พรนี่เสกให้คุณรักผม
ถ้าหากอายุครบยี่ห้าปีเมื่อไร ต้องรีบกาคนมาเป็นแฟนด่วนๆ ไม่อย่างนั้นจะใช้เวทมนตร์ไม่ได้ไปชั่วชีวิต แล้วทำไมหวยต้องไปออกที่เจ้านายจอมโหดอย่างคุณสามภพด้วยเล่า
"ชิดซ้ายหน่อยพี่ พี่ชิดซ้ายหน่อย!"
"ชิดขวาหน่อยพี่ๆ ขยับให้คนเข้ามาใหม่ด้วย"
เออเว้ย สรุปจะให้ชิดซ้ายหรือขวากันแน่... ไอ้เราก็ไม่ได้แยกร่างเป็นเสียด้วยสิ
พลั่ก!
"ขอโทษครับ"
"ไม่เป็นไรครับ..."
มือน้อยลูบแขนที่ถูกชนป้อยๆ อดที่จะบ่นงุบงิบภายในใจไม่ได้
'รู้งี้ขี่ไม้กวาดไปงานก็ดี'
แน่นอนว่าประโยคที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าเกิดบ่นลอยๆ ด้วยเสียงดังก็คงไม่วายโดนมองด้วยสายตาแปลกประหลาดแหงๆ ดังนั้นเปียกปูนจึงทำตัวให้ลีบเล็กมากที่สุด รับบทเป็นมนุษย์ออฟฟิศที่ขึ้นรถเมล์ไปทำงาน 'บ้าง' เป็นบางครั้ง
ง่วงนอนจัง ร้านกาแฟรถเข็นวันนี้จะเปิดหรือเปล่านะ
ว่าแล้วก็ขออารัมภบทสักหน่อย คนที่กำลังยัดตัวเองอยู่ในรถเมล์นั้นคือเปียกปูน นายปุณธนัช มนตราสถิต มีอาชีพเป็นพนักงานบริษัท นั่งทำงานหน้าคอมพ์ตั้งแต่แปดโมงจนถึงสี่โมงเย็น เป็นสิ่งมีชีวิตตัวประกอบเกรดซีที่ไม่อยาหมีเรื่องกับมนุษย์ทุกคนบนโลก
เปียกปูนกลัวมนุษย์... เพราะคุณแม่เอาแต่พูดว่าพวกมนุษย์น่ากลัวกว่าปีศาจอีก และเขาก็คิดว่าจริงนั่นละ มนุษย์น่ะน่ากลัวจะตายไป เอะอะก็หาเรื่องกัน ไม่ตีรันฟันแทงก็ฆ่าอย่างเลือดเย็น ออกข่าวในหนังสือพิมพ์หรือไม่ก็ทีวีทุกวันจนดูเป็นเรื่องปกติ
ดวงตาคู่สวยมองคนบนรถเมล์ที่เบรกดังเอี๊ยด คนที่ยืนแทบหกคะเมนตีลังกา
" อย่าเบียดกันพี่ๆ เอ้าใครจะลงป้ายหน้าเตรียมเดินมารอเลย"
คนขับรถเมล์ที่เป็นมนุษย์ก็น่ากลัว กระเป๋ารถเมล์ยิ่งน่ากลัวกว่า ยืนกายกรรมเปียงยางได้ตั้งแต่เช้ายันเย็น... นี่มันผิดปกติเกินมนุษย์มนาแล้ว เปียกปูนคนนี้ขอฟันธงด้วยเลยเอ้า!
ครั้นเมื่อเห็นว่าถึงเวลาต้องลงจากรถเมล์แล้วเปียกปูนจึงทำตัวให้ลีบแบนกว่าเดิม ค่อยๆ แทรกฝูงชนเพื่อลงป้ายใกล้กับที่ทำงานของตน มือซ้ายยกขึ้นเพื่อดูนาฬิกา เมื่อเห็นว่าตัวเองยังเหลือเวลาอีกมากพอสมควรก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ท่อนขาเพรียวก้าวผ่านฟุตบาทที่แตกระแหง ร้านกาแฟรถเข็นหนาแน่นไปด้วยมนุษย์ออฟฟิศที่ต่อแถวกันยาวเหยียด ช่วยการันตีได้ว่าคุณลุงเจ้าของร้านคงจะชงอร่อยขั้นเทพ
เปียกปูนอยากลองชิมกาแฟ แต่ก็กลัวว่าเขาอาจจะเข้างานสายได้ ดังนั้นคงต้องตัดใจดีกว่า
"จริงด้วย เดี๋ยวสั่งกาแฟจากมนตร์มันตราก็ได้นี่"
มือน้อยทุบกำปั้นลงบนฝ่ามือ ร้องอ้อออกมาด้วยนํ้าเสียงตื่นเต้น แล้วเดินตัวปลิวมาจนถึงตึกบริษัทขนาดใหญ่ ก่อนที่จะก้าวเข้าไปด้านในด้วยท่าทางระแวดระวัง
"อ้าวคุณภพ! สวัสดีครับ"
ทันใดนั้นเองที่เปียกปูนต้องเบรกตัวเองดังเอี้ยด ชะงักกึกเพราะคำพูดของเพื่อนพนัดงานด้วยกัน
บ้าน่า วันนี้คงไม่ได้มาพร้อมกันหรอกมั่ง อุตส่าห์สวมเสื้อสีมงคลมาแล้วนี่นา สีเสริมดวงเรื่องความรักเลยนะเฮ้ย
ดวงตากลมโตจ้องมองเสื้อเชิ้ตสีขาวด้วยท่าทางตื่นตระหนก ค่อยๆ หันหลังอย่างระมัดระวัง
"สวัสดีครับคุณชัย
เสียงนิ่ง ๆ แบบนี้ หน้าตาดุๆ นี้
"ทานข้าวหรือยังครับ"
"ผมทานเรียบร้อยแล้วครับ
นั่นมันเจ้านายของเปียกปูนนี่...
ทันทีที่ได้ยินเสียงของสามภพ เปียกปูนก็เผลอท่องคาถาอะไรสักอย่างออกมาเสียงสั่นเครือ
"อ้าว อยู่ๆ ก็มีนกบินว่อนหน้าบริษัทของเราอีกแล้ว"
เหล่าพนักงานทั้งหลายอ้าปากค้าง จ้องมองนกพิราบที่กรูเข้ามาเกาะบนเสาไฟด้วยท่าทางตกตะลึง
"แปลกจริงๆ พวกมันจะรอคุณภพหน้าบริษัทตลอดเลย นี่ไม่ได้เลี้ยงไว้ที่บ้านใช่ไหม"
"ผมไม่ชอบเลี้ยงสัตว์ครับ"
เอ่อ... ขอโทษครับ ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะนั่น
ว่าแล้วเจ้าเปียกปูนก็ทำตัวให้ลีบจนแทบติดผนัง ค่อยๆ กระเถิบออกห่างจากวงสนทนาของเหล่าพนักงานอย่างเงียบไป
"หรือว่าจะเป็นสัญญาณอะไรบางอย่าง เรื่องเหนือธรรมชาติอะไรพวกนั้น"
"เรื่องแบบนั้นมีจริงด้วยหรอครับ
ว่าไปนั้น... พ่อมดมีจริงนะครับคุณภพ
และใช่ เปียกปูนน่ะเป็นพ่อมด... พ่อมดที่ใช้เวทมนตร์ได้ล้านเปอร์เซ็นต์ ต้นตำรับพ่อมดที่สืบทอดเชื้อสายมาจากบิดาและมารดา เขานั้นมีเวทมนตร์มาตั้งแต่เกิด พอสามขวบก็ได้จับไม้คทาก่อนช้อนกินข้าวเสียอีก และก็จะเป็นไปยันตายนั่นละ
ทว่าชายหนุ่มเป็นพ่อมดที่ค่อนข้างกลัวพวกมนุษย์ เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่แสนเจ้าเล่ห์
ส่วนสามภพ เปียกปูนยกให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวกว่ามนุษย์อีกขั้นหนึ่ง
เปียกปูนชอบคนที่ค่อนข้างใจดี ขณะที่คุณภพไม่ค่อยยิ้ม ในสายตาของเปียกปูน คุณสามภพมีบุคลิกเหมือนพวกผู้ร้ายในหนังโรคจิตนิ่งๆ และมักจะเด็ดขาดอยู่เสมอ เลยได้รับความไว้วางใจจากผู้หลักผู้ใหญ่ในบริษัท
บางทีในกระเป๋าทำงานทรงสี่เหลี่ยมอาจจะเต็มไปด้วยปืนและมีดพกก็ได้ ใครจะไปรู้ล่ะ...
ดังนั้นการรักษาเนื้อรักษาตัวจึงน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด เปียกปูนยังคงเอ็นจอยกับชีวิตทุกวันนี้ ดังนั้นสามภพและเปียกปูนจึงไม่ค่อยได้พูดคุยกันบ่อยนัก บางครั้งสามภพเอ่ยปากทักทายอย่างเช่น สวัสดีครับ เปียกปูนกลับผงกหัวศีรษะรับคำอย่างเร่งรีบ ก่อนจะติดสปีดเกียร์ หมาวิ่งหนีไปเข้าห้องนํ้าด้วยเหตุผลโง่ๆ อย่างเช่นปวดท้องหนักอย่างไร้ซึ่งสาเหตุ
วันนี้ก็เช่นกัน ดวงตากลมโตจ้องมองสามภพและเหล่าพนักงานที่รุมล้อมเขาอยู่ด้วยท่าทางสงสัยเต็มแก่
ทำไมถึงไม่มีใครกลัวคุณสามภพเลยนะ ทั้งๆ ที่น่ากลัวขนาดนั้นแท้ๆ
ริมฝีปากสีสดบ่นมุบมิบ จ้องมองประตูลิฟต์ที่ค่อยๆ ปิดอย่างช้าไป
ทว่าทันใดนั้นเอง จู่ๆ สามภพก็เงยหน้าขึ้นมองเปียกปูนที่กำลังยืนอยู่ในลิฟต์ที่กำลังจะปิด
ทันทีที่พวกเขาสบตากัน ใบหน้าของเปียกปูนก็พลันซีดเผือก หัวใจดวงน้อยเต้นตึ้กตั้ก พานจะเป็นลมขึ้นมาดื้อๆ
ถ้าตาไม่ฟาด ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะยิ้มให้เปียกปูนด้วยนี่
"นกมาเพิ่มอีกแล้วคุณภพ! สงสัยต้องเรียกเทศบาลมาไล่แล้วละ ถ้าอึราดเต็มบันไดคงแย่เลย"
ดวงตาของเปียกปูนต้องมองตู้ชงเครื่องดื่มอัตโนมัติของบริษัทอย่างตื่นเต้น ยิ่งเห็นว่าสามารถเพิ่มนํ้าตาลกับครีมเทียมได้ก็ยิ่งส่งเสียงออกมา
"โอ้ มีซองนํ้าตาลออกมาด้วย
... เพราะว่าวันนี้เป็นวันแรกที่บริษัทยกตู้กดเครื่องมือมาตั้ง พนักงานจากแผนกต่างๆ จึงออกมาต่อแถวกันอย่างคับคั่ง ชะรอยว่าจะเป็นของพวกเห่อของใหม่ตั้งแต่ฝ่ายบริหารจนถึงพนักงานต๊อกต๋อย...
"พี่พิณชิมลาเต้ของตู้เต่ากรรเชียงยังพี่"
"ทำลาเต้ได้ด้วยหรอ"
"ทำได้ยันชาเขียวเลย บอกเลยว่าโครตเด็ด"
"ว่าแต่ใครดีลมาให้เนี่ย
"เป็นลูกค้าคุณภพนั้นละ แกเอ็นดูถึงขั้นสวัสดิการดีๆมาให้นี่บริษัท เห็นว่าที่ห้องทำงานของคุณภพก็มีอยู่อีกตู้หนึ่งด้วย"
พนักงานพูดคุยเรื่องตู้เครื่องดื่มสนุกสนานตามประสาคนเห่อของใหม่ ส่วนเปียกปูน...อย่าเรียกว่าเห่อเลย ต้องเรียกว่าประทับใจถึงขึ้นถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก ทำไมโลกมนุษย์ถึงมีแต่สิ่งที่น่าตกใจกันนะ หัวใจพ่อมดแทบวายแนะ
กาแฟของเปียกปูนดูจืดสนิทไปเลย มนุษย์สุดยอด คนคิดค้นตู้กดเครื่องดื่มก็สุดยอด พ่อมดขอยกจอกคารวะ!
เปียกปูนถอนหายใจออกมาด้วยความอับอายกาแฟพ่อมดก่อนจะวิ่งไปยังห้องน้ำชายด้วยความเร่งรีบ มือน้อยรีบเปิดประตูห้องนํ้าห้องสุดท้าย ภายในห้องนั้นมีหน้าต่างขนาดใหญ่ที่สามารถเปิดรับลมได้ ดวงตาของพ่อมดน้อยมองนกฮูกตัวใหญ่ที่บัดนี้ยืนเกาะขอบหน้าต่างพร้อมกับคาบถุงกระดาษสีม่วงอ่อนเอาไว้
" ลาเต้เย็นจากมนตร์มันตรา"
" ขอโทษที่มาช้านะ"
เปียกปูนก้มศีรษะขอโทษปลกๆ ทันทีที่ดีดนิ้วดังเป๊าะ แก้วกาแฟในถุงกระดาษก็เข้ามาอยู่ในมือของเจ้าตัวทันที นกฮูกตัวสีขาวพยักหน้าแล้วบินถลาไปเสิร์ฟกาแฟให้แก่ลูกค้ารายอื่นที่ใช้ชีวิตปะปนกับผู้คนในโลกมนุษย์ต่อไป
มือน้อยเทกาแฟลงกระติกนํ้าส่วนตัว ก่อนจะโยนแก้วและถุงลงถังขยะ เท่านี้ก็ปกปิดว่าเป็นกาแฟจากร้านมนตร์มันตราได้แล้ว
เมื่อออกจากห้องน้ำก็พบว่าคนที่เข้าคิวต่อแถวกดเครื่องดื่มดูบางตาลงไปมากโข แต่ถึงจะอยากลองชิมมากแค่ไหนก็ต้องอดใจไว้ก่อน ขืนซัดกาแฟสองแก้วมีหวังตาค้าง ปิ๋งปั๋งวิ่งรอบบ้านทั้งคืนแหงๆ
ดวงตากลมโตแอบเหล่ไม้กวาดประจำตัวที่บัดนี้นอนนิ่งปะปนอยู่กับไม้กวาดแม่บ้าน หมายมั่นเอาไว้ในใจแล้วว่าอย่างไรวันนี้ต้องขี่กลับให้ได้ ไอ้อยากไปเจอความตื่นเต้นบนรถเมล์ก็อยากอยู่ แต่เย็นวันนี้เปียกปูนคนนี้ขอใช้บริการฟาสต์ทราเวลก่อนก็แล้วกัน
โต๊ะทำงานของเปียกปูนวันนี้ก็เต็มไปด้วยขนมนมเนยเช่นเคย เห็นแบบนี้เจ้าตัวฮอตในบริษัทอยู่พอสมควร พี่ๆ หลายคนในแผนกมักจะบอกเปียกปูนน่ะไม่ได้เป็นพวกประเภทฮอตจนสาวร้องกรี้ด แต่เป็นพวกผู้ใหญ่หลายคนหน้ามืดยอมเปย์ ว่ากันว่าแค่เห็นเปียกปูนอมยิ้มกินขนมแก้มตุ่ย ทุกคนในแผนกก็พากันซับหัวตา มีแรงปั่นงานไฟลุกต่อเพราะรอยยิ้มของเปียกปูนนี่ละ
" สวัสดีครับพี่ๆ"
หลังจากวางกาแฟบนโต๊ะเปียกปูนก็เอ่ยปากทักทายทุกคนอย่างนอบน้อม เริ่มจากพี่เอโต๊ะข้างๆ ที่หอบเอาคุกกี้มาให้ ไปจนถึงพี่เจย์ทีมเทสเตอร์ที่แวะเอาเบเกอรี่มาฝากอย่างสมํ่าเสมอ
" วันนี้ลองกาแฟตู้หรือยังคะน้องปูน"
" วันนี้ปูนสั่งกาแฟรถเข็นครับ อดลองเลย"
เปียกปูนตอบอีกฝ่ายพร้อมกับแอบเอานิ้วไขว้กันไว้ด้านหลังแบบที่พวกมนุษย์มักจะทำเวลาที่ต้องโกหก
" น่าเสียดายจัง
" วันพรุ่งนี้ปูนจะลองชิมดูนะครับ"
เอาน่า จะให้บอกว่าซื้อกาแฟจากร้านพี่นกฮูกชงได้ยังไงกันล่ะ ขืนบอกไปแบบนั้นคงไม่วายโดนมองแรงใส่แหงๆ
เพราะรู้สึกผิดที่ต้องโกหกคำโต เมื่อนั่งลงที่โต๊ะแล้วเปียกปูน จึงลงโทษตัวเองด้วยการยังไม่แกะขนมของพี่เอมากินเป็นเวลาสองชั่วโมง
" ว่าแต่น้องปูนจ๋า"
" ครับ?"
" เมื่อไหร่จะถึงคิวดูดวงพี่น้า"
" โอ๊ะ จริงด้วยสิ ถ้าเดือนหน้าก็พอจะว่างอยู่นะครับ"
และใช่ เปียกปูนเป็นพ่อมดที่เป็นหมอดูด้วยอีกที ชื่อเสียงค่อนข้างขจรไกลอยู่ไม่น้อย แรกๆ ที่เริ่มก็ดูกันในหมู่พนักงานบริษัทจนกระทั่งมีพี่คนหนึ่งช่วยเปิดเพจดูดวงให้นี่แหละ...จากยอดไลก์หลักสิบก็เพิ่มมาเป็นหลักหมื่น และเพิ่งจะเหยียบหลักแสนเมื่อปลายปีที่ผ่านมาแบบงงๆ
ไอ้เขาก็ไม่ได้ใช้ทักษะอะไรมากนักหรอก ดูเรื่องพื้นฐานง่ายๆ อาศัยเปิดตำราจากหนังสือพ่อมดสายขาว แม่นบ้างไม่แม่นบ้างตามประสาพ่อมดมือใหม่ แต่ที่มันดังเพราะเหล่าพี่สาวที่เอาไปโฆษณาด้วยเอนเนอร์จีเต็มร้อยนี่แหละ
" ถ้างั้นลงชื่อจองคิวให้พี่หน่อยนะ"
" ฮะแอ้ม หนุ่มสาวโต๊ะนั้นเมื่อไหร่จะเริ่มทำงานครับ"
" ขอโทษครับ"
" ขอโทษทำไมครับ คนที่ชวนปูนคุยสิต้องขอโทษ"
" จริงค่ะ พี่ผิดเอง ปูนไม่ต้องขอโทษหรอกนะคะ"
" เอ่อ ครับ"
ว่าแต่ทำไมเขาถึงได้รับความรักมากมายขนาดนี้กันนะ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เสกคาถาอะไรเลยแท้ๆ
" เฮ้อ กว่าจะทำงานเสร็จ เล่นเอาปวดหลังแทบแย่"
เป็นพ่อมดใครว่าสบายกัน นั่งหลังขดหลังแข็งทำโอทีตั้งแต่ห้าโมงจนถึงสามทุ่มครึ่ง ไฟในบริษัทปิดไปแล้วเกือบทุกแผนก
มีแค่แผนกของเปียกปูนนี่แหละที่ยังเปิดอยู่สองสามดวง
...แต่ที่เขายอมทำงานอยู่ล่วงเวลาก็เพราะมันสะดวกเวลาเดินทางกลับบ้านนี่แหละ
เปียกปูนยิ้มกริ่ม เก็บของเข้ากระเป๋าอย่างสบายอารมณ์ โดยไม่ลืมหยิบขนมที่พี่ๆ ทั้งหลายให้มาใส่กระเป๋ากลับบ้านไปด้วย ไม่อย่างนั้นทุกคนคงจะน้อยใจแย่
ไม้กวาดเขรอะๆ วางอยู่ในตู้อย่างสงบ แต่ในที่สุดมันก็ได้ทำหน้าที่หลังจากที่หลับเป็นเวลานาน
" ปะ กลับบ้านกัน"
ด้านหลังมีกระเป๋าสะพาย ส่วนมือขวาก็ถือไม้กวาด เปียกปํนในเวลานี้กำลังฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีขณะเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นดาดฟ้าของบริษัท
ทันทีที่ประถูกเปิดออกกลิ่นบุหรี่ก็โชยมาเข้าจมูกรั้น เปียกปูนจามออกมา ก่อนจะหันซ้านหันขวาเพื่อดูว่ายังมีมนุษย์หลงเหลืออยู่แถวนี้บ้างหรือเปล่า
สามทุ่มกว่ามันไม่ควรจะมีใครอยู่ที่นี่...แปลกจริงๆ
"คุณปุณธนัช มาทำอะไรที่ดาดฟ้าตอนสามทุ่มครับ"
อยู่ๆ เปียกปูนก็ได้ยินเสียงใครบางคนเอ่ยถามท่ามกลางความมืด ทำเอาขนคอตั้งชัน มือที่กำด้ามไม้กวาดสั่นระริก
" ไม้กวาด?"
" ครับ... "
ดวงตากลมโตเพ่งมองบุคคลที่ยืนอยู่บริเวณราวจับ ใบหน้าหล่อเหลาในวันนี้ซึ่งไร้รอยยิ้มอย่างเช่นเคยทุกครั้ง มือคีบบุหรี่เอาไว้
แล้วทำไมคุณภพต้องขึ้นมาสูบบุหรี่ตอนนี้ด้วยเล่า!
ลำพังแค่ขึ้นมาดาดฟ้ายามวิกาลก็ว่าแปลกแล้ว นี่ยังมีไม้กวาดอันเบ้อเร่ออีก
" เอาไม้กวาดมาทำอะไรครับ"
ตายๆ ๆ เจ้าปูน งานนี้จะรอดหรือจะร่วงกันนะ
นาทีนี้ไม่ว่าคาถาไหนก็นึกไม่ออกแล้ว เปียกปูนกพลังตระหนกกับสีหน้าของสามภพที่มองตนเงียบๆ ขนลุกชูชันไม่หยุด
" หรือว่าโดนแกล้ง?"
" ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ!"
มือน้อยกระชับไม้กวาดคู่กายเอาไว้แน่น ก่อนจะเอ่ยปากตอบกลับด้วยนํ้าเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
" ผมขึ้นมาทำความสะอาดดาดฟ้าน่ะครับ"
" เวลาสามทุ่มกว่า?"
" เวลาไหนก็ทำได้น่ะครับ คุณป้าแม่บ้านยังตื่นมาทำงานตอนหกโมงเช้าได้เลย"
น่าแปลกที่ในวันนี้เปียกปูนต่อปากต่อคำกับอีกฝ่ายได้อย่างฉะฉาน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจ้าตัวกำลังกลัวความแตกด้วยหรือเปล่า
ดวงตาสีดำสนิทเพ่งมองเปียกปูนที่ยังคงยืนกำด้ามไม้กวาดเอาไว้แน่น หันหน้าไปอีกทางก่อนจะเอ่ยเบาๆ
" จะกวาดก็รีบกวาดสิครับ"
" ครับ? คุณภพยังไม่กลับบ้านหรอครับ...?"
" ยังไม่กลับครับ"
สามภพขยี้บุหรี่ในมือกับกล่องเหล็กสีดำสนิทซึ่งเป็นที่เขี่ยบุหรี่แบบพกพา ก่อนจะทิ้งที่ดับสนิทแล้วลงถังขยะ
" ปกติคุณปุณธนัชกลับบ้านยังไงหรอครับ"
" เอ่อ...ปกติก็รถเมล์ครับ แต่ถ้ากลับดึกก็คงนั่งแท็กซี่"
เปียกปูนตอบอีกฝ่ายด้วยเสียงนอบน้อม มือขวากำด้ามไม้กวาดเอาไว้แน่น ส่วนมือซ้ายแอบเอานิ้วไขว้กันเพื่อแก้เคล็ดที่ตนเองโกหก
" รถเมล์หมดแล้วครับ"
" ครับ..."
" รีบกวาดครับ เดี๋ยวผมขับรถไปส่งที่บ้าน"
" เข้าใจแล้วครับ เอ๊ะ ไปส่งที่บ้าน!"
" นั่งแท็กซี่ตอนสามทุ่มอันตรายครับ"
สามภพยืนยันคำพูดของตัวเองด้วยนํ้าเสียงจริงจัง เก็บที่เขี่ยบุหรี่เข้ากระเป๋ากางเกงเรียบร้อยก็หยิบสูทที่ตัวพาดไว้บนราวขึ้นมาถือ
" ผมจะลงไปเก็บของก่อน เดี๋ยวขึ้นมาหาครับ"
" เดี๋ยวก่อนครับคุณภพ"
" มีปัญหาอะไรเหรอครับ หรือผมจู้จี้กับคุณมากเกินไป"
" ไม่ใช่แบบนั้น ผมแค่เกรงใจครับ"
เปียกปูนยกมือขึ้นปฏิเสธทันควัน หูตาลายกับสถานการณ์ที่น่าตกใจนี้
" ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ"
สามภพที่ยืนทำหน้าเคร่งท่ามกลางแสงสลัวจากโคมไฟที่ส่องลงมา ดูแล้วช่างน่ากลัวกว่าภูตปีศาจที่เปียกปูนได้ประสบพบเจอมาเสียอีก
" เดี๋ยวขึ้นมาหาครับ"
" เอ่อ...ก็ได้ครับ"
" อีกอย่าง...ไม่ต้องกวาดมากหรอกครับ ยังไงดาดฟ้าก็ต้องมีฝุ่นตลอดอยู่แล้ว"
สามภพลงไปชั้นล่างแล้ว...ทิ้งเปียกปูนเอาไว้กับไม้กวาดคู่ใจ ดวงตาคู่สวยจ้องมองมันด้วยสายตาผิดหวัง
" แล้วทำไมต้องมาเจอเขาที่นี่ด้วยนะ"
ไม้กวาดของเปียกปูนสั่นน้อยๆ ราวกับต้องการปลอบประโลม
ว่าแต่นั่งรถของคุณภพกลับบ้านงั้นหรอ เปียกปูนคนนี้จะโดนฆาตกรรมหรือเปล่านะ... คงจะเป็นคดีใหญ่ในเมืองเวทมนตร์ด้วยแหงๆ
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 9
Comments