องค์กร

[อานนท์]

เขาคลุกคลีอยู่ในวงการมาเฟียนี้ไม่ต่ำกว่าสิบห้าปีเข้าแล้ว ชีวิตของเขาก็เหมือนแขวนไว้กับเส้นตายบางๆเส้นหนึ่งที่ไม่รู้ว่าจะพาร่างของเขาตกลงสู่ความตายเมื่อไร

อานนท์เป็นลูกครึ่งไทยอิตาลี ดูได้จากผิวที่ขาวซีดและดวงตาสีครามมรกต ส่วนใบหน้าออกมาทางเอเชียผสมตะวันออกอย่างลงตัวเรียกได้ว่าเป็นใบหน้าที่ใครเห็นก็ชวนมอง

เขาชอบการซุ่มยิงเป็นหลัก อาวุธถนัดที่คนในวงการรู้จักกันดีคือไรเฟิล พวกเขาให้ฉายาเขาว่า 'สไนเปอร์มือหนึ่งของวงการ' ที่หาตัวจับยากยิ่งกว่าใคร และยังเป็นตัวอัตรายของวงการที่ต้องค่อยระวัง เขาคิดว่าการยิงให้ตายในนัดเดียวคือความเมตตาที่สุดแล้ว มันไม่ทรามาณ หรือเจ็บปวดอะไรมากนัก แล้วอีกอย่างคือเวลาฆ่าเสื้อสีขาวตัวโปรดของเขาก็จะไม่เปื่อาคราบเลือดสีแดงพวกนั้นด้วย 

"นนท์....."

เสียงทุ่มต่ำดูดุดันนั้นทำให้อานนท์หันไปตามเสียงเรียกของคนข้างกาย นัตน์ตาสีนิลสวยที่จับจ้องมองเขาด้วยสายตาแพรวพราวและรอยยิ้มเล็กน้อยอยู่เสมอนั้นทำเขาใจอ่อนลงทุกครั้งไป และทุกครั้งที่ตอบกลับไปเสียงมักจากอ่อนลงสามส่วนให้คนตรงหน้าเสมอ

"ครับนาย..."

"คุยงานวันนี้เสร็จ มึงพากูไปเที่ยวรอบเมืองนะ กูอยากไปผ่อนคลายบ้าง"

"นายครับ...มันอันตราย"

"มีมึงอยู่กับกูทั้งคน กูไม่ตายหรอก มึงจะให้กูอูดอู้ทำแต่งานเป็นเดือนเป็นปีไม่ให้พักเลยหรอว่ะ กูประสาทแดกตายกันพอดี"

"...."อานนท์เงียบไม่พูดอะไร มองดูท่าทีอีกฝ่ายเล็กน้อย เจ้าตัวดูจะอารมณ์ขึ้นลงบ่อยมากเหลือเกิน

"หรือมึงว่าไม่จริง?...."เจ้าตัวตอกย้ำกลับมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

".....ตามนั้นครับ"

ยังไงเขาก็พูดอะไรมากกว่านี้ไม่ได้อยู่แล้ว อีกฝ่ายอยากจะทำอะไร เขามีหน้าที่เพียงอำนวยความสะดวกให้ทุกวิถีทาง ถึงจะพูดห้ามบ้างแต่ก็อยู่ในโหมดที่ไม่จริงจังเลยสักครั้ง

ช่วงนี้นายเองก็คงเหนื่อยทั้งงานเอกสารและงานพบปะสัมพันธ์ทางธุระกิจรวมถึงการเดินทางที่เดือนนี้ทั้งเดือนยังต้องบินไปกลับต่างประเทศเป็นว่าเล่น เขาเองก็รับงานหนัก เพราะนายเล่นส่งคนไปให้นายน้อยกันหมด แม้แต่ภูเมฆยังถูกส่งไปเลย

ตอนนี้คนข้างกายนายที่ทำงานแทนได้หมดทุกหน้าที่ก็คงจะมีแค่เขาแล้ว

"เชิญครับคุณวี...."เมื่อเราเดินมาถึงห้องชุดที่จองไว้กับทางโรงแรมเพื่อพบปะพูดคุยกันงานสำคัญในครั้งนี้ ก็มีชายชุดสูทดำยืนขนานประตูรอพวกเราอยู่ นั้นหมายความว่าฝ่ายนั้นมารอก่อนแล้ว

พอเปิดประตูห้องชุดเข้าไป สิ่งแรกที่ได้ยินทำให้เขาหยุดชะงักฝีเท้าไป

"ไง...ลูซี่"

สำเนียงภาษาที่แปลกหูมาพร้อมร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีขาวดำ ใบหน้าดูหล่อเหล่าและอ่อนเยาว์เหมือนเด็กหนุ่มที่พึ่งจะเข้าช่วงอายุยี่สิบมาไม่นาน

"..."อานนท์เงียบมองหน้าคนทักก่อนจะนิ่งไป

การตามมาคุยงานครั้งนี้เล่นเขาปวดหัวขึ้นมาทันทีที่ได้เจอหน้าของเด็กหนุ่มคนนี้  ผู้มีสัญชาติสเปนแท้ ที่มาพร้อมดวงตาสีมรกตตรงหน้าเขา รอยยิ้มที่ส่งมาให้เหมือนไม่ได้ดูมีเจตนาดีเลยสักนิด มันทำให้เขานิ่งค้างไปชั่วขนาดที่ได้เจอเข้ากับคนตรงหน้า

อย่าบอกนะคนที่มาคุยงานด้วยในครั้งนี้ไม่ใช่มิสเตอร์จอร์คนพ่อแต่กลับส่งลูกชายตัวดีของเขามาคุยงานแทน ถ้าเป็นแบบนั้นจริงเขาว่ามันคงไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิดไว้สักเท่าไร

"พี่สบายดีใช่มั้ย?"

"...."

"ไม่เอาสิพี่อย่าทำหน้าแบบนั้น พอผมได้ยินว่าพี่จะมาคุยงานในครั้งนี้ด้วย ผมรีบขอพ่อมาคุยแทนเลยนะ พี่ควรดีใจสิที่ได้เห็นหน้าผมหน่ะ"

"...."

"นนท์...."

อานนท์หันไปตามเสียงเรียกของนายที่ขมวดคิ้วมองมาทางเขาเหมือนอยากจะถามถึงสถานการณ์  

"นายครับ...นี้คือ'คาเตอร์ ฟลอเรส' ลูกชายคนเล็กของ มิสเตอร์จอร์ "

"เดียวนี้เขาส่งเด็กมาคุยงานแทนแล้วหรอ ถ้าไม่ว่างก็ควรจะติดต่อมาบอกกัน ไม่ใช่จะส่งใครมาแทนมั่วสั่วแบบนี้สิ" 

อานนท์มองเข้าไปในสายตาของพิภพ รับรู้ถึงประโยคในใจที่เจ้าตัวไม่ได้พูดมันออกมา  อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีกว่าเมื่อก่อนมาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงจะด่ากราดไปสักประโยคสองประโยคแล้ว ส่วนตัวเขาก็ต้องเป็นคนตามเคลียร์ให้ด้วยลูกกระสุนอีกตามเคย

ถึงว่านายให้เกียรติทางนั้นมากพอควรเพราะ อาวุธในครั้งนี้จะเป็นคลังอาวุธที่สำคัญของเรา ถ้าของถึงฝั่งก็จะสำเร็จไปด้วยดี มันจะดีกว่าถ้าเรามีอาวุธพวกนี้ไว้ในมือเพื่อใช้ในยามจำเป็น

"หืม~ นี้เจ้านายพี่หรอ"

คาเตอร์ยืนลวงกระเป๋ากางเกงแบบไร้มารยาท มองสำรวจนายของเขาด้วยแววตาประหลาดใจ พิภพเองเมื่อเห็นเด็กมันทำท่าทางไร้ความเครพแบบนั้นใส่ก็เหยียดยิ้มเย็นส่งกลับให้ ทั้งคู่จ้องตากันเหมือนมีประกายไฟแลบผ่าน

"เรื่องจริงสินะที่เขาบอกว่า พี่เป็นคนเดียวใน เจ็ดบาป ที่รับใช้คนอื่นเป็นนายอะ"

"....."

"อย่างพี่เนี่ย...สร้างแก๊งเองก็ยังได้เลย ทำไมถึงมาจมปลดอะไรกับ...."

คาเตอร์ปราดตามองพิภพเล็กน้อยให้รู้ถึงคำที่ไม่ได้พูดออกมา อานนท์ทำหน้านิ่งๆไม่พูดตอบอะไร แต่กับคนข้างตัวนั้นไม่ใช่  

"นนท์ มึงยิงเด็กนี่ทิ้งให้กูได้มั้ยวะ"

"ไม่ได้ครับนาย...ผมยังไม่อยากวิ่งฝ่ากระสุนตอนนี้หรอกนะครับ เห็นใจผมด้วย"นั้นลูกชายนักค้าอาวุธรายใหญ่เลยนะ จะมีเรื่องด้วยก็เตรียมปืนให้ได้มากว่าเขาละกัน

"เหอะ!...."

"อย่าคุยภาษาประเทศตัวเองกันสิครับ มันเสียมารยาทกับแขกแบบผมนะ"คาเตอร์เอ่ยออกมาเสียงขุ่นเมื่อทั้งคู่สทนากันเองโดยไม่หันมาสนใจเขาเลย

"มันมีกับเขาด้วยหรอมารยาท"

"นายครับ..."

อานนท์พูดห้ามออกไปเบาๆ มองสบตานายตัวเองเพื่อสื่อความหมายผ่านดวงตา พิภพสะบัดหน้าหนีทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่ก็ไม่พูดกระทบอะไรออกมาอีก

ก่อนที่อานนท์จะหันไปมองคาเตอร์ที่ยังคงยืนจกกระเป๋ากางเกงยิ้มหน้าระรืนส่งมาให้เขา

นี้ก็อีกคน...

"อย่าเสียมารยาท..."

 อานนท์พูดบอกคาเตอร์ด้วยภาษาสเปน น้ำเสียงออกไปทางเย็นชา ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะระบายยิ้มอ่อนๆส่งไปให้แต่รอยยิ้มนั้นกลับไม่ถึงดวงตา แน่นอนที่เขาต้องพูดประโยคนี้ด้วยภาษาเของอีกฝ่ายเพื่อไม่ให้นายฟังออก เพราะดูเหมือนการเจรจาในครั้งนี้ ผู้มาเจรจาไม่ได้อยากจะคุยงานกับเข้านายของเขาในครั้งนี้แม้แต่น้อย แต่มาเพื่อคุยกับตัวเขามากกว่า  

คาเตอร์เมื่อได้ยินดังนั้นก็ทำเพียงยักไหล่รับคำ พร้อมยกมือทั้งสองข้างขึ้นเหมือนยอมจำนนท์

"ok ผมไม่กวนแล้วก็ได้ แต่พี่ต้องหาเวลามาคุยกับผมนะ ผมมีเรื่องสำคัญจะบอกพี่"

"ก่อนจะคุยกัน...มาเคลียร์งานกันก่อนดีมั้ย?"

เมื่อเจ้าตัวเล่นพวงงานพ่อตัวเองมาด้วยก็ต้องรีบตกลงให้มันจบไป เขาเองก็ไม่อยากให้เรื่องงานปนกับเรื่องส่วนตัวอย่างอื่น มันยุ่งยาก

"ไม่จำเป็นหรอก...ผมเซ็นให้เลย"

คาเตอร์กลับไปเอาเอกสารบนโต๊ะแล้วยื่นมันส่งมาให้เขา ดูเหมือนจะเซ็นไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องนี้พวกเขาไม่แม้แต่จะได้นั่งกันเลย เพราะต่างฝ่ายต่างสำรวจกันไปมา พอจะได้คุยงานหน่อย การเจรจาก็จบไปเรียบร้อยโดยแทบจะไม่ได้ทำอะไร มีเพียงแค่กระดาษสัญญาใบเดียวเท่านั้นที่ทุกยืนส่งมาให้

"......"

"อาวุธพวกนั้นแค่ถึงฝั่ง มันจะเป็นของพี่ทันที ผมแถมเพิ่มให้ด้วยนะ ที่เหลือพี่จะทำยังไงกับมันก็สุดแล้วแต่พี่เลย"

" ค่าของก็ส่งบิลมาทางอีเมลแล้วกัน"

"ไม่มี....ครั้งนี้ผมให้พี่"

"หึ เด็กน้อยนี้ไม่ใช่ที่เล่นขายของ ก่อนจะพูดอะไร นึกถึงหน้าพ่อนายด้วย"

พิภกพูดดักขึ้น เมื่อได้ยินเด็กตรงหน้าทำตัวอวดดีเหมือนคนไม่รู้ความ นี้คือการค้าขายที่มีมูลค่าและความเสี่ยงที่สูง เล่นแจกจ่ายของไปทั่วจนลืมคิดไปแล้วมั้งว่ามันคือปืนสงครามไม่ใช่ขนม

"ไม่จำเป็นมั้ง...จริงมั้ยพี่ ค่อยๆอธิบายให้เขาเข้าใจหน่อยสิ "

"....."อานนท์ทำได้เพียงนิ่งมองเด็กหนุ่งตรงหน้านิ่งๆ ไม่ได้พูดอะไรออกไป เราต่างรู้ดีว่าตรงไหนควรพอ

"แล้วเรื่องที่ผมจะคุยละ..."

คาเตอร์ถามขึ้นด้วยภาษาสเปน นั้นทำให้เขารู้ทันทีว่าเรื่องนี้ไม่อยากให้คนข้างๆรับรู้ เขาพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนจะตอบกลับไปด้วยภาษาเดียวกันกับที่ถาม

"ตอนนี้...พูดมาสิ"

"พี่รู้ตัวมั้ย...ว่าตอนนี้ตัวเองมีค่าหัวแล้วนะ"

"....."

"ในวงการดูจะครึกครื้นไม่น้อยเลย ตามข่าวหน่อยนะพี่"

"เข้าเรื่องเถอะ..."

"องค์กรเรียกรวมตัววันที่สิบห้าเดือนนี้ เห็นบอกกันว่าถึงช่วงรับภารกิจแล้ว พี่ก็มาด้วยล่ะ"

คาเตอร์ตบไหล่เขาเบาๆ ก่อนจะยิ้มให้เล็กน้อยส่วนเขานั้นทำเพียงปราดตามองอีกฝ่ายด้วยแววตาซับซ้อนกลับไปเท่านั้น

"เอาเถอะ จริงๆผมไม่มีอะไรแล้ว แค่มาเตือนพี่เฉยๆ เห็นช่วงนี้เงียบหายไป ไม่ค่อยได้ติดต่อกลับมาหากันบ้าง เลยเป็นห่วง"

คาเตอร์พูดมันออกมาด้วยรอยยิ้ม ในขนาดที่อานนท์ทำเพียงนิ่งฟังสิ่งที่เอีกฝ่ายพูด และแปลความหมายในน้ำเสียงและท่าทางที่ได้เห็นนั้นอย่างเฉยชา

".....''

"พี่ก็รู้ว่าผมน่ะ ช่างเถอะ" พอเจ้าตัวเห็นท่าทางของเขาที่นิ่งสนิทไร้การโต้เถียงแบบนั้นก็ยักไหล่ เงียบเสียงลงไป

"เดียว..."

อานนท์พูดเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา ก่อนที่คาเตอร์จะหันกลับมามองด้วยความสงสัย เขายื่นของในมือที่ลวงออกมาจากกระเป๋ากางเกงมาก่อนหน้านั้นส่งออกไปให้อีกฝ่าย

" คอนโด shade rags ชั้นบนสุด โซนเลี่ยงเมือง ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็ไปที่นั้นได้ "

คาเตอร์ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นของในมือที่ถูกยื่นมาให้ เจ้าตัวมองเขาด้วยความลังเลและสับสน ยืนมองของในมืออยู่นานก่อนจะรับมันไปใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ

"ผมคิดว่าพี่จะให้อะไรที่น่าตื่นเต้นกว่านี้มาสักอีก...."ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่ลึกๆแล้วคาเตอร์เองก็แอบสนใจของที่ได้รับมาอยู่ไม่น้อย 

"มันจะมีประโยชน์เมื่อถึงเวลาของมัน"

"งั้นเหรอ ผมจะเชื่อละกัน.." เพราะเขาว่ากันว่าเชื่อผู้ใหญ่มักจะได้ดีจริงมั้ย?

"ฉันก็ขอแก้ความเข้าใจผิดสักหน่อย..."

"หืม?..."

"ที่ฉันอยู่คือครอบครัวไม่ใช่แก๊ง"

คำว่า'แฟเมอรี่'สำหรับวงค์การมาเฟียแล้วมันคือกลุ่มมาเฟียที่ตั้งขึ้นจากชื่อเสียงวงค์ตะกูล เป็นขนาดที่ใหญ่กว่าแก๊งมาก มีแบบแผนขึ้นตรงต่อหัวหน้าตระกุลและเคารพสมาชิกในสายเลือดเดียวกัน

อาจจะแปลกที่เขาพูดไปแบบนั้น แต่ก็จริงที่เขาสามารถจะสร้างกลุ่มแก๊งออกมาซะกี่แก๊งก็ได้ในชีวิตนี้ แต่ทำไมเขาถึงยังเลือกที่จะอยู่ตรงนี้ เพราะไม่ว่าตัวเขาจะอยู่ที่ไหนก็คงจะเหมือนกัน หรือมันเป็นเพราะคนข้างๆกายในตอนนี้หรือเปล่าที่ทำให้มันแตกต่างไป

อานนท์เหลือบไปมองคนข้างกายเล็กน้อย ตัวเขาเองก็กำลังมองมาทางผมอยู่ด้วยแววตาที่อ่านยาก ก่อนที่จะระบายรอยยิ้มส่งกลับมาให้

"มาเฟียไม่ใช่นักเลง"

เสียงทุ้มต่ำข้างกายเขาพูดต่อประโยคของอานนท์ด้วยภาษาสเปน ทำเอาอานนท์ที่มองอีกฝ่ายอยู่ต้องนิ่งชะงักไป เรามองสบตากันนานอยู่หลายวิ 

คาเตอร์มองภาพตรงหน้านั้นด้วยความสับสนแล้วเหมือนจะจุดประกายความเข้าใจบางอย่างในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ได้ 

แบบนี้มันก็....

"ครับ....ผมมันก็เป็นแค่พ่อค้าอาวุธเถื่อน ไม่ใช่มาเฟียแบบพวกคุณหรอกนะ  ไม่เข้าใจหรอกความหมายแบบนั้นหรอก  งั้นผมของตัวก่อน"

เมื่อลับสายตาจากเด็กหนุ่มที่เดินออกไปทั้งแบบนั้น พูดบอกลากันเพียงสั้นๆได้ใจความ บทจะไปก็ไปง่ายๆจนต้องประหลาดใจ ทั้งห้องจึงตกอยู่ในความเงียบไปอย่างกระทันหัน

"ไอ้เด็กนี่...แม่งมารยาทเสีย"เขาสบดด่าคาเตอร์เสียงเข้ม หลังจากที่เจ้าตัวได้ออกจากห้องไปแล้วสักพัก นี่มันส่งเด็กมาเล่นขายของชัดๆ!

"ผมก็พึ่งรู้ว่านายพูดภาษาสเปนได้"

"ไม่ใช่แค่พูดได้นะ กูฟังออกด้วย"

เขาพูดพร้อมยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มที่ดูสนุกและพอใจเป็นอย่างมาก นั้นหมายความว่าเขาเข้าใจและรับรู้ทุกอย่างที่เขาพูดกับคาเตอร์ไป ทำเอาหน้าร้อนแผ่วขึ้นมา จึงหันหน้าหนีดวงตาสีนิลคู่นั้นของอีกฝ่ายอย่าเผลอตัว

"มีความสุขมากหรอครับ..." อานนท์พูดเสียงประชดตอกกลับเจ้าตัวไป รู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อยกับรอยยิ้มยี่ยั่วกวนอารมณ์นั้นของอีกฝ่ายที่ส่งมาให้

"...มาก" คนตรงหน้าไม่เคยเปลี่ยนเลย ไม่ว่าจะรู้สึกยังไงก็ตอบกลับมาตามตรงเสมอ แต่มันทำให้คนฟังแบบเขาไปไม่ถูกทุกครั้งไป

"แล้วมึงละ ไปรู้จักกับเด็กนั้นตอนไหน?"

"ก็เขาเป็นคนในองค์กร แล้วยังเป็นหนึ่งในเจ็ดที่ถูกเลือก"

" ไอ้เด็กนั้นอ่ะนะ"พิภพขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

 " องค์กรของมึงเอามาตรฐานอะไรมารับคนเข้ากัน นั้นเด็กกะโลกกะลาเลยนะ "ท่าทางอวดดี ไม่สนแม้แต่ผลประโยชน์หรือกำไรที่จะได้จากการค้าขายในครั้งนี้ด้วยซ้ำ คิดว่ามาเที่ยวเล่นหรือยังไงกัน?

"ก็คงจะคล้ายกับผมละมั้งครับ"พอพูดไปแบบนั้น พิภพก็มีท่าทางเงียบลง ก่อนเจ้าตัวจะมองเขาที่มีทางทีเปลี่ยนไปกระทันหันด้วยความรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อยที่พูดไปแบบลืมตัว

"อืม ก็ใครมันจะไปรู้ละว่าแค่ให้มึงไปยิงคนทิ้งจะทำให้มึงต้องกลายเป็นสมาชิกองค์กรอะไรนั้นด้วย ไร้สาระ จริงๆมึงไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวก็ยังได้"

ครั้งหนึ่งช่วงที่ทั้งเขาและนาย เข้าวงการมาเฟียแรกๆ ไม่ค่อยรู้ตื้นลึกอะไรในวงการมากนัก มีปัญหากับใครเข้าก็ถือคติฆ่าให้ตายก็สิ้นเรื่อง ไม่ว่าจะใหญ่มาจากไหน เคยมีอำนาจบารมีมากแค่ไหน แค่ไร้ลมหายใจสิ่งเหล่านั้นก็ไร้ค่าอยู่ดี แต่นั่นกลับกลายเป็นว่า เขาเองต้องเข้าไปพัวพันกับกฎขององค์กรลับที่คัดคนเข้าองค์กรอย่างแปลกประหลาด เพียงเพราะได้ไปฆ่าหนึ่งในสมาชิกขององค์กรเข้า

สำหรับเขาข้อดีของการเป็นสมาชิกในองค์กรนี้มีเพียงอย่างเดียวคือ ข้อมูลข่าวสารและผลประโยชน์จากสมาชิกคนอื่นในองค์กรที่แต่ละคนก็ไม่ต่างจากตัวบักในวงการที่หาตัวจับได้ยาก อานนท์มองว่ามันจะเป็นประโยชน์กับเราไปอีกนาน จึงได้เข้าร่วมแบบที่ไม่ขัดขื่นใจอะไรมากนั้น 

แต่พอเอาเข้าจริงเขากลับรู้สึกว่ามันดูจะยุ่งยากขึ้นทุกที...ยิ่งองค์กรมีประโยชน์กับเขาเท่าไร ก็เรียกร้องผลประโยชน์จากสมาชิกอย่างพวกเขามากขึ้นเท่านั้น

ถึงจะคิดได้เอาตอนนี้ก็คงบ่นอะไรมากไม่ได้ แต่การไม่ถูกผูกมัดก็ย้อมดีกว่าอยู่แล้วจริงมั้ย?

"แล้วไอ้เด็กนั้น ไปฆ่าโดนใครในองค์กรเข้าหรือไง?"พิภพทำหน้าไม่เชื่อว่า เด็กคนนั้นจะยิงใครโดนด้วย ท่าทางอวดเป้งถือดีปานนั้น..

"กรณีของคาเตอร์ คือเขาได้รับสืบต่อจากปู่เขาอีกทีนะครับ"พิภพทำขมวดคิ้วขึ้นอย่าประหลาดใจเมื่อได้ยินแบบนั้น

" หือ? มีการส่งต่อผ่านลูกหลานด้วยหรอ ก็ว่าท่าทางอย่างนั้นจะไปยิงใครได้"

"อย่าดูคนแบบนั้นสิครับนาย...ตัวอย่างก็มีให้เห็นแล้วแท้ๆ" อานนท์ส่ายหัวให้ความคิดอีกฝ่ายอย่างช่วยไม่ได้ ความประมาทเลินเล่อของเจ้าตัวยังคงทำเขาวางใจไม่ได้สักที เป็นถึงมาเฟียใหญ่ที่ปกครองคนหลักร้อยแล้วแท้ๆ

"หึ...ท่าทางกวนประสาทแบบนั้นของเด็กนั้นเหมือนมึงเมื่อก่อนไม่มีผิด"

อานนท์ยิ้มรับเบาๆ ยอมรับว่าตัวเขาเองก็เอ็นดูคาเตอร์ไม่น้อย อาจจะด้วยความถูกชะตาอย่างหน้าประหลาดหรือความรู้สึกคล้ายคลึงกันในบ้างเรื่อง

"เขามีพี่ชายอีกสองคนนะครับ นายไม่คิดว่ามันแปลกหรือที่เขาได้รับสืบทอดโดยที่ปู่ของเขาไม่แม้แต่จะแลพี่ชายอีกสองคนของเขาเลย"

"หืม?"

"ผมเคยร่วมงานกับปู่ของเขาก็หลายครั้ง คนแบบนั้นไม่เลือกผู้สืบทอดแบบขอไปทีหรอกครับ"

"....."

"อย่างน้อยก็ต้องมีดีอะไรในตัวบ้างแหละ"

"งั้นเหรอ..."พิภพตอบรับเบาๆ ก่อนจะมองมาที่เขาด้วยรอยยิ้มเฉยชา

''กูแปลกใจมากกว่า ที่เลือกทายาทข้ามรุ่นกันแล้ว"อานนท์ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อพิภพพูดประโยคนั้นจบ

ยอมรับว่าอดที่จะคิดตามเขาไม่ได้  แต่ถึงจะคิดไปก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี เรื่องในครอบครัวคนอื่นมีหรือคนนอกจะเข้าใจ

นายเอาแต่ทำหน้าบึ้งตึงเหมือนไม่พอใจอะไรบางอย่าง เขาคงจะไม่ชอบหน้าคาเตอร์จริงๆ ดูจากน้ำเสียงที่ตอบรับหรือท่าทางเวลาพูดถึงเด็กคนนั้น

ก่อนที่อยู่ๆ นายจะทำหน้าครุ่คิดอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีเลย มันมีทั้งความโกรธแล้วความกลัว? ในเวลาเดียวกัน แววตาสีนิจคู่นั้นหันมองมาทางเขา

"แล้วถ้ามีคนฆ่ามึงได้?" อานนท์ขมวดคิ้วมองคนพูดเล็กน้อย อยู่ๆก็มายิงประโยคนี้ใส่กันเลยหรอ? ความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอะไร แต่โดนพูดแบบนี้ใส่ก็สร้างความหวาดระแวงให้ได้เช่นกัน

"เขาก็อาจจะได้เป็นต่อจากผม" อานนท์พูดตอบกลับไปเสียงเบา ยืนจ้องมองสบตาสีนิลของอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มบาง

"แต่คนละรุ่น...เหมือนที่ผมต้องร่วมงานกับสมาชิกรุ่นก่อนเพื่อรอครบจำนวนคนในรุ่นของผมจึงจะรับทำภารกิจได้"

"หึ...เอาไปทำไรได้กัน ก็แค่ฉายางี่เง่าในวงการสีเทา"ประโยชน์ที่ทางตระกูลของเขาพอจะได้รับจากองค์กรบ้านั้นก็มีแค่ชื่อเสียงของคนตรงหน้าที่ทำให้ไม่มีกลุ่มแก๊งไหนกล้าลงมือหรือพวกข้อมูลข่าวสารที่ไวกว่าและเป็นจริงเท่านั้น

" ผมว่าที่ผมยืนอยู่ตอนนี้ ดูมันมืดสนิดแทบจะหาแสงเล็ดลอดเข้ามาไม่เจอด้วยซ้ำ" อานนท์ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย

มือข้างนี้ฆ่าไปแล้วตั้งกี่ศพ....ชี้เป็นชี้ตายคนมาแล้วกี่หน ตัวเขาเองเท่านั้นที่รู้ดี

พิภพเงียบมองคนข้างกายด้วยแววตาสั่นไหวใบหน้าคมคายของเจ้าตัวไม่เหมาะที่จะทำหน้าแบบนี้ใส่กันเลยจริงๆ

"กูขอโทษ..."อานนท์ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำขอโทษนั้น 

"..มันไม่ได้หนักหนาอะไรขนาดนั้นครับนาย ผมเพียงแค่บ่นไปเท่านั้น"

"กูยังอยู่ตรงนี้"พิภพพูดเสียงหนักแน่น มองสบสายตาสีครามสวยของคนตรงหน้าอย่าจริงจัง

"....."

"กูไม่ให้มึงตายหรอก"

"ครับ...นาย"

คำพูดไม่กี่คำนี้ ทำให้อานนท์รู้ว่าอย่างน้อยต่อให้ต้องตายไปจริงๆ ก็ไม่เป็นไรเลย เพราะมั่นใจได้ว่าศพของเขาจะไม่ไปเน่าอึดที่ไหนให้ใครเดือดร้อนแน่นอน ผู้ชายตรงหน้าเขาตอนนี้ ตัวเขาจำแทบไม่ได้แล้วว่าเราอยู่ด้วยกันมาตั้งกี่ปี รู้เพียงว่าไม่มีช่วงไหนในชีวิตนี้ที่ไม่มีเขาข้างกาย

ไม่มีเลยจริงๆ....

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!