ทีมปล้นขมังเวทย์ : วันดียึดนรก A Good Day To HellJacking
เมื่อกาลนานไกล ครั้งที่กลางวันและกลางคืน ผืนดินและผืนฟ้ายังรวมเป็นหนึ่ง ก่อนที่เสียงพระบัญชากัมปนาทกึกก้องจะร้องลั่นสั่นสะเทือนแผ่รัศมีเกิดขึ้นเป็นเอกภพอย่างที่มันเป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าชั่วกัลป์ชั่วกัล วินาทีแรกที่ทุกอย่างก่อตัวขึ้นจากความว่างเปล่า มันได้สร้างสภาวะอันเป็นเอกภาพจากทุกสิ่ง
สภาวะหนึ่งเดียวที่ขับเคลื่อนจักรวาลให้อยู่ใต้อาณัติของมันมาช้านาน สภาวะอันทรงพลัง งดงาม หดหู่ และ น่าสยดสยอง สภาวะที่หยิบยื่นความเป็นไปได้ที่ไม่รู้จบให้จักรวาล และ หนึ่งในนั้น คือ มนุษย์ สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญา ที่เต็มไปด้วย ความโลภ กิเลศ และ ตัณหา แต่ก็ยังเต็มเปี่ยมด้วยความรัก ความเมตตา และ ความดีงาม สิ่งที่เป็นดั่งภาพสะท้อนของเอกภาวะนี้อย่างตรงไปตรงมา
ความจริงมีเพียงสิ่งนี้ หากแต่มนุษย์ซึ่งเปรียบเสมือนนายช่าง อันมีความเชื่อเป็นเบ้าหลอม และ มีความศรัทธาเป็นค้อนตี ลงมือสรรสร้างปรุงแต่งวัตถุดิบจากบรรพกาล นับตั้งแต่เปลวไฟดวงแรกถูกจุดขึ้นด้วยสติปัญญา และเมื่อมันเย็นตัวลง โลกใบนี้ก็ปรากฎสิ่งประดิษฐ์ที่ไร้เทียมทานที่สุดในจักรวาล
บ้างใช้มันเพื่อสร้างความรัก บ้างใช้มันเพื่อก่อความสันติสุข บ้างใช้มันเพื่อลงดาบประหาร บ้างใช้มันในการทำสงครามและการปกครอง ในขณะที่มนุษย์ผู้เย่อหยิ่งทนงในสติปัญญาอันต่ำต้อย ทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นไปด้วยแรงดลบัลดาลของเอกภาวะบรรพกาล
มนุษย์เอ่ยขานถึงตำนานมากมายที่เชื่อมโยงถึงสิ่งนี้โดยไม่รู้ตัว นับตั้งแต่เทพเจ้า จอมปีศาจ ผี ไปจนถึง คำสาปนานับประการ
ในยุคสมัยของมัน โลกอาบข้นไปด้วยพลังของเวทย์มนต์อันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เอกลักษณ์ของมันที่สัมผัสได้ด้วยผัสสะของมนุษย์ มันคลืบคลานอยู่ทุกซอกลืบ ซ่อนเร้นโยงใยดั่งเครือข่ายที่มองไม่เห็น ปกครองโลกด้วยกิเลศเป็นตัวขับเคลื่อน
จนกระทั่ง 2600 ปีก่อน การมาถึงของอีกสภาวะแห่งจักรวาลก็อุบัติขึ้นในร่างของมนุษย์ ชายผู้ทรงสติปัญญาเหนือคนทั้งมวล ชายผู้เป็นอีก หนึ่งความเป็นไปได้ที่จักรวาลมอบให้ มนุษย์รู้จักชายคนนี้ในชื่อ 'พระสัมมาสัมพุทธเจ้า' ผู้ที่จะนำเหล่าสัตว์ทั้งมวล ให้หลุดพ้นจากเงื้อมมือของมัน ผู้ที่เห็นตัวตนของมันอย่างแท้จริง และนามของมันก็ถูกกำหนดอย่างเฉพาะเจาะจงเป็นครั้งแรกในครานั้น
अम्पक (อัมพะกะ) คือชื่อแรกที่ปรากฎขึ้นเพื่อระบุการมีอยู่ของสิ่งนี้ อานุภาพของมันยิ่งใหญ่จนแม้แต่ องค์ศาสดา ก็อยู่ภายใต้อำนาจของมันอย่างเลี่ยงไม่ได้ พระองค์รู้ดีถึงฤทธิ์เดชของอสูรตนนี้เป็นอย่างดี ตลอดระยะเวลาก่อนการตรัสรู้ พระองค์จึงมุ่งเน้นหาวิธีที่จะหลุดจากอำนาจของมัน
และเมื่อ เช้ามืดวันพุธ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา ก่อนพุทธศักราช 45 ปี ปาฎิหาร์ยก็เกิดขึ้น พระองค์ค้นพบหนทางที่จะหลุดพ้นจากจอมอสูรตนนี้ และเผยแพร่มันออกไปยังผู้คนที่ศรัทธา แต่ทว่าก็ไม่ใช้เรื่องง่ายเลยสำหรับปุถุชน ที่อยู่ในโลกอันเข้มข้นไปด้วยเวทย์มนต์ ไสยศาสตร์ และ ความโลภ อันไม่สิ้นสุด
พระพุทธเจ้า จึงจำต้องใช้ฤทธิ์ของพระองค์ในการจองจำปีศาจตนนี้ไว้ในศิลาแก้ว และตรัสรับสั่งกับเหล่าสาวกว่า หากพระองค์ยังอยู่ ปีศาจตนนี้จะมีพละกำลังที่อ่อนลงไป ความโลภ และ ไสยเวทย์ จะเสื่อมลง จนแทบมลายสิ้น เมื่อถึงวันที่พระพุทธองค์เสด็จปรินิพาน เพื่อกดพลังชั่วร้ายนี้เอาไว้ ให้เก็บมันไว้เคียงคู่กับ พระผาสุกัฐิ (กระดูกซี่โครง) ของพระองค์ ในดินแดนที่พุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองที่สุด และด้วยบารมีของพระองค์จะดึงผู้ศรัทธา มาสวดพุทธคุณเพื่อกดพลังนี้เอาไว้ไม่ให้ขาดแม้แต่ยามเดียว
นับตั้งแต่วันนั้นพระองค์ได้ตรัสสั่งสาวก ไม่ให้ส่งต่อนามของจอมมารให้ผู้ศรัทธาคนใดอีก ลบจากการบันทึก และตีแผ่ออกไปราวกับว่าไม่เคยมีจอมมารตนนี้ เพราะเพียงมีบุรษสตรีคนใดที่นึกถึง เอ่ยถึง โดยมีจุดประสงค์ถึงอัมพะกะ แม้เพียงชั่วขณะจิต เสี้ยวลมหายใจ นั่นเท่ากับว่าได้มอบพลังให้มันอย่างมหาศาล
‘ดูกรอานนท์ อัมพะกะ เป็นส่วนหนึ่งของสังสารวัฎ อันไม่จบสิ้น การจะกำจัด อัมพะกะ นั้น เปรียบเสมือนบุรุษคว้ามีดหมายเอาเพียงด้านคมมาเถือเนื้อที่ตากอยู่ โดยไม่หมายเอาด้านสันมีดติดมาด้วย ฉันใดก็ฉันนั้น เมือภพชาติเกิดขึ้นแล้ว อัมพะกะ ย่อมมีขึ้นจากความไม่มี หนทางเดียวในการเอาชนะ อัมพะกะ คือการวางภพชาติไว้ด้วยธรรมของเรา’
’ดูกรอานนท์ จงอย่าวางใจเชื่อ ว่าการจองจำที่เราทำอันเกิดเป็นกรรมของเรา จะหมายจองจำปีศาจไปชั่วกัลป์ชั่วกัล เมือใดที่มนุษย์มีที่พึ่งเป็นความโลภ มีกิเลศเป็นสรณะ เมื่อนั้นจอมปีศาจจะหลุดพ้น อันเป็นธรรมชาติของเขา’
‘ดูกรอานนท์ จากนี้จนสิ้นพุทธกาล เพียงมีธรรมเราเป็นที่พึ่ง มีธรรมเราเป็นสรณะ ก็เพียงพอแล้วที่จะเอาชนะจอมปีศาจ โดยไม่ต้องรู้ถึงการมีอยู่ของมัน’
นับแต่วินาทีนั้น ชื่อของ อัมพะกะ ก็ค่อยๆ เลือนหายไป จากหน้าประวัติศาสตร์ หลักฐานของการมีอยู่มีเพียง ร่องรอยกิเลศที่ฟูมฟักในจิตใจมนุษย์ นำมาซึ่งอำนาจ ปัญญา ศาสตราวุท เข้าห่ำหั่นกันเยี่ยงสัตว์ป่า แม้ว่าต้นเหตุของความชั่วร้ายจะถูกจองจำก็ตาม
ศิลาแก้วถูกส่งต่อไปหลายที่ในประวัติศาสตร์ ทุกที่ที่มันไป หากไม่ใช่สถานที่ที่ผู้คนยึดมั่นในศีลธรรม และ พระธรรมของพุทธองค์ ขาดการสวด การปฎิบัติ อย่างต่อเนื่อง สถานที่นั้นก็จะเกิดเหตุอาเพศ สงคราม ไสย์เวทย์ มนต์ดำจะเจริญรุ่งเรือง ผู้คนจะมีจิตเสื่อมถอย และ ลางร้ายนานับประการ
จนกระทั่งมันเดินทางมาถึงดินแดนสุวรรณภูมิ ขณะที่พุทธศาสนากำลังแผ่ขยายมาถึงอาณาจักรฟูนัน กษัตริย์องค์ที่สามแห่งอาณาจักรได้สร้างเจดีย์หินครอบพระธาตุ และ ศิลาแก้วไว้ เจดีย์ขนาดใหญ่ที่ถือได้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ในช่วงเวลานั้น คาถาอาคม คำสาป เวทย์มนต์ ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอุปสรรคไม่ให้ใครเข้าถึงศิลาแก้วโดยง่าย และยึดเจดีย์นี้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิคู่บ้านคู่เมือง ในการสักการะ พระผาสุกัฐิ (กระดูกซี่โครง) ของพุทธองค์
แต่แม้กระนั้นก็มิอาจต้านทานฤทธิ์ของจอมปีศาจ มันได้สร้างสงคราม การล่มสลาย ครั้งแล้วครั้งเล่า ดินแดนแถบนั้นเจริญรุ่งเรืองในเรื่องไสยเวทย์ มนต์ดำ ยาวไปจนสุดฝั่งตะวันออก ประชาชนตกเป็นทาส และ อยู่อย่างทุกข์ทรมาน หากแต่ว่าด้วยพลังอำนาจ มันได้ดลบัลดาลให้ขุมทรัพย์จากผู้คนทั่วทุกสารทิศ มารอยู่ภายในเจดีย์แห่งนี้โดยอาศัยความศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างหน้ามืดตามัวของผู้คน เพื่อหมายให้ ผู้ที่มีกิเลศตัณหาครอบงำจิตใจ หาทางพิชิตขุมทรัพย์นี้ และ ปลดปล่อยมันอย่างไม่ตั้งใจ และ
ตำนานเหล่านี้ค่อยๆเลือนไปจากประวัติศาสตร์ แต่ทว่าชื่อของอัมพะกะมิได้หายไปโดยสิ้นเชิง มันถูกส่งต่อโดยผู้นอกรีต นักเล่นแร่แปรธาตุ ในภาพลักษณ์และประวัติที่แตกต่างกันออกไป แต่ทั้งหมดจะสื่อถึงเทพเจ้าที่มอบสติปัญญา ความยิ่งใหญ่ สิ่งประดิษฐ์ เวทย์มนต์ และ ธรรมชาติในอีกมุมมองที่ต่างออกไปจากพุทธศาสนา ชื่อของมันถูกแปลไปในหลายภาษา เช่น གདྨ་ཕ་ (ดรัคฟา) ในภาษาทิเบต และ שַׁדוּר (ชาดูร์) ในภาษาฮีบรู
เมื่อถึงครานั้น โลกบรรพกาลจะกลับมาอีกครั้ง.........
———————————————————————
ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ต่อมามีสัตว์ผู้หนึ่งเป็นคนโลนพูดว่า
ท่านผู้เจริญทั้งหลายนี่จักเป็นอะไร แล้วเอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้มดู เมื่อเขาเอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้มดูอยู่
ง้วนดินได้ซาบซ่านไปแล้ว
เขาจึงเกิดความอยากขึ้น
พระไตรปิฎกไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๑ สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค หน้า ๖๕ [๕๕]
...ปัจจุบัน...
“จะเห็นได้ว่า จากแผ่นจารึกเหล่านี้มีความแตกต่างเกิดขึ้นอย่างชัดเจน “
หญิงสาววัย 30 ต้นๆ โบกสะบัดเลเซอร์ในมือขณะชี้มันไปบนโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ที่ปรากฎรูปส่วนที่แตกออกของแผ่นหินสีแดงอมเทา รอยสลักบนนั้นถูกเรียบเรียงคล้ายตัวหนังสือ ที่ผ่านกาลเวลามานับหลายร้อยปีจากร่องรอยการสึกกร่อนแตกร้าว
ท่าทีของเธอเต็มไปด้วยความมั่นใจ ผิวขาวนวลที่ดูละมุนของเธอส่งผลให้เธอดูอ่อนกว่าวัยอยู่มาก หากแต่ดวงตาที่มีประกายแห่งความจริงจังขึงขังและอริยาบถต่างๆ เป็นสิ่งที่น้อยคนนักจะมีในวัยนี้ ผมสั้นดัดเป็นลอนอย่างหลวมๆ ถูกย้อมด้วยสีเทาอ่อนเพิ่มวอลลุ่มความน่าค้นหาได้เป็นอย่างดี
ท่ามกลางห้องสีเหลี่ยมจัตตุรัสขนาดใหญ่ที่มีที่นั่งคล้ายอัฒจรรย์รายล้อมขึ้นไปเป็นขั้นบันได นักศึกษาราว 50คน กำลังจดจ่อกับสิ่งที่ถูกแสดงอยู่เบื้องหน้า การค้นพบในจังหวัดบุรีรัมย์ที่อาจเปลี่ยนความเข้าใจแบบเดิมๆ และ มุมมองที่มีต่อศาสนาพุทธ
” ในคำสอนแบบดั้งเดิม เราเคยเข้าใจว่า เมื่อพรหม เกิดความอยากที่จะลองลิ้มรสของง้วนดิน และ ตอบสนองต่อความอยากนั้น นั่นคือครั้งแรกที่กิเลสเกิดขึ้น และค่อยๆ เปลี่ยนสถานะของพรหมมาเป็นสัตว์ซึ่งอาจเป็นต้นกำเนิดมนุษย์ในคติพุทธ “
หญิงสาวกดเลื่อนสไลด์
” แต่การค้นพบครั้งนี้บอกเราว่า มีคนบางกลุ่มที่เชื่อว่ากิเลศนั้นไม่สมเหตุผลที่จะเกิดในพรหม จะต้องมีตัวแปรบางอย่างที่หยิบยื่นความต้องการเหล่านี้ให้ “
” เหมือนงูในสวน เอเดน “นักศึกษาคนหนึ่งที่แถวหน้าสุดยกมือขึ้นแทรก หญิงสาวหันมามองหน้าเขาขณะหยุดพูด
” อื้ม…ก็ไม่เชิง “ หญิงสาววางเลเซอร์ในมือลงบนโต๊ะ “แต่ก็น่าสนใจมากๆ” เธอเหลือบตามองภาพแผ่นหินบนโปรเจคเตอร์และค้างอยู่อย่างนั้นราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง จนทุกอย่างเงียบสงบหยุดนิ่ง
กริ้ง!!!!!
เสียงแหลมแหบอันเป็นสัญญาณการหมดเวลาดังขึ้น ดึงให้หญิงสาวหลุดออกจากภวังค์ ก่อนจะหันมาทางนักศึกษาที่กำลังเก็บโน๊ตบุ๊ค และ อุปกรณ์การเรียนลงกระเป๋าอย่างคล่องแคล่ว เสียงกระดาษที่ถูกพลิกและกล่องดินสอที่ปิดยิ่งเพิ่มความมีชีวิตชีวาหลังจากห้องนี้เงียบอยู่นานนับชั่วโมง
“อย่าลืมรายงานเรื่องนี้ด้วย ไอเดีย แนวคิด ที่พวกเธอมี เราจะมาวิเคราะห์กันในครั้งหน้า” หญิงสาวรีบกล่าวในขณะที่นักศึกษาเริ่มเดินออกจากห้อง ก่อนจะหันไปเก็บสัมภาระบนโต๊ะ
“ผมได้คำตอบแล้ว ว่าระหว่างงานวิจัยกับการสอนคุณชอบอะไรกันแน่”
ชายหนุ่มในชุดสูทที่ดูมีเสน่ห์ เดินเข้ามาโดยที่เธอไม่ทันรู้ตัว ความภูมิฐานคือสิ่งแรกที่ปรากฎออกมาจากชายวัย 40 ต้นๆ พร้อมท่าทีที่แสดงถึงความมั่นใจและประสบการณ์ สูทสีเข้มที่ตัดเย็บอย่างดีเขากันก้บเนคไทสีแดงเข้ม เสริมด้วยนาฬิกาข้อมือหรูหราและรองเท้าหนังที่เงาวับ
หญิงสาวหันมามองที่มาของเสียงผ่านไหล่ของเธอ ก่อนจะเม้มปาก เหลือบตามองบน ให้ชายที่เธอคุ้นเคย
“พวกเขาเป็นเครื่องมือในงานวิจัยของคุณสินะ” ชายหนุ่มผายมือไปทางนักศึกษา
หญิงสาวไม่ได้สนใจนัก ขณะเก็บสัมภาระของเธอต่อไป “ฉันแค่อยากให้พวกเขาได้คิดวิเคราะห์ คนหนุ่มสาวพวกนี้มีมุมมองที่แตกต่างเสมอ” เธออุ้มโน็ตบุ๊คไว้บนแขนข้างหนึ่ง ก่อนจะหันมาเห็นชายหนุ่มยืนเงยหน้ามองภาพที่แสดงอยู่บนโปรเจ็คเตอร์
“ไม่อยากจะเชื่อ ว่าที่นี่ยังใช้โปรเจคเตอร์”
“คงเป็นเพราะ….คนแบบพวกคุณ เข้าใจว่าคนที่เลือกเรียนคณะนี้ จะชอบของเก่าไปซะหมด “ เธอยิ้มแค่นๆ
“ไม่เอาน่าคุณรฐา อย่ามองผมแบบนั้น พวกเขาอยากให้ผมมาคุยกับคุณ เกี่ยวกับงานนี้ “
” ยังไม่มีอะไรคืบหน้า เดี๋ยวฉันจะติดต่อไปละกันนะ “ หญิงสาวเบือนหน้าหนี ตอบสวนไปแทบจะทันที
” มันเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ ให้ผมเลี้ยงข้าวคุณระหว่างที่เราคุยกันดีไหม “ เขาพยายามยื้อ
” ไม่เป็นไร ขอบคุณ ฉันมีสอนต่อช่วงบ่าย “ เธอเดินสวนออกไป อย่างไม่สนใจ จนชายหนุ่มต้องเบี่ยงตัวหลบ
” เซนโช! เป็นไง? “เสียงของชายหนุ่มดึงให้รฐาหยุดกึก ก่อนจะก้าวลับออกไปที่มุมประตูห้องเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด หญิงสาวนิ่งครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ถึงแม้จะเลิกลากันไปนานแล้ว แต่ด้วยสายงานทำให้ทั้งคู่ต้องพบกันอยู่บ่อยๆ เขาเป็นคนที่รู้จักเธอดีที่สุด รู้จักจุดอ่อนของเธอ อย่างน้อยที่สุดก็ดีที่สุดในกรมศิลป์ ท่ามกลางพวกงี่เง้าที่ต้องการผลาญงบไปวันๆ พัฒน์ คือไม้เด็ดที่พวกนั้นใช้ให้มาเจรจากับเธอเสมอ และครั้งนี้ก็เช่นกัน
หญิงสาวหันมามองชายหนุ่มที่เผยยิ้มแห่งความพอใจออกมา ขณะผายมือสองข้างและเอียงหัวเล็กน้อย เธอเป่าปากถอนหายใจอย่างผู้แพ้ "ชั่วโมงเดียว แค่ชั่วโมงเดียว"
แสงไฟอ่อนๆ จากโคมไฟที่แขวนอยู่เหนือบาร์ไม้เนื้อดีให้ความรู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเอง เสียงกรุ๊งกริ๊งของจานชามที่ถูกวางลงอย่างระมัดระวังผสมผสานกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์จากวัตถุดิบ และสาเกที่หมักอย่างพิถีพิถัน ภายในร้านอาหารญี่ปุ่นที่ซ่อนตัวอย่างสงบนิ่งอยู่บนตึกสูงระฟ้าที่ขวักไขว่ไปด้วยผู้คนตลอดทั้งวัน
คุณลุงในชุดยูคาตะสีขาวแสดงรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นออกมา ขณะแนะนำอาหารจานแรก เนื้อปลาทะเลน้ำลึกย่างที่มีผิวกรอบเป็นสีน้ำตาลทองวางอยู่บนเตียงของข้าวซูชิที่เรียงเป็นชั้นๆ นุ่มละมุน ท็อปปิ้งด้วยครีมวาซาบิที่เนียนละเอียดม้วนลายเส้นคล้ายกลีบดอกไม้ขนาดเล็กให้ความรู้สึกสดชื่น เพียงแค่สัมผัสทางตาก็รู้สึกได้ถึงรสชาติที่เกิดขึ้นบนปลายลิ้น
รฐา มองภาพอาหารตรงหน้าด้วยสายตาที่เหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง แต่ก็แฝงด้วยความรู้สึกสงบนิ่งและผ่อนคลาย
” ตั้งแต่พ่อไม่อยู่ ฉันก็ไม่ได้มาที่นี่อีกเลย “ เธอกล่าว
ชายหนุ่มคีบอาหารคำแรกเข้าปาก และแสดงสีหน้าพึงพอใจพร้อมเสียงถอนหายใจที่ดูผ่อนคลายออกมา “ผมแน่ใจว่าถ้าร้านนี้ยังเป็นของพ่อคุณ ทุกอย่างคงน่าประทับใจกว่านี้”
“ไม่หรอก” เธอคีบอาหารเข้าปากและค่อยๆ สัมผัสรสชาติอย่างช้าๆ จนเผลอหลับตาไปโดยไม่รู้ตัว เธอลืมตาขึ้นและส่งยิ้มให้เชฟที่รอการแสดงออกต่ออาหารของเขา “ทุกสิ่งทุกอย่างดีที่สุดอย่างที่มันควรจะเป็น” เธอกล่าว เชฟก้มหัวเล็กน้อยก่อนจะเดินไปทำอย่างอื่นต่อ
พัฒน์ ยู้ปากเล็กน้อยขณะผยักหน้าขึ้นลงเบา เขาพับกระดาษทิชชู่เช็ดปาก ก่อนจะกล่าวต่อ "จริงๆ แล้ว ที่ผมอยากคุยกับคุณ…" เขาหันมองหญิงสาวที่มองเขาด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปทันที "ไม่ๆ ผมอยากให้คุณได้มาที่นี่จริงๆ ….เพียงแต่ผมต้องคุยเรื่องนี้ด้วย" เค้าส่ายหัวเบาๆ
” เอาล่ะ ว่ามาเถอะ “
"คุณรู้เรื่องในทิเบตแล้วใช่ไหม" เขากล่าว หญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางส่ายหัวเบาๆ ” ยังหรอ ผมคิดว่าพวกเขาเคยบอกคุณ “
หญิงสาวหันมามองหน้าพร้อมส่ายหัวอีกครั้ง เธอถอนหายใจออกมา กรมศิลป์มักจะมองข้ามหัวเธอ แม้งานนี้จะเป็นงานที่เธอรับผิดชอบโดยตรงก็ตาม
” ผมไม่แก้ตัวแทนพวกเขาแต่ หลังจากที่คุณถอดรหัสอักษร ปัลละโว้ พวกนั้นได้ “
“ปัลละวะ” เธอเน้นเสียง “แค่อักษรที่มีรากมาจาก สันสกฤต และ คล้ายปัลละวะ*๑”
“โอเค “ ชายหนุ่มยกไหล่เล็กน้อย อย่างไม่ได้ใส่ใจนัก “เราพบว่าความหมายของพวกมันสอดคล้องกับแผ่นศิลาที่พึ่งค้นพบในทิเบต ไม่นานมานี้” เขายื่นซองเอกสารให้เธอ
เธอเปิดดูรายงานต่างๆ ในกระดาษ สีหน้าของรฐาดูจริงจังขึ้น หญิงสาวเหมือนตกอยู่ในภวังค์แห่งความไคร่รู้ ข้อมูลและรายงานเกี่ยวกับการค้นพบในทิเบตถูกพลิกไปหน้าแล้วหน้าเล่าในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที คิ้วของเธอขมวดเข้าหากันแน่นขณะกวาดสายตาอย่างคร่าวๆ
"มันมหัศจรรย์มาก “เธอพูดลอยๆ ” เราจะขอตัวอย่างมันมาได้ไหม"
ชายหนุ่มที่เห็นท่าทีของเธอจึงกล่าวขึ้น “ทำไมคุณถึงหลงไหลในเรื่องราวพวกนี้ขนาดนั้น ผมไม่เข้าใจ”
หญิงสาวหยุดการกระทำ พลางหันหน้ามองชายหนุ่มในทันที
"คุณรู้ไหมว่าเราพบอะไร"
ชายหนุ่มคิดขณะส่ายหัวเล็กน้อย” สำหรับใครล่ะ ถ้าผมก็หลักฐานทางประวัติศาสตร์ กับ เรื่องเล่าอีกเรื่อง “
” ให้ตายซิ ไม่น่าเชื่อว่ากรมศิลป์ เต็มไปด้วยคนอย่างคุณ “หญิงสาวถอนหายใจออกมา ” นี่ไม่ใช่แค่หลักฐานที่แสดงถึงอาณาจักรฟูนัน*๒อย่างเดียว แต่มันอาจเป็นการค้นพบที่จะเปลี่ยนการตีความคำสอนของพระพุทธเจ้าไปโดยสิ้นเชิง"
” ผมรู้ๆ “ ชายหนุ่มพยายามแก้ตัว ” แต่ที่ผมพยายามจะบอกคุณ….ตอนนี้ งานนี้ คนที่สนใจมันจริงๆ มีแค่คุณกับทีมของคุณ ส่วนพวกนั้นต้องการแค่ใช้งบให้น้อยที่สุด และถ้าผลงานออกมาดี มันก็จะกลายเป็นงานของพวกเขา “
เธอนิ่งคิดขณะสงบสติอารมณ์ไม่ให้ระเบิดออกมา แต่ยังคงความนิ่งอย่าวผู้มีวุฒิภาวะ จนไม่ได้สังเกตุเมนูถัดไปที่ยกมาวางเบื้องหน้าของเธอ
“ผมรู้ว่างานนี้สำคัญกับคุณ แต่มันอาจจะ…” พัฒน์เหลือบตามองเธอ “ไม่เหมาะกับเรา”
ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง ขณะรอปฎิกริยาจากเธอ หญิงสาวหลับตาเพื่อสลัดความคิดออกจากหัว พลางเสยผมที่ปรกลงมาจากการก้มเมื่อครู่ “คุณจะบอกอะไรฉัน”
ชายหนุ่มยื่นแฟ้มอะไรบางอย่างให้กับเธอ บนแฟ้มระบุข้อความ
‘H.E.
Heritage Explorers co., ltd.
Institute of Archaeology and Heritage Research’
“คณะกรรมการมีมติจะให้ หน่วยงานเอกชนต่างชาติที่เชี่ยวชาญเข้ามาดูแลโปรเจกต์นี้แทน พวกเขาอยากได้ข้อมูลทั้งหมดที่เรามี”
สายตาของเธอจ้องมองแฟ้มเอกสารสีดำที่พัฒน์เพิ่งวางลงตรงหน้า ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความสงสัยและกังวล ก่อนที่ความไม่พอใจของเธอจะไม่อาจซ่อนไว้ได้อีกเธอรีบเก็บของทั้งหมดลงในกระเป๋าสะพาย
เก้าอี้เลื่อนออกจากโต๊ะด้วยเสียงกระทบที่คมชัด ดึงดูดสายตาของคนในร้านทั้งหมดให้หันมามอง เธอยืนมองพัฒน์ด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความผิดหวังอย่างที่สุด
“คุณเลือกสถานที่ได้แย่มาก” เธอพูดออดมาอย่างเรียบนิ่งแต่ทว่าเต็มไปด้วยอารมณ์เมื่อมันไปถึงคู่สนทนา
รฐาเดินออกจากร้านขณะพัฒน์พยายามอธิบาย แต่คำพูดของเขาถูกกลืนไปในความเงียบงันของความตึงเครียดที่เกิดขึ้น จนหญิงสาวเดินพ้นประตูไป
ผิวเนียนละมุน เปล่งประกาย สะท้อนแสงอ่อนๆ จากหลอดไฟที่ฝังบนเพดานเหนือหัว ขณะที่เธอเคลื่อนไหวผ่านส่ายน้ำ พลางครุ่นคิดทบทวนเรื่องราวในวันนี้ ดวงตาของเธอหลับพริ้มและใบหน้าที่แสดงถึงความผ่อนคลาย โค้งเว้าของช่วงเอวและสะโพกถูกน้ำที่ไหลรินจากฝักบัวเผยให้เห็นในความละเอียดและความสมบูรณ์แบ
ไม่บ่อยครั้งที่บทสนทนาของเธอและเขาจะจบลงได้ด้วยดี แต่ไม่ใช่ครั้งนี้ เธอพยายามแล้ว พยายามมากกว่าทุกครั้ง ถ้ากรมศิลป์ไม่ใช้พัฒน์เป็นเครื่องมือและหลบอยู่ข้างหลังเขา บางทีความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนอาจจะดีขึ้นกว่านี้ พวกเขาใช้ความหลงไหลเดียวของเธอเพื่อโยนงานที่ไม่มีใครสนใจมาให้เธอ และเมื่อเธอทำให้ทุกคนเข้าใจถึงความสำคัญของงานแบบที่เธอเข้าใจได้ พวกเขาก็จะกีดกันเธอออกจากงานเหล่านั้น มันเป็นแบบนี้มาเสมอ
เสียงฟ้าร้องและเสียงฝนที่กระหน่ำตกกระทบกระจกหน้าต่างสร้างบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายภายนอก แต่ภายในกระจกบานใหญ่บริเวณโถงกลางของคอนโดชั้นบนสุดกลับยังคงสงบเงียบ คอนโดหรูใจกลางเมืองที่บ่งบอกถึงฐานะของผู้อยู่อาศัยได้เป็นอย่างดี แต่ทว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้นในกรณีของ รฐา นี่คือสมบัติชิ้นเดียวที่พ่อผู้ล่วงลับของเธอทิ้งไว้ให้ ก่อนที่ทรัพย์สินทั้งหมดจะโดนธนาคารยึดไป งานสอน และ งานวิจัย ที่ทำอยู่ นอกจากเงินจะแค่พอสร้างสภาพคล่องให้พอประทังชีวิตแล้ว ยังมีบ่อยครั้งที่เธอต้องควักกระเป๋าเอง ด้วยรองบที่จะเบิกไม่ไหว ไม่ต้องพูดถึงการได้กินอาหารระดับ โอมากาเสะ เช่นวันนี้ที่ราคาเฉียดแสน ในเมืองกรุงฯที่ค่าครองชีพสูงลิ่บนี้ เธอเป็นเพียงชนชั้นกลางที่มีคุณภาพชีวิตดีก็เท่านั้น
รฐา เดินออกมาจากห้องน้ำโดยมีไอน้ำบางเบาลอยล่องตามตัว ผมของเธอยังคงเปียกชื้นไหลลงมาตามแนวเส้นผมลงบนชุดคลุมอาบน้ำสีขาวเนื้อนุ่มและอบอุ่น ที่รัดไว้ด้วยสายคาดเอวอย่างกระชับพอดี
เธอยืนอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งที่มีครีมและเซรั่มเรียงรายอย่างเป็นระเบียบดังเช่นทุกวัน ครีมเนื้อเนียนนุ่มถูกบีบลงเป็นจุดเล็กๆ บนใบหน้าของหญิงสาว นิ้วเรียวเล็กของเธอเกลี่ยมันให้ทั่วใบหน้าอย่างบรรจง
ซองเอกสารสีดำที่เธอไม่ได้คิดจะเปิดมันดูปรากฎขึ้นในกระจก มันกระจัดกระจายอยู่บนเตียง จากการโยนอย่างไม่ใส่ใจของเธอตอนมาถึง หญิงสาวหยุดชะงักไปเพียงครู่เมื่อเห็นนามบัตรสีดำที่เผยตัวออกมาจากซองเพียงเล็กน้อย
เธอหยุดการกระทำต่างๆ ในทันที ก่อนจะค่อยๆ หันไปเอื้อมหยิบ นามบัตรสีดำนั้นขึ้นมาดู
นามบัตรธรรมดาที่ระบุชื่อของใครบางคนพร้อมช่องทางการติดต่อ หากแต่สิ่งที่คุ้นชินเป็นอย่างยิ่งกลับอยู่ที่มุมขวาล่างของมัน ‘สัญลักษณ์ต้นไม้ที่มีดวงตาโอบล้อมด้วยปีกอยู่ตรงกลาง’
หญิงสาวนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะละสายตาจากมันไปสู่พายุฝนภายนอกหน้าต่าง เส้นแสงสีขาวฉีกผ่านความมืดยามค่ำคืนให้สว่างวาบสาดเข้ามาบนผิวสีครีมอ่อนของเธอ เผยให้เห็นรอยสักสัญลักษณ์แบบเดียวกันที่ด้านหลังไหล่ ก่อนที่เสียงคำรามกัมปนาทของพลังงานจะกังวาลลั่นตามมาติดๆ
สัญลักษณ์ของลัทธิลึกลับ ลัทธิที่เคยมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเธอ ลัทธิที่เธอเป็นหนึ่งในสมาชิกมาเนิ่นนาน………
๑.อักษรปัลละวะ (Pallava script) เป็นระบบการเขียนที่ใช้ในอินเดียในช่วงศตวรรษที่ 4 ถึง 9 โดยเฉพาะในภูมิภาคทางตอนใต้ของอินเดียและบางส่วนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อักษรปัลละวะมีความสำคัญในประวัติศาสตร์การเขียนเนื่องจากเป็นบรรพบุรุษของอักษรหลายชนิด เช่น อักษรธมิล (Tamil) , อักษรฮินดี (Grantha) , และอักษรสิงหล (Sinhala) อักษรนี้มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปตามเวลาจนกลายเป็นระบบการเขียนที่ใช้ในภาษาและวรรณกรรมต่าง ๆ ในภูมิภาคดังกล่าว
๒.ฟูนัน (Funan) เป็นอาณาจักรโบราณที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคที่เป็นส่วนหนึ่งของกัมพูชาและเวียดนามในปัจจุบัน อาณาจักรนี้มีความเจริญรุ่งเรืองในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 1 ถึง 6 และเป็นศูนย์กลางการค้าสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments