เช้าวันรุ่งขึ้นซัมเมอร์ก็ตัดสินใจเล่าความฝันให้เพื่อนทั้งสองได้ฟัง
“บางทีนายอาจจะเหนื่อยจนเก็บไปฝัน” นั่นคือข้อสันนิษฐานของชนินทร์ ซึ่งมาแชลก็พยักหน้าหงึกหงัก
“บางทีนายอาจจะระลึกชาติได้” มาแชลเอ่ยติดตลก “ฉันอ่านนิยายแนวนี้มาเยอะ”
“เพราะเป็นนิยายน่ะสิมาแชล” ชนินทร์กลอกตาใส่เขา
“บางทีฉันคงเหนื่อยจริง ๆ ” เด็กหนุ่มกล่าวเสียงเบา
ครุ่นคิดอยู่นานในที่สุดซัมเมอร์ก็ตัดสินใจใช้เวลาหลังเลิกคลาสไปกับการตามหาเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่ง แต่ด้วยความที่เขาเป็นพวกอินโทรเวิร์ต ไม่เข้าสังคม ไปไหนมาไหนคนเดียว การตามหาเขาจึงเป็นเรื่องยาก
แต่ว่านะความพยายามก็ไม่เคยทรยศใคร อย่างน้อยก็เขาคนนึงล่ะ เพราะในที่สุดซัมเมอร์ตามหาเพื่อนคนนั้นเจอเสียที
“อยู่นี่เอง!” เขาเอ่ยทัก แน่นอนว่าอีกฝ่ายหันมามอง แต่ก็ไม่ได้ตอบกลับ
“เมื่อวานเรายังคุยกันไม่จบ” ซัมเมอร์นั่งลงข้างเขา “นายชอบมานั่งที่นี่หรอ?”
“อือ สงบดี แต่ตอนนี้คงไม่ละ” ว่าจบก็เตรียมจะลุกหนี
“เดี๋ยวสิ! นายไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นจนกว่าจะตอบคำถามฉัน”
อีกฝ่ายปรายตามองเขา ยอมนั่งลงแต่โดยดี “มีอะไร”
ซัมเมอร์เล่าความฝันเมื่อคืนให้เขาฟังอีกครั้ง หลังจากนั้นทั้งสองก็เงียบไป
“บางทีนายก็ควรปล่อยมันไปตามโชคชะตา”
“หมายความว่าไง?” เด็กหนุ่มหันมามองเขาด้วยความงงงวย
“ตามนั้นแหละ นายอยากให้ฉันตอบอะไรนายอีกมั้ย? ถ้าไม่ฉันจะไปนอนละ”
“โอเค ฉันจะถามแค่สามคำถาม ไม่นานหรอก”
“...?”
“งั้นเริ่มคำถามแรก นายชื่ออะไร?”
“มิเกล”
“นายรู้จักฉันหรอ?”
“ยิ่งกว่ารู้จักอีก”
“แล้วท่านผู้นั้นที่นายพูด หมายถึงใคร?”
คราวนี้มิเกลไม่ได้ตอบเร็วเหมือนทุกครั้ง เขาคิดอยู่สักพักราวกับตกอยู่ในภวังค์
“ซัมเมอร์..ฉันไม่ใช่คนที่ควรบอกนายหรอก”
“...”
เขามองมาที่เจ้าของชื่อช้า ๆ รอยยิ้มและนัยน์ตาสีน้ำตาลสว่างดูอ่อนโยนยิ่งนัก
“บางที ท่านควรลองกลับไปทวนดูนะขอรับ”
ชั่วครู่นั้น ซัมเมอร์รู้สึกราวกับเห็นภาพซ้อนของใครอีกคนทับกับมิเกล
ชายหนุ่มรูปงามสวมแว่นตาเเละเครื่องประดับยศ ผมยาวสลวยถูกรวบหลวม ๆ ไปข้างหลัง เจ้าของใบหน้าผ่องใสที่แสนอ่อนโยนส่งมอบยิ้มละไมมาให้เขา
“...”
ซัมเมอร์รั้งอยู่ในสวนต่ออีกหน่อย เขามองธารน้ำที่ไหลผ่านด้วยความสับสน ภาพซ้อนในหัวยังไม่จางไป เด็กหนุ่มทนไม่ไหวจึงหยิบดินสอและสมุดออกมาสเก็ตภาพ เมื่อวาดเสร็จความสงสัยก็ยิ่งมากล้น เพราะแม้จะเป็นเพียงภาพเลือนลางในหัว แต่เขากลับวาดรายละเอียดได้เยอะกว่าที่เห็น ราวกับว่าได้พบเห็นทุกวันจนขึ้นใจอย่างไรอย่างนั้น ซัมเมอร์ยังคงจ้องภาพนั้นโดยไม่ละสายตาไปไหนอยู่ครู่ใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรจึงนอนแผ่ลงไปบนผืนหญ้า สายลมยามเย็นของฤดูใบไม้ผลิพัดแผ่วเบา ราวกับต้องการจะหยอกล้อกับเขา เสียงของธารน้ำทำให้จิตใจสงบลงได้มาก ซัมเมอร์หลับตาลง ปล่อยใจไปตามกระแสธารอย่างใจเย็น ไม่นานเด็กหนุ่มก็ผล็อยหลับไป
“ทูนหัว”
เสียงเรียกของชายหนุ่มที่แสนคุ้นหูปลุกให้เขาตื่นขึ้น ซัมเมอร์หันรีหันขวางด้วยความตกใจ
“ทูนหัวของข้า” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เขามั่นใจว่าตนไม่ได้หูเพี้ยนไปเป็นแน่
“ใครน่ะ!?”
“ซัมเมอร์ กลับมาหาข้า กลับมาปกครองบ้านเมืองของเรา” เสียงเดิมดังขึ้นเป็นครั้งที่สามเขามั่นใจแล้วว่าเสียงนี้มาจากไหน
ธารน้ำ
ซัมเมอร์เริ่มหวาดกลัว สองมือยันขึ้นได้ก็เตรียมวิ่ง ทว่าสองขากลับไม่ให้ความร่วมมือ ในเวลานี้เองเสียงเรียกชื่อของเขาก็ดังก้องภายในหัว เสียงของคนนับร้อยเรียกชื่อเขาซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด จากร้อยกลายเป็นพัน เสียงดังเซ็งแซ่จนซัมเมอร์ทนไม่ไหวยกมือปิดหูโดยพลัน
“ไม่!!” เขาตะโกนออกมาสุดเสียง “ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น!!”
หลังสิ้นคำตอบของเขา เสียงของคนนับพันก็หายไป ทิ้งไว้เพียงเสียงที่เศร้าใจของใครสักคน
“ข้าอยากพบเจ้าอีกครั้ง”
“ได้ครับ” ซัมเมอร์ที่สติเริ่มหายตกใจกับคำพูดของตัวเองเป็นอย่างมาก
“มาหาข้าสิที่รัก”
“ท่านโคลด์..” เด็กหนุ่มสติเหือดแห้งไม่เหลือหลังจากได้ยินประโยคนั้น เขาเดินตามกลิ่นบุปผาไป จนกระทั่งพบกับประตูบานหนึ่ง
ซัมเมอร์เดินเข้าไปใกล้อย่างไม่เกรงกลัว จี้อัญมณีบนลำคอพลันเปล่งประกายเรืองรองรับกับประตู สร้อยสีเงินปลดตนเองออกจากเด็กหนุ่ม ก่อนจะแตกออกเป็นเศษเล็กเศษน้อยเต็มอากาศ เศษเหล่านั้นลอยเข้าไปหาประตูอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงเสี้ยววิก็หลอมรวมกลายเป็นประตูวิเศษบานหนึ่ง
“มาสิซัมเมอร์” เสียงเชื้อเชิญดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับร่างเลือนลางแสนกำยำของชายผู้หนึ่ง เมื่อมองจากสีผมซัมเมอร์ก็รู้ทันทีว่าเขาเป็นคนเดียวกับที่ช่วยตนไว้ แต่พอคิดได้ว่าสิ่งนั้นไม่ใช่คน ขนก็พลันลุกชัน สติเริ่มกลับคืน แต่ก็เป็นอย่างเดิมที่ว่าแม้ใจนึกอยากจะหนีแต่สองขากลับไม่ให้ความร่วมมือ ซ้ำยังก้าวไปหาประตูบานนั้นด้วยสติที่ไม่ครบถ้วนนัก
จนกระทั่งได้ก้าวผ่านประตูไป
ร่างกายที่ตึงวูบไปชั่วขณะทำให้สติของเขากลับคืนมาอย่างครบถ้วน ซัมเมอร์มองสำรวจรอบด้านอย่างรวดเร็ว เสียงหัวเราะและเสียงเพลงเเสนครื้นเครงดังขึ้นด้านหน้า เมื่อจะเดินไปซัมเมอร์ก็รู้สึกว่าร่างกายของตนหนักอึ้ง มองลงไปก็พบว่าหาใช่ร่างกายเขาที่หนัก แต่เป็นเสื้อผ้าที่เปียกชื้นบนตัวเขาต่างหาก เด็กหนุ่มรีบเปิดดูสมุดสเก็ตภาพในกระเป๋าหนังทันที
“ยังไม่เปียก ขอบคุณสวรรค์” ซัมเมอร์คลี่ยิ้มด้วยความดีใจ รีบออกจากน้ำโดยพลัน เขาเดินไปตามทางที่อัดแน่นไปด้วยหิน เสียงร้องเพลงที่ดังขึ้นทุกก้าวจนทำให้เด็กหนุ่มไม่รับรู้เลยว่ามีใครกำลังสนทนากันอยู่ไม่ไกล
“องค์ชายกลับมาแล้ว องค์ชายกลับมาแล้ว! รีบไปทูลท่านโคลดด์เร็วเข้า”
“เจ้าก็ไปสิ ข้าขอตามดูเขาอีกสักพัก” ภูติน้อยโบกมือไล่คู่สนทนาอย่างไม่ใส่ใจนัก ด้วยกำลังมองตามซัมเมอร์ตาไม่กะพริบ
“ซินเธียร์” ภูติตนนั้นเข้ามาโอบเอวเขา พร้อมแสร้งทำเป็นเศร้า “ใจคอเจ้าจะให้ข้ากลับวังคนเดียวหรือ”
“ปล่อยข้านะไซรัส หากมีคนเห็นเข้าจะทำอย่างไร” ผู้ถูกกอดเอ่ยเสียงดุ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้
“เราตัวเท่าฝ่ามือผู้ใดจักเห็นกัน ต่อให้เห็นแล้วอย่างไร?” ภูติหนุ่มเบะปาก “เจ้าอายที่ดูใจกับข้ารึ”
ซินเธียร์ที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบหันหน้าเข้าหาคนรักในทันที ฝ่ามือขาวทาบลงบนผิวแก้มสีน้ำผึ้ง “เปล่าเลย ข้าแค่รู้สึกว่าไม่เหมาะสมนัก เราต่างก็เป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ทั้งคู่ มันดูไม่งาม”
ไซรัสที่เหมือนจะเข้าใจก็ปล่อยกอดแต่โดยดี “งั้นเราไปดูองค์ชายว่าท่านแคล้วคลาดปลอดภัยก่อนค่อยกลับไปรายงานแล้วกัน”
ซินเธียร์คลี่ยิ้ม “อื้อ!” เขาหันกลับมาทางซัมเมอร์อีกครั้ง กลับพบแต่ความว่างเปล่า ซัมเมอร์หายไปแล้วหรือนี่
ภูติทั้งสองมองหน้ากันตาปริบ ๆ จากนั้นก็รีบพุ่งตัวไปตามทางทันที เมื่อพ้นทางหินก็พบกับขบวนแห่แสนยิ่งใหญ่บนท้องถนน เหล่าลูกไฟผัดเปลี่ยนสีหยอกล้อกันอยู่เหนือธารน้ำเล็ก ๆ เสียงดนตรีอึกทึกครึ้กโครมเป็นอย่างมาก เหล่าภูติและเหล่าพรายที่เฉลิมฉลองกันไปตามทางทำให้พวกเขาคลาดกับองค์ชายอย่างไร้ร่องรอย ทั้งสองรีบบินขึ้นไปเหนือฝูงชน หลังเขม้นมองสักพักก็พบกับเรือนผมสีส้มสะดุดตา พวกเขารีบบินตรงไปทางนั้นอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยเหล่าชาวเมืองที่แห่กันมาอย่างมืดฟ้ามัวดินก็ทำให้เกิดปัญหาอยู่ไม่ใช่น้อย ในขณะที่เขากำลังจะถึงตัวอยู่แล้ว เจ้าของเรือนผมสีส้มนั้นก็ถูกฉุดตัวหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“เขาหายไปไหนแล้ว!” ซินเธียร์มองหาด้วยความร้อนใจ
ไซรัสโอบเอวคนรักอย่างแนบเนียน “เขาคงไปได้ไม่ไกล ซินเธียร์ เราควรจะกลับไปแจ้งท่านโคลด์ก่อน ใกล้จะถึงเวลาแล้วด้วย”
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments