...ปฐมบท...
...บทที่1 ตอนที่2...
......ครั้งสุดท้าย......
ทุกอย่างเหมือนพังทลายลงอย่างช้าๆ โดยที่ไม่รู้ตัวก็อาจจะสูญเสียใครบางคนไปแล้ว
.....ตรงข้าม
"แม่ควรบอก ริ สักหน่อยดีไหม"
"ไม่หรอก ให้เขาได้รู้เองดีกว่า"
"แต่ริอาจจะโทษตัวเองก็ได้นะ แม่"
"รัน ริเคยเห็นพ่อตายต่อหน้ามาแล้ว คงไม่อยากให้ริได้เจ็บปวดเพราะแม่ตายต่อหน้าอีกใช่ไหม"
"ก็คงอย่างนั้นแต่..."
รันได้เพียงกลืนคำสุดได้เอาไว้ไม่เอ่ยออกมา เพราะตนรู้ดีว่า เวลาที่ริเห็นคนในครอบครัวตายต่อหน้าเจ็บปวดขนาดไหน
....
"ริ! ดูนี่สิ โครงงานวิทยาศาสตร์วันนี้ฉันทำเสร็จแล้วล่ะ!"
แพร์พูดพร้อมกับเชิดอกด้วยความภาคภูมิใจ
ฉันสงสัยว่าเธอดีใจขนาดนั้นเลยหรอ แต่ยังไงก็ควรดีใจแหละ เพราะเป็นครั้งแรกที่เธอทำเสร็จภายในวันเดียวล่ะนะ
"ดีใจด้วย"
"แน่อยู่แล้ว" แพร์ยิ้มออกมาก่อนที่จะรีบเดินหาครู
...
"ริยรา เกรดเทอมนี้ของเธอแย่มากนะ...มีอะไรให้กังวลรึเปล่า"
"เปล่าค่ะ"
ภายในใจฉันยังคงคิดว่า 'ถ้าวันนึงแม่หายไป ชีวิตประจำวันที่แสนปกติของฉันอาจจะหายไปด้วยก็ได้"
แต่ว่านะ ริยรา...ชื่อนี้น่ะ ความหมายไม่ดีเอาซะเลย...
เสียงเครื่องตรวจสัญญาณชีพจรดังขึ้นเป็นจังหวะเมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องผู้ป่วย...ภาพที่คุ้นตายังคงทำให้ฉันหายใจไม่สะดวกเช่นเคย ฉันมองไปทางเตียงผู้ป่วย แม่นั่งมองภาพทิวทัศน์นอกหน้าต่าง ฉันอาจจะคิดไปเองก็ได้ว่าบางทีแพร์อาจจะได้ไปอยู่ตรงนั้นเหมือนแม่ แต่ฉันไม่ควรคิดบ้าๆแบบนั้นเลยล่ะ
... คุณเคยได้ยินไหมว่า ดอกไม้ที่เบ่งบานย่อมมีการโรยรา...ใช่ คุณนั่นแหละ คุณที่อ่านอยู่นั่นแหละ...
...มาฟังฉันหน่อยดีกว่า ถ้าหากเปรียบคนเป็นดอกไม้คงเป็นดอกกล้วยไม้ สีเหมือนกัน...ต่างพันธุ์เหมือนต่างพ่อแม่...ชื่อไม่เหมือนกัน..เหมือนที่พ่อแม่บางคนตั้งชื่อลูกไม่เหมือนกันแต่ก็มีคนชื่อซ้ำ กล้วยไม้อาจจะสวยหมายถึงความหนากลีบและสีสันน่ะนะ กล้วยไม้อาจจะไม่โรยเหมือนดอกไม้ปกติ แต่มันจะเป็นการเฉาตาย สมมุติว่าดอกกล้วยไม้เริ่มเฉา..เปรียบกับคนเป็นโรคซึมเศร้า ถ้ามันเฉาสามารถเปลี่ยนให้มันกลับมาสวยงามและเฉิดฉายได้แต่หากดูแลไม่ดี...มันก็อาจจะเฉาตายเหมือนมนุษย์ที่เป็นโรคซึมเศร้า สามารถรักษาได้ แต่หากว่าคุณดูแลรักษาไม่ดีก็อาจจะทำให้ปิดชีพตัวเองได้...
จำไว้ให้ดีล่ะ คำของฉัน ในปัจฉิมบทเดี๋ยวคุณจะไม่เข้าใจเรื่องราว
...
แม่บอกว่าคิดมากไปอาจจะเป็นเรื่องไม่ดี...แต่ก็อดคิดไม่ได้เลย
แม่แทบจะออกไปไหนไม่ได้ ต้องเติมเลือดเทียมและวัดค่าชีพจรตลอดเวลา การเสียชีวิตในโรงพยาบาลน่ะ มันไม่ใช่เรื่องดีเลยนะ เสียชีวิตที่บ้านเกิด หรือในสวนของตัวเองยังเป็นการเสียชีวิตที่มีความสุขมากกว่าเลย
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฉันก็ไม่อยากให้แม่เสียชีวิตอยู่ดี ฉันยังอยากให้แม่ยิ้มจากใจจริงสักครั้ง
ฉันมองหน้าแม่ที่หลับไปก่อนจะปอกแอปเปิ้ล
พลางคิดว่าถ้าแม่หายดีจะพาแม่ไปเที่ยวที่ไหนดี
ในระหว่างที่คิดไปเรื่อย เสียงเครื่องติดตามสัญญาณชีพจรก็ดังลากยาวขึ้น ตอนนั้นฉันรีบหันไปมองกว่าจะเรียกสติตัวเองเสร็จก็ผ่านไปแล้วหลายนาที ซึ่งพี่ที่อยู่นอกห้องไปตามพยาบาลมาเรียบร้อยแล้ว
จริงๆนี่ไม่ใช่แค่ครั้งแรกแต่เป็นครั้งที่สอง...
...คุณคงคิดใช่ไหมล่ะคะว่า ยืนทำบ้าอะไรทำไมไม่รีบไปเรียกพยาบาล แล้วถ้าเกิดคุณอยู่ในอาการช็อกหนักละคะ คุณถูกปืนยิงที่ศรีษะล่ะคะ จะคงสติตัวเองไว้ได้ไหม ถ้าทำไม่ได้..หรือยังไม่ลองก็ลองจินตนาการสิคะ ถ้าเกิดรถเกิดเบรกแตกขึ้นมาคุณจะทำยังไง ตั้งสติเกิน1วิไหม ลองสิคะ แค่นึกกับพูดมันง่ายอยู่แล้วค่ะ ถ้าทำได้ก็ไม่เป็นไร...
...ถ้าทำไม่ได้อย่าอคติกับคนที่สะเทือนใจ...
ในงานศพมีแค่ญาติของแม่เพื่อนร่วมงานและก็เพื่อนของฉันกับพี่ชายแค่นั้น
ฉันเดินไปเอาข้าวเย็นมาให้แม่หน้าโรงศพ เพื่อเป็นการบอกลาครั้งสุดท้าย
ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้มอง แต่ฉันรู้ดีว่าแพร์มองฉันอยู่
ในเช้าวันนี้ก็ยังมีการทำพิธีตามปกติ แสงแดดอ่อนที่ลอดผ่านกลีบเมฆส่องลงมาเพียงเล็กน้อย นกเริ่มเปลี่ยนที่อยู่ เป็นลางว่าฝนจะตก แต่วันนี้เป็นวันเผาศพนี่นะ ฝนอาจจะตกตอนดึก
ช่วงบ่ายๆ มีการทำพิธีอีกนิดหน่อยก่อนที่จะเผา
ถึงช่วงที่ทำการราดน้ำมันน้ำตาฉันเริ่มคอเบ้า
แพร์ยืนอยู่ข้างๆฉัน เธอจับมือฉันไว้
เปวไฟเริงสั่นไหวตายสายลม ควันขาวอ่อนๆลอยขึ้นไปบนฟ้า...เสียงของไม้แห้งดังราวกับมีคนเหยียบมันเพื่อไปสู่ที่ ที่ต้องไป
ฉันพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ เมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับบ้าน แพร์บอกกับฉันว่าให้ร้องไห้ออกมาได้เลย ณ ตอนนั้นภายในใจของฉัน เจ็บปวดราวกับใช้มีดกรีดที่แผลสด...เพื่อย้ำเติม
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments