้กับบุตรสาว พร้อมกับช่วยเป่าลมใส่ฝ่ามือเล็กๆ ที่กำลังเย็นเฉียบ
บ่าวรับใช้ของฮูหยินช่วยกันประคองร่ม ระมัดระวังไม่ให้หิมะมาสัมผัสโดนผู้เป็นนาย
“หนาวมากหรือไม่อิงอิง” น้ำเสียงอ่อนโยนเจือไปด้วยความหนาวสั่น เอ่ยถามบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง หากไม่เพราะถูกใช้ลูกไม้ออดอ้อนออเซาะให้พาออกมา นางก็คงไม่นำลูกที่เพิ่งจะหายป่วย ออกมาต้องลมหนาวเช่นนี้แน่
หวังเยว่อิงมองการกระทำของมารดาตาแป๋ว พลางคิดในใจว่าถ้าหากในชาติที่แล้ว นางไม่แท้งลูกเสียก่อน บางทีนางก็อาจจะได้ทำเช่นนี้เหมือนกับมารดาก็เป็นได้
ผู้เป็นแม่ยามเห็นลูกน้อยมองมาด้วยแววตาใสซื่อ ที่รับกับใบหน้าขาวนวลเนียนน่ารักน่าเอ็นดูนั่นแล้ว ก็ทำให้หัวใจแทบละลายน้ำได้ จนอดใจไม่ไหวยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มหอมกรุ่นทั้งซ้ายทั้งขวา
ฟอด ฟอด
“ชื่นใจของแม่”
คนตัวเล็กทำตาโต หลังจากนั้นก็เม้มปากเข้าหากัน ก้มหน้าลงต่ำด้วยอาการขัดเขิน
ถึงจะอย่างไรนางก็เคยเติบโตเป็นผู้ใหญ่มาก่อน แม้จะได้กลับมาเป็นเด็กอายุ8หนาวอีกครั้ง ก็ย่อมต้องมีความเขินอายเป็นธรรมดา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการกระทำดังกล่าวทำให้รู้สึกดีอยู่ไม่น้อย
นานแค่ไหนแล้วนะที่นางไม่เคยได้สัมผัสกับมัน หากจำไม่ผิดก็คงเป็นตอนที่นางสูญเสียท่านแม่กับน้องชายไปตลอดกาล
เพราะแบบนี้ซินะ ที่ทำให้ส่วนลึกในใจโหยหาความรัก ความเอาใจใส่มาโดยตลอด แต่ก็ไม่เคยได้รับเลยสักครั้ง
ช่างเถอะเรื่องมันผ่านมาแล้ว และตอนนี้นางก็ได้สัมผัสกับมันอีกครั้ง ส่วนที่ขาดหายได้ถูกเติมเต็มแล้ว
ผิวแก้มขาวๆ เริ่มมีริ้วสีแดงๆ พาดผ่าน เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ได้เป็นอย่างดี
“รู้จักเขินอายเช่นนี้ ลูกแม่คงโตเป็นสาวแล้วสินะ”
หวังเยว่อิงพยักหน้าหงึกๆ หลบสายตาล้อเลียนของทุกคน
“เอาล่ะๆ แม่ไม่ล้อเจ้าแล้ว รีบกลับกันเถอะ หิมะเริ่มตกหนัก ไม่ควรอยู่นานนัก กลับไปถึงจวนแม่จะต้มนมอุ่นๆ ให้ดื่ม”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่”
กลับมาถึงเรือนใหญ่ หวังเยว่อิงก็ถูกมารดาจับเช็ดเนื้อเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่น ระหว่างรอให้สาวใช้ไปนำชุดใหม่มาให้ มารดาก็นำผ้าห่มผืนใหญ่ ที่ทั้งหนาและนุ่มมาห่อตัวนางเอาไว้ ดูคล้ายกับขนมบ๊ะจ่างอย่างไรอย่างนั้น
“จุดเตาเพิ่มอีกหน่อย อากาศเย็นนัก เดี๋ยวคุณหนูจะล้มป่วยไปอีกหน”
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน”
หลังสั่งงานเสร็จ จางซือหรือหวังฮูหยินก็ได้ปลีกตัวไปยังห้องครัวที่อยู่ด้านหลัง เพื่อที่จะต้มน้ำนมวัวให้บุตรสาวดื่ม
โดยปกติแล้วจวนแห่งนี้จะมีโรงครัวใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลนัก มีแม่ครัวและผู้ช่วยประจำอยู่ทั้งหมด5คน คอยผลัดกันทำอาหาร แล้วส่งไปยังเรือนต่างๆ แต่ทว่ารสชาติไม่ค่อยถูกปาก
ตั้งแต่นางแต่งเข้าสกุลหวังได้เพียงไม่กี่เดือน ก็แจ้งกับสามีว่าต้องการแยกครัวทำอาหารกินเอง
เมื่อแม่สามีรู้เข้าก็ออกอาการไม่พอใจ กระแหนะกระแหนว่าลูกสะใภ้เป็นสตรีเรื่องมาก และยังทำตัวแบ่งแยกไม่เห็นหัวผู้หลักผู้ใหญ่
ในคราวนั้นก็เลยไม่ได้ทำอาหารกินเอง จนกระทั่งพ่อสามียกตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลหวังให้แก่บุตรชายคนโต ทว่าพี่สามีปฏิเสธเพราะต้องย้ายไปประจำอยู่ทางใต้กับภรรยา ส่วนพี่สามีคนรองก็ไม่ต้องการ หน้าที่นั้นเลยตกมาเป็นของบุตรชายคนเล็ก
เมื่อสามีได้ขึ้นเป็นนายท่านใหญ่ของสกุล ผู้เป็นภรรยาเอกก็มีศักดิ์ฐานะตามไปด้วย
จากที่เมื่อก่อนจะถูกเรียกขานว่าฮูหยินสาม ก็กลายมาเป็นหวังฮูหยิน
เมื่อได้ย้ายมาอยู่ที่เรือนใหญ่แทนพ่อและแม่สามี หลังจากนั้นนางจึงได้สั่งให้ช่างมาต่อเติมห้องครัวขึ้นทางด้านหลัง ในทุกๆ วันจะทำอาหารกินเอง โดยไม่แตะต้องอาหารที่โรงครัวแม้แต่มื้อเดียว
เหตุการณ์ในครั้งนั้น นับว่าสร้างความไม่พอใจให้แก่แม่สามีหรือฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ไม่น้อย แต่อีกฝ่ายก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะอำนาจดูแลจัดการเรื่องต่างๆ ภายในจวน ถูกยกให้เป็นหน้าที่ของภรรยาผู้นำตระกูลคนต่อไป
หลายปีมานี้นางรู้ดีว่า ที่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่กล้ายื่นมือเข้ามายุ่งวุ่นวาย นั่นเป็นเพราะเกรงกลัวต่อเหล่าผู้อาวุโสของสกุลหวัง ซึ่งคนเหล่านี้เคยเป็นคนสำคัญที่นำพาตระกูลให้เจริญรุ่งเรืองทั้งสิ้น และยังมีอำนาจในการตัดสินโทษของผู้ที่กระทำผิดกฎ โดยที่ไม่ต้องรอถามความเห็นของผู้นำตระกูลแต่อย่างใด
แต่ยามนี้ค่อนข้างน่าหวั่นใจนัก เพราะผู้อาวุโสล้มหายตายจากไปทีละคน คนที่ยังมีชีวิตก็ไม่ได้พำนักอยู่ที่นี่ ส่วนพ่อสามีก็ยังไม่กลับมา ฮูหยินผู้เฒ่าอาจฉวยโอกาสนี้สร้างปัญหาให้นางก็เป็นได้
“ฮูหยินเจ้าคะ” เสียงเรียกจากทางด้านหลัง ทำให้คนที่กำลังจมอยู่ในภวังค์ถึงกับสะดุ้ง
“ตายจริง ข้ามัวแต่คิดอะไรเพลินไปหน่อย เจ้าช่วยจุดเตาให้ข้าที แล้วเปิดถังไม้ตรงนั้น เทน้ำนมใส่ลงไปในหม้อดินเผา ที่เหลือข้าจะจัดการเอง”
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน”
ผ่านไปไม่ถึง2เค่อ ร่างในอาภรณ์สีเขียวอ่อน ก็กลับออกมาพร้อมกับนมวัวต้มสุกแก้วใหญ่ แต่ในทันทีที่มาถึงห้องโถงรับรองแขก สายตาก็ปะทะเข้ากับร่างเล็กของหวังเยว่อิง ซึ่งกำลังนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นด้วยอาการหนาวสั่น เมื่อเลื่อนสายตาไปมองอีกฝั่ง ใบหน้าอ่อนโยนก็เปลี่ยนเป็นเรียบเฉย
คนพวกนี้คงอยากให้นางร้ายกาจให้ได้เลยสินะ
มือขาวสะอาดซ่อนกำหมัดเอาไว้ภายใต้แขนเสื้อ พลางกวาดสายตามองคนของตัวเอง ที่กำลังถูกคนของอีกฝ่ายคุมเชิงอยู่ไม่ไกล ถึงว่า..ไม่มีใครไปรายงานให้นางทราบ
ดูเหมือนคนเรือนโน้นชักจะเหิมเกริมเกินไปแล้ว
ร่างระหงเดินเข้าไปอย่างใจเย็น ก่อนจะทำความเคารพแม่สามีตามมารยาท “คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ” คำนับพอเป็นพิธีเสร็จ ก็แสร้งเอ่ยถาม ราวกับไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย “ไม่ทราบว่ามีอันใดกันหรือเจ้าคะ” ในขณะที่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย มือก็ยื่นไปจับต้นแขนของบุตรี ฉุดดึงให้ลุกขึ้นมาจากพื้น รั้งร่างที่กำลังหนาวสั่นเข้าหาตัวเอง พร้อมกับใช้มือโอบบ่าน้อยๆ เอาไว้
“เฮอะ ยังจะมีหน้ามาถามอีก ไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นคนตัดเบี้ยหวัดของลูกสะใภ้กับหลานข้าหรอกหรือ พอเทียนชุนไม่อยู่ก็ออกลายเป็นสตรีใจแคบ ไม่เห็นหัวหงอกเช่นข้าอยู่ในสายตาแล้วสิ”
จางซือฟังคำพูดแม่สามีแล้วขมวดคิ้วเข้าหากัน หากมาเพียงเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไยต้องให้หลานสาวคนโตไปคุกเข่ากับพื้นเย็นๆ ด้วยล่ะ รู้ทั้งรู้ว่าเด็กน้อยเพิ่งจะหายป่วย เสี่ยงต่อการกลับมาป่วยอีกรอบ
ในระหว่างที่ขบคิดอยู่นั้น เสียงเล็กๆ ก็ดังขึ้นเบาๆ “ท่านแม่ ข้าหนาว”
ฮูหยินผู้เฒ่าที่กำลังอ้าปากเพื่อที่จะสาดคำพูดแรงๆ ใส่สะใภ้ที่ตนไม่ปลื้ม มีอันต้องหุบปากฉับ
น้ำเสียงและสีหน้าซีดเซียวของหลานคนโตที่เกิดจากบุตรชายคนเล็ก ทำให้ใจของหญิงชราไหววูบ เกิดความรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ ที่สั่งให้เด็กน้อยออกมานั่งคุกเข่ากับพื้น แต่พอหันไปมองเด็กหญิงอีกคน ที่กำลังนั่งซุกใบหน้าราวกับหวาดกลัวอยู่ในอ้อมอกของลูกสะใภ้คนโปรด ความรู้สึกไม่พอใจก็เข้ามาแทนที่
“เพียงคุกเข่าไม่นานเจ้าก็ออกอาการแล้วหรือ ทีแกล้งน้องให้ไปนั่งตากหิมะกว่า1ชั่วยาม ไม่คิดบ้างว่าเหมยเอ๋อร์จะหนาวเหน็บสักแค่ไหน” น้ำเสียงในตอนท้ายสั่นเครือ เพราะยังรู้สึกสะเทือนใจไม่หาย
หวังฮูหยินเตรียมอ้าปากจะแก้ต่างให้บุตรสาว ก็ถูกฝ่ามือเล็กกระตุกชายกระโปรงเข้าเสียก่อน ต่อจากนั้นหวังเยว่อิงก็ทำในสิ่งที่ใครหลายคนไม่คาดฝันมาก่อน
ร่างบอบบางราวกับตุ๊กตากระเบื้อง เดินหน้าขึ้นไปสามก้าว กระแทกหัวเข่าลงกับพื้นที่ค่อนข้างเย็นจัด โขกศีรษะสามครั้งเพื่อขอขมาญาติผู้ใหญ่
“หลานขออภัยเจ้าค่ะ ที่เกิดเหตุการณ์อย่างนั้นขึ้น”
จางซือเห็นรอยแดงบนหน้าผากของบุตรสาว หัวใจของคนเป็นมารดาแทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แต่ก็ต้องข่มใจไม่เข้าไปขวางในสิ่งที่อิงอิงน้อยกำลังจะทำ
“แต่ว่า..แต่ว่าวันนั้น เป็นน้องรองกับสาวใช้ เป็นฝ่ายมาหาหลาน แล้ว แล้วก็” หวังเย่วอิงพยายามกลืนก้อนสะอื้นลงคอ เพื่อที่จะบอกเล่าความจริงให้ผู้เป็นท่านย่าฟัง
ฮูหยินผู้เฒ่ามองไปที่หลานวัย8ขวบ ด้วยความตระหนก ท่าทางอวดดีอวดเก่งและนิสัยดื้อดึงมันหายไปไหนเสียแล้ว เหตุใดวันนี้จึงเห็นเพียงดรุณีน้อยที่แสนจะบอบบางได้เล่า
“พวกเขาแอบพากันเข้าไปที่ศาลาส่วนตัวของหลาน ….” ถ้อยคำเจือสะอึกสะอื้น ทำให้หลายคนที่ได้ฟังไม่กล้าขยับตัว ต่างมองไปที่คุณหนูใหญ่ด้วยความรู้สึกหลากหลาย
เด็กหญิงได้บอกเล่าถึงเรื่องราวในวันนั้น อย่างละเอียด เริ่มตั้งแต่ที่ตนเองมาได้เห็นและได้ยินบทสนทนาของพวกนางทั้งสอง
“คุณหนูเจ้าขา เห็นหรือไม่ว่าศาลารับลมที่เรือนคุณหนูใหญ่ ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย”
“มีของเล่นเยอะเลยนี่น่า ข้าอยากได้ อ่านั่นไงตุ๊กตาตัวนั้น ข้าจำได้ว่าพี่ใหญ่ชอบพกติดตัวตลอด” ร่างเด็กหญิงในชุดสีขาวปักลายโบตั๋น วิ่งขึ้นไปคว้ามันมาถือเอาไว้ “แต่ข้าไม่ชอบหน้าตาของมัน ต้องเติมสีลงไปหน่อยนึง”
“นังเด็กบ้า อย่ามายุ่งกับตุ๊กตาของข้านะ ปล่อยมือเดี๋ยวนี้” หวังเยว่อิงตะโกนบอกน้องสาวต่างแม่ ด้วยน้ำเสียงโกรธจัด ที่เห็นอีกฝ่ายกำลังใช้พู่กันจุ่มน้ำหมึกในถาดฝนหมึก ที่นางฝนหมึกทิ้งเอาไว้แล้วลืมสั่งให้คนมานำไปเก็บ ก่อนจะนำไปละเลงจนทั่วทั้งใบหน้าของตุ๊กตาตัวโปรด
“ข้าชอบ ให้ข้าเถอะนะ” เด็กหญิงกล่าวตาใส มือก็ยังไม่การกระทำดังกล่าว
“ข้าไม่ให้ เอามานี่มา” เด็กหญิงวิ่งเข้าไปยื้อยุดสิ่งของของตนเองกลับคืน แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมปล่อย ออกตัววิ่งฝ่าหิมะที่กำลังโปรยลงมา
และต่อจากนั้นก็กลายเป็นเหตุการณ์ชุลมุนอย่างที่ทุกคนเห็น แล้วก็พากันเข้าใจไปต่างนานาว่านางกลั่นแกล้งน้องรอง
หลังเล่าความจริงให้ฟังจนจบ ผู้มีศักดิ์เป็นย่าถึงกับหันไปทางหวังเลี่ยงเหมย และสาดสายตามองไปยังพี่เลี้ยงของหลานรัก
“เป็นความจริงรึ”
“มะ..ไม่จริง ไม่จริง เจ้าค่ะ”
“เจ้ากำลังจะบอกว่าบุตรีของข้าโกหกรึ นางเป็นเพียงแค่เด็กวัยไม่ถึง10ขวบเองนะ”
คราวนี้เป็นจางซือที่ออกโรงปกป้องหวังเยว่อิง เป็นการบอกทุกคนเป็นนัยๆ ด้วยว่าลูกสาวของตนเองก็ยังเด็กนักเหมือนกัน ทำให้พี่เลี้ยงคนดังกล่าวถึงกับตกใจจนพูดสิ่งใดไม่ออก ได้แต่นั่งอ้ำๆ อึ้งๆ
ไม่ต่างกับคนอื่นๆ พอได้คิดตามคำพูดของหวังฮูหยิน ก็ได้เห็นความจริงว่าคุณหนูใหญ่เกิดก่อนคุณหนูรองเพียงแค่2ปีเอง ถือว่ายังเด็กด้วยกันทั้งคู่
หลายสิ่งที่ทำให้ทุกคนมองข้าม อาจเป็นเพราะว่านิสัยของคุณหนูใหญ่เอาแต่ใจอย่างร้ายกาจ เย่อหยิ่งจนหลายคนเห็นเป็นภาพชินตา เทียบกับวันนี้แล้วนั้นดูต่างกันโดยสิ้นเชิง
คุณหนูใหญ่เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ที่สำคัญนางก็เป็นแค่เด็กหญิงคนหนึ่งเท่านั้นเอง
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments