เรื่องเล่าโรงเรียนคริสต์ ตอน (เปิดตาสัมผัสที่ 6)

เรื่องเล่าโรงเรียนคริสต์ ตอน (เปิดตาสัมผัสที่ 6)

ปฐมบทของชายหนุ่มมี่ไม่รู้ตัวเองว่ากำลังเข้าสู่ด้านมืดของโลกใบนี้และโลกอีกใบ...

เรื่องลี้ลับ ตำนาน เรื่องเล่า อาถรรพ์ เรื่องผีในโรงเรียนมันมีเกลื่อนกราดทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด แน่นอนว่าผมคนหนึ่งที่เจอประสบการณ์โดยตรงและมันทำเห็นผมได้รับสิ่งใหม่ที่เรียกว่า สัมผัสที่หก

ผมขอแนะตัวก่อนแล้วกัน ผมชื่อโอ๊คอันนี้ชื่อนักเขียนจริง ๆ นะไม่ใช่ตัวละครและเรื่องที่จะเล่าก็เป็นเรื่องที่มีเค้าโครงมาจากเรื่องจริงและปรับแต่งให้มีอรรถรสที่มากขึ้นและมีปมที่ไปสู่เรื่องเล่าถัดไปผมได้เกริ่นมามากพอละหวังว่าทุกคนจะได้สัมผัสถึงความน่ากลัวที่ผมได้รับ

ย้อนกลับไปเมื่อปี ๒๕๕๘ โรงเรียนคริสต์ต่างจังหวัด ห่างไกลซึ่งสิ่งปลูกสร้างบ้านเรือน ในระแวกนั้นมีบ้านเพียงไม่กี่หลังและหลังรั้วนั้นเป็นเพียงทุ่งนา พื้นที่ขนาบข้างด้านทิศตะวันตกเป็น พื้นที่ว่างปล่อยให้เกิดผืนป่าพืชพันธุ์ขึ้นรกรุงรัง ด้านทิศตะวันออกเป็นพื้นที่โล่งยาวไปถึงหลังโรงเรียนและมีคลองเล็ก ๆ ขนานกับถนนเลนเดียว ข้างในมีตึกเรียนสองตึก ที่นั้นรู้กันดีว่าจะต้องเรียกตึกเก่าและตึกใหม่ ตึกเก่าสูงสามชั้นติดกับฝั่งตะวันออกมันเกิดมาพร้อม ๆ กับโรงเรียนนี้เกิดมาละมั้ง และตึกใหม่เพิ่งจะสร้างเสร็จไม่ถึงสิบปี

ณ ห้องเรียนพิเศษ English Integrated Study ชั้นประถมศึกษาปีที่สี่ หนุ่มน้อยพูดแทรกเสียงคุณครูที่พูดบรรยายการสอบของเขาเป็นภาษาอังกฤษ

“กาย มึงว่าเราเรียนโครงการนี้เราจะได้ภาษาจริง ๆ หรอวะ กูเรียนมาเกือบเทอมละงงกว่าเดิมอีก สอนวิทย์เป็นภาษาไทยยังเข้าใจยาก สอนวิทย์เป็นภาษาอังกฤษกูซี่ม่องเท่งแน่”

“ทำไงได้มึงตามกูมาแล้ว เรียน ๆ ไป ดูคนฉลาดอย่างกูไว้” กายยืดอกเชิดหน้าอย่างมั่นใจ

“ว้าว ๆ พ่อคนเก่ง อย่างแมว?”

“แคท”

“แรท?”

“หนู”

“งู?”

“เขียวหางกระดิ่ง”

“แฮร่!!”

“โอ๊ค มึงติดตลกอะ”

ขณะที่ผมกับเพื่อนคุยกันอยู่ ผมไม่รู้ตัวเลยว่าก้อนยางสังเคราะห์ทรงลูกบาศก์พุ่งตรงตามแรงเหวี่ยงของครูปะทะกับท้ายทอยของผมอย่างพอดี

“นี่พวกเธอตั้งเรียนหน่อย เธอได้โอกาสเรียนกว่าคนอื่นก็ทำให้เต็มที่หน่อย พ่อแม่เสียเงินเพิ่มให้เรียนโครงการนี่...” ครูเจสซี่พล่ามร่ายคำศัพท์ภาษาอังกฤษยาวราวกับสวดอ้อนวอนพระเยซู

“มึงว่าครูเจสซี่เหมือนคนไทยขึ้นทุกทีเลยเปล่าวะ ครูต่างชาติรู้จักโยนยางลบเฉย” ผมหันไปกระซิบกาย

เสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้นดึงความสนใจของนักเรียนเข้าไปหาเสียงแทน สิ้นสุดเสียงเคาะ ชายร่างสูงโปร่งใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้ากับสแล็คสีดำอย่างสุภาพ เปิดประตูเข้ามา การหายใจเข้าออกเฮือกใหญ่ เหงื่อเม็ดใหญ่บนหน้าผากอีกสองสามเม็ดทำให้รู้ว่าเขาเหนื่อยแค่ไหน

“ขออนุญาตนะครับ ครูขอตัวแทนห้องสักห้าคน ช่วยยกของไปจัดงานวันคริสต์มาสนี้หน่อยนะครับ”

“ผมกับไอ้กายครับครูแบร์” ผมตอบทันควัญเมื่อสิ้นสุดเสียงครู

“น่าน..กูว่าแล้ว” กายรู้ถึงสิ่งที่ผมคิดทันที

“อาจารย์จะให้ไปยกของที่ไหนเหรอครับ” ผมถาม

“ห้องเก็บของข้างห้องโบสถ์น่ะ ทำไมเหรอ เดินตามครูมาก็พอแล้ว”

เสียงฝีก้าวย่องเบาเดินเข้ามาหลังผมแล้วกระซิบ “ข้างห้องโบสถ์เลยเหรอวะ มึงรู้เปล่าว่าโบสถ์มันมีเรื่องเล่าอะ” ดอมเดินเข้ามา

“ไอ้เจมส์ ไอ้ดอม จะไปไหนห้องมึงไม่ได้เรียนเหรอ”

“พวกกูจะไปหาเพื่อน ระวังไว้นะเว้ยมึงจะโดนหลอกเอา” เจมส์แซว

เจมส์กับดอมเป็นเพื่อนผมสมัยป.๓ เวลาเล่นอะไรก็จะเล่นด้วยกันบ่อย ๆ ทำให้พวกเขาสนิทกันมากและวีรกรรมของพวกเราก็มีมากเช่นกัน

“พอดีเลยพวกครูขอให้พวกเธอช่วยอีกแรงหน่อย” ครูแบร์วอนเจมส์กับดอม

“ได้ครับอาจารย์ผมว่างพอดี”

แก๊งเด็กหนุ่มเดินตามครูตามทางเดินของตึกเก่าจนกระทั่งผ่านหน้าห้องโบสถ์ประตูบานคู่เปิดอ้าออกให้เห็นภายใน แสงจากด้านในลอดผ่านความมืดในโบสถ์เผยให้เห็นพรมแดงทางยาวไปทางสิ้นทางเดินเป็นเวทีประดับด้วยโพรเดียมกลางเวที กีต้าร์โปรงพิงกับเก้าอี้ด้านข้างเวที รูปพระเยซูถูกแขวนบนไม้กางเขนขนาดใหญ่ประดับไว้บนผนังโบสถ์เก้าอี้ไม้หลายตัววางเรียงกันเป็นแถวยาวเต็มห้อง

“เชี่ย กูเรียนมาตั้งนานกูเพิ่งเห็นห้องโบสถ์เปิด” ดอมว่า

“เขาเปิดช่วงเย็นนู้นมึงไม่อยู่ไม่รู้หรอก” เจมส์ว่า

“แต่มันก็น่ากลัวอยู่นะ” กายเอ่ย

“กูมีที่น่ากลัวมากกว่านี้จะเอาที่ห้องน้ำร้างหลังห้องสมุด ห้องนาฏศิลป์ ห้องแล็ปที่มีแต่พวกจะแข่งขันเข้าไปได้ เที่ยงนี้ไปเลยไหมล่ะ” เจมส์ว่า

“แต่เขามีกฎว่าไม่ให้ขึ้นอาคารตอนเที่ยงไม่ใช่หรอ” กายท้วง

“กฎมีไว้แหก เอาที่นี่แหละกูอยากรู้ว่าในโบสถ์มันมีอะไร” ผมทัก

กลุ่มนักเรียนต่างพากันยกอุปกรณ์ใช้ตกแต่งในวันคริสต์มาสไปประดับไว้ ณ ห้องต่าง ๆ ต่างคนเหน็ดเหนื่อย

“พวกเธอยกของไปรอบนี้ก็ขึ้นห้องเรียนเลยนะ อย่าโดดเรียนล่ะ ครูต้องไปเคลียร์งานต่อ ครูขอบใจพวกเธอมาก” ครูแบร์กล่าวก่อนจะเดินลุกลี้ลุกลนไปจากพวกเรา

“จังหวะมันได้จริง ๆ อย่างกับเขียนบทมาแล้ว” ผมพูดลอยออกมา

“ไปมึงมันได้เวลาของเราแล้ว”

สีหน้าของทุกคนพร้อมเพียงและตื่นเต้นเป็นอย่างมากยกเว้นเพื่อนสนิทของผมไอ้กายมันเป็นโรคอะไรของมันไม่รู้ชอบกลัวการทำผิดกฎ ชีวิตมันมีสีสันกับเขาบ้างไหมเนี่ย ผมจึงตัดสินใจไล่มันกลับไปแต่ให้มันปิดปากเงียบแทน

ตอนนี้มีเพียงแค่ผม ดอมและเจมส์สามคน เราทิ้งโต๊ะเก้าอี้และกระสอบสายรุ้งที่จะทำไปประดับห้องไว้หน้าห้องโบสถ์ พวกเราก็เดินเข้าไปในห้องมืดที่แสงส่องเข้าไปเพียงเล็กน้อย กลิ่นห้องร้างแตะจมูกผมทันที ละอองฝุ่นลอยฟุ้งไปทั่วห้อง เก้าอี้เปื้อนเปรอะไปด้วยคาบฝุ่น

“โห เขาทำความสะอาดบ้างไหมเนี่ย” ดอมอุทาน

“ไม่เห็นมีไรเลย เจมส์มึงเป็นคริสต์ เขาขอพรพระเยซูได้เปล่าวะ” ผมถาม

“ได้ดิมึงจะขออะไรอะ” เจมส์หยิบไม้กางเขนเก่า ๆ ขึ้นมาจากเก้าอี้พลางให้คำตอบ

“โอเค ถ้างั้นผมขอให้พวกเราเจอผีในที่ ที่เราจะไปหาผี อาเมน”

เสียงไม้หักดังขึ้นจากด้านหลังผม สายตายผมส่องไปยังจุดนั้นทันที ภาพที่เห็นคือไม้กางเขียนหักเป็นสองท่อน ผมมองตาเจมส์และดอมก็เข้าใจกันทันที เราเร่งฝีเท้าสุดฤทธิ์ และรีบกลับไปยกของทันที

วันนี้แหละที่เราจะได้พิสูจน์ว่าวิทยาศาสตร์กับไสยศาสตร์อะไรจริงยิ่งกว่ากัน

“พวกมึงคงไม่กลัวจนเบี้ยวนัดนะ ที่ห้องสมุดเที่ยงสิบนาที” ผมเตือนเพื่อน

“ไอ้เจมส์ แล้วมึงจะถือไม้กางเขนออกมาทำไม” ดอมทัก

เจมส์เห็นอย่างนั้นจึงโยนเข้าไปในห้องเก็บของ ทุกคนต่างพากันแยกย้ายขึ้นห้องเรียนเหตุการณ์ทุกอย่างยังคงปกติจนถึงเวลานัด

๑๒:๑๒ น.

“ก่อนจะเริ่มไปมึงบิ้วก่อนดีกว่าว่าในโบสถ์มันมีเรื่องเล่าอะไร” ผมถาม

“มึงจะไปจริง ๆ เหรอ” สีหน้าเจมส์ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก

“ขอร้องอย่ามาปอดแหกตอนนี้ แล้วมันก็กลางวันอยู่มึงจะกลัวอะไร”

เจมส์ได้เล่าให้ผมฟังว่า จะมีการเปิดโบสถ์เวลาหกโมงเย็นของทุกวันเพื่อให้คริสตชนแถวนั้นมาสวดมนต์และทำพิธี เขาก็ไม่ได้เข้ามาที่นี่บ่อยนักแต่แม่ของเขามาเป็นประจำ แม่เจมส์ได้เล่าว่าอยู่มาวันหนึ่งเมื่อสองปีก่อน ผู้หญิงที่มาทำพิธีก็ร้องกรี๊ดขึ้นมาเฉย ๆ จากหน้าตาสวย ๆ ขอบตาก็ดำขึ้น ตัวซีดจางราวกับศพและก็เปลี่ยนไปเป็นอีกคนในชั่วพริบตา ฟาเทอร์ก็ลงมาสวดไล่ผีแล้วก็มอบขนมปังและไวน์แดงให้ดื่มทาน ทว่าไวน์แดงก็หนืดขึ้นส่งกลิ่นคาวเลือดอบอวนไปทั่วโบสถ์ ขนมปังผันเปลี่ยนเป็นเนื้อเน่าในฉับพลัน แล้วผู้หญิงคนนั้นก็พูดว่า “เลือดเนื้อของพระเจ้าก็อร่อยเหมือนกันนะเนี่ย” หญิงสาวหัวเราะอย่างสะใจก่อนจะหมดสติ พอตื่นขึ้นมาเขาก็เสียสติไปเลย

“เชี่ยน่ากลัวว่ะ” ดอมว่า

“ว่าแต่มึงจะพากูไปที่ไหน” ผมถาม

“กูว่าเราสำรวจให้ทั่วตึกใหม่เลยดีกว่า มึงไม่สงสัยหรอ ทำไมเขาไม่ให้เด็กตึกเก่าขึ้นตึกใหม่” เจมส์ท้วง

เราเริ่มสำรวจตั้งแต่ชั้นสองทีละประตูหน้าต่างล้วนประดับไปด้วยของตกแต่งวันคริสต์มาส สายรุ้งห้อยระโยงระยาง ป้าย Merry Xmas ห้อยไว้หน้าประตูอย่างระเบียบเรียบร้อย หลายห้องต่างตกแต่งหลากหลายแบบเพื่อชนะการแข่งขันตกแต่งห้องสวยงาม

“ถ้าตกแต่งห้องแบบนี้ ห้องกูชนะชัวร์” อยู่ ๆ ดอมก็โม้ขึ้นมา

“ห้องมึงจะมาชนะห้องกูได้ไงวะดอม” ผมจึงโม้กลับบ้าง

เราเดินสำรวจแต่ละห้องไม่มีความผิดปกติใด ๆ ทว่าชั้นสามความแปลกของมันสดุดตาผมเต็ม ๆ ห้อง ๒๓๖ มันประดับประดาไปด้วยสายรุ้งรอบห้อง ดาวสีเหลืองติดเพดาลยึดสายรุ้งเชื่อมกับมุมต่าง ๆ ในห้อง แต่ความแตกต่างของมันคือถ้ำกำเนิดพระเยซู เขานำกระดาษมาปั้นเป็นถ้ำและรองด้วยฟางในนั้นมีตุ๊กตาเด็กอยู่ตัวหนึ่งเจมส์จึงหยิบขึ้นมาเล่น ตุ๊กตาขยับเปลือกตาขึ้นลงเมื่อเขาขยับมัน

“เห้ยผี!” เจมส์อุทาน

“ผีบ้าอะไรของมึงมันเป็นตุ๊กตาหลับตาได้”

ดอมเลยผลัดเข้าไปเล่นบ้าง

“เห้ยผี!” ดอมอุทานขึ้น

“มึงติดเล่นอะ ขอให้มึงเจอจริง ๆ กูจะหัวเราะให้”

ผมจริงผลัดไปเล่นบ้างครั้งนี้ผมขยับทำให้ตุ๊กตาหลับตาไปถึงสองรอบผมจึงวางลงและจะออกไปสำรวจชั้นสี่ต่อ

“เชี่ย!ผี” ผมอุทานขึ้น

“นั้นแล้วบอกพวกกูติดเล่น” ดอมว่า

ผมสะกิดดอมให้หันไปมองบันไดขึ้นชั้นสี่ทางทิศตะวันออก ภาพที่ปรากฏคือ ตุ๊กตาชุดเดรสกระโปรงบานสีชมพู ห้อยโซ่สีทองพาดบ่า ผมลอนสีบลอนด์ นั่งเหยียดขามองหน้าผม

“เจอจริง ๆ หัวเราะไม่ออกเลยว่ะ” ผมบอกเพื่อนขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปที่ตุ๊กตาตัวนั้น

ไม่ทันไปสิ้นเสียงพูดเสียงฝีเท่าก็เริ่มดังด้วยจังหวะถี่ขึ้น เจมส์และดอมวิ่งลงบันไดฝั่งทิศตะวันตกและผมก็สับขาตามไปติด ๆ เมื่อลงไปถึงชั้นแรกก็เจอกับน้องที่รู้จักพอดีจึงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้น้องฟังและทุกคนก็ตัดสินใจว่าจะขึ้นไปดูด้วยกันแต่แล้วตุ๊กตาผมบลอนด์ก็หาย เสียงออดเตือนหมดเวลาพักเที่ยงดังขึ้นพอดีเราจึงแยกย้ายเข้าห้องเรียน

ตอนนั้นความรู้สึกผมสับสนไปหมดไม่รู้ว่าควรรู้สึกกลัวที่เจอผี รู้สึกตื่นเต้นที่ผีมีจริงหรือสับสนว่ามันอาจจะเป็นภาพหลอนแบบอุปทานหมู่ ผมนั่งดูลอยมองผ่านทีวีที่กำลังเปิดวิดีทัศน์จู่ ๆ ใบหน้าของตุ๊กตาผมบลอนด์ก็โผล่มาผ่านตัวเลขมากมาย

“เฮ้ย!” ผมอุทานเสียงดังลั่นห้องทุกสายตาจับจ้องมาที่ตัวผม

“โอ๊คคุณโอเคหรือเปล่า” ครูเจสซี่ถามเป็นภาษาอังกฤษ

“ไม่เป็นไรครับ”

หลังจากนั้นทุกคนก็กลับไปสนใจการเรียนต่อ

“โอ๊คมึงโดนมาใช่ไหม” กายถาม

ตอนนั้นสีหน้าของผมไม่อาจปฏิเสธได้เลย

“โอ๊คมึงกลับไปขอขมาเขาด่วนเลย” กายพูดเสียงเตือนที่นักแน่น “กูบอกมึงแล้วมึงไม่ฟังกูเลย”

“กูขอโทษ” ผมพูดได้แค่คำนี้คำเดียวจริง ๆ

“กูไม่ได้โกรธมึง ไม่ต้องมาขอโทษ ไปขอโทษคนที่โกรธมึงนู้น”

เมื่อถึงเวลาเลิกเรียนผมจึงนัดดอมและเจมส์ไปขอขมาตุ๊กตาห้อง ๒๓๖แต่อยู่ ๆ เจมส์ก็ส่งสายตาว่าไม่เห็นด้วย

“มึงว่าไงเจมส์” ดอมถาม

“กูว่าไม่น่าใช่ที่ห้อง ๒๓๖ มึงลองคิดดูนะเว้ยเราเข้าห้องไปมันก็ห้องเรียนปกติอะ ถ้ามันมีผี นักเรียนห้องนั้นก็ต้องเจอไม่ใช่หรอวะ หรือเพราะตุ๊กตาตัวนั้นก็ไม่น่าใช่คนที่ซื้อมาควรโดนก่อนเราไม่ใช่หรอ”

“มึงคิดว่าที่โบสถ์?” ผมถาม “แล้วเราทำอะไรผิดวะ”

“เพราะมันเจมส์มันหักกางเขนหรือเปล่า” ดอมว่า

“คือกูมีเรื่องที่กูยังไม่ได้บอกพวกมึงว่ะ” เจมส์เกริ่น “ที่จริงกูไม่ได้เป็นคนหักไม้กางเขน กูเห็นมือสีดำนิ้วเรียวยาวโผล่ออกมาจากหลังมือกูแล้วก็บีบกางเขนหักคามือกูเลย”

“ไอ้เจมส์” ผมและดอมเน้นเสียงไปพร้อมกัน

“กูเตือนมึงก่อนขึ้นแล้ว ไม่ต้องมาโทษกู” เจมส์ว่า

“งั้นก็เพราะมึงเอากางเขียนออกมาข้างนอกแน่” ผมว่า

“กูว่าเพราะมึงขอพรว่าอยากเห็นผีว่ะ” เจมส์ว่า

“กูว่าพวกมึงทั้งคู่ เจมส์มึงเอากางเขนไปคืน โอ๊คไปขอโทษเยซู”

“งั้นไปเลยก่อนจะค่ำ” ผมแนะนำ

“ไม่ได้หรอก ห้องโบสถ์เปิดหกโมงเย็น ต้องรอ” เจมส์ท้วง

“งั้นพวกเราก็ต้องตกรถอะดิ” ดอมว่า

“ไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวแม่กูก็มา กูจะไปส่งถึงบ้านทุกคนเลย” เจมส์ว่า

เรารอหน้าห้องโบสถ์อยู่นานแสนนาน ส่วนเจมส์ก็เข้าไปหาไม้กางเขนที่อยู่ในห้องเก็บของยังไม่ออกมาสักที

๑๘:๐๐ น.

นักเรียนทุกคนต่างกลับบ้านกันหมดเหลือพวกเราเพียงสามคน ท้องฟ้าเริ่มโพล้เพล้ ไฟตามทางเดินเริ่มติดทีละดวง เสียงจิ๊งหรีดค่อย ๆ ดังขึ้นให้รู้ว่าที่นี่เงียบเหงาแค่ไหน

“พวกมึงทำไมไม้เข้ามาหาช่วยกูวะ” เจมส์ถาม

“ห้องเก็บของแคบแค่นั้นเข้าแน่นเสียเปล่า อีกอย่างพวกกูก็รอประตูเปิดอยู่เนี่ย” ดอมว่า “มึงรีบหาเลยหกโมงแล้วเนี่ยรีบขอขมารีบกลับ”

“เออแป๊บของมันเยอะ” เจมส์ว่า “แล้วแม่กูมาหรือยัง”

“ไม่นะ” ดอมว่า

“ทำไมยังไม่มาวะ” เจมส์บ่นพลางสงสัย

“กูจะไปรู้กับมึงไหม แม่มึงไม่ใช่แม่กู” ดอมว่า

เสียงฝืดประตูคู่ค่อย ๆ แง้มออกทีละน้อยจนสามารถเข้าไปได้ด้านในยังคงมืดเช่นเดิมมีเพียงแสงไปทางเดินกระทบหน้าต่างทะลุเข้าไปห้องโบสถ์

“มึงเสร็จยัง” ผมถาม

“เจอละ....” เจมส์ตะโกนบอก “เชี่ย! กูเจอแขกไม่ได้รับเชิญว่ะ”

ผมเห็นสถานการณ์ตรงนั้นไม่ค่อยสู้ดีเข้าไปส่องดู ผีตุ๊กตายืนเหยียบโต๊ะไม้เรียงกับสูงจนเลยหัวเจมส์ เจมส์พยายามวิ่งออกมาแต่ประตูตาข่ายเหล็กปิดห้องเก็บของเสียก่อน เจมส์ถูกขังไว้ในห้องเก็บของคนเดียวกับผีตุ๊กตาอีกตัวดอมพยายามเขย่ารั้วให้ออกตะโกนให้คนช่วย ทั้งนี้ยังใช้ชะแลงทุบงัดก็ไม่ได้ผล

สถานการณ์ทำให้ผมเครียดมาก ๆ หน้าอกผมสั่นถี่ขึ้นเรื่อย ๆ เสียงหัวใจตุบตับดังออกมาถึงข้างนอกผมจึงตัดสิ้นใจว่าให้ดอมเฝ้าเจมส์ที่หน้า ห้องเก็บของและพยายามทุกทางอย่าให้เจมส์เป็นอะไร และผมจะเอาไม้กางเขนและไปขอขมาในห้องโบสถ์คนเดียว ผมหยิบไม้กางเขนทั้งสองท่อนขึ้นมาและรวบรวมความกล้า สูดหายใจเฮือกใหญ่และเดินเข้าไป เมื่อผ่านประตูเข้าไปแล้วผมรู้เลยว่าผมต้องเจอลูกไม้ไหนในการหลอก

เสียงปั๊ง ประตูบานคู่กระทบกันอย่างรุนแรง แม้จะตกใจอยู่บ้างแต่ผมก็ไม่หันกลับหลังไปเพราะมั่นใจอยู่แล้วว่ายังไงก็เปิดไม่ได้ เสียงคำรามในคอดังมาจากเบื้องหน้าผม ร่างสูงผอมเนื้อหนังแห้งติดกระดูกผมยาวบดบังใบหน้าไร้ซึ่งเสื้อผ้าอาภรณ์ทะลุกระโดดออกมาจากรูปปั้นเยซูราวกับว่าสิ่งสู่รูปปั้นพระองค์ไว้

เธอเดินมาทีละก้าวอย่าใจเย็น ผมเป็นเยื่อของเธอแล้ว ผมไม่มีทางหนีไปแล้ว ผมเลยเลือกที่จะเผชิญหน้ากับเธอ ผมเดินไปแล้วยืนไม้กางเขนให้เธอ แขนซ้ายของเธอยื่นมาช้า ๆ และหยิบไม้กางเขนทั้งสองท่อนไปบดขยี้เป็นผงไม้ มือขวาเธอคว้าคอผมยกอย่างง่ายดายราวกับว่าผมเป็นหมาแมวให้เธอยกเล่น แรงบีบมหาศาลบีบคอผมทั้งเจ็บทั้งหายใจไม่ออก ผมไม่สามารถพูออกมาเป็นคำได้เลย

“มึงคิดว่า มึงเขากางเขนมาคืนกูแล้ว มึงก็เสร็จเรียบร้อยแล้วกลับบ้านปกติหรอ กางเขนมันไม่ได้มีประโยชน์กับกูขนาดนั้นหรอกนะ” เสียงแหบแห้งพยามพูดออกมาเป็นภาษามนุษย์อย่างช้า ๆ “มึงคงจะอ้อนวอนกับพระเจ้าให้ช่วยล่ะสิ”

***ผีเขาไม่รู้หรอว่าผมไม่ได้นับถือคริสต์

“พระเจ้าในห้องนี้ได้ตายไปนานแล้ว ผู้เป็นเจ้าคือกูคนเดียวเท่านั้น”

ร่างกายผมเริ่มสั่งให้ดิ้นเพื่อหลุดแต่มันก็ไม่เป็นผล ผมพยายามพูดกับเขาแต่ก็ทำไม่ได้

“ผม....ขอ....โทษ...” ผมพยายามเปร่งเสียงสุดกำลัง

“ฮ่า ๆ แค่นี้จริง ๆ หรอ” เขาแค่นหัวเราะใส่ผม

แรงมือหนักแน่นบีบแรงขึ้นอีกจนดวงตาผมจะทุออกจากเบ้า เธอโยนผมกระเด็นไปโดนเก้าอี้และค่อย ๆ เดินมาหาผม เสียงกึกกักโครมครามดังขึ้นภายนอก ผมเกรงว่าเจมส์และดอมจะเป็นอะไรไปทำให้ผมหันไปมองที่ประตู ในชั่วพริบตานั้นเธอก็โผล่มาอยู่หน้าผมแล้ว

“ผมขอโทษจริง ๆ ในทุกเรื่องทุก ๆ อย่างสิ่งใดที่ผมทำไม่ดี ได้โปรด ให้อภัยผมเถอะ” ผมอ้อนวอนเขาสุดชีวิต

“นายไม่จำเป็นต้องขอโทษ นายไม่ได้ผิดเลย นายแค่ขอพรฉันก็แค่ให้พร ให้นายได้เปิดสัมผัสที่หกอย่างที่ต้องการ ฉันแค่มารับน้อง ยินดีกับสัมผัสใหม่ของนายด้วย” เขาเสยผมขึ้นให้ผมได้เห็นใบหน้าที่แท้จริง ดวงตากลมโตแดงกล่ำราวกับโลหิตสด เนื้อหนังแก้มด้านซ้ายถูกฉีกขาดเหลือเพียงซี่ฟันและกระดูกกราม แม้จะเหลือเพียงแค่แก้มขวา ผมก็สังเกตได้ว่าเขาแสยะยิ้มให้ผมอยู่

“ผมขอยกเลิกพรได้ไหม” ผมถาม

“ฉันไม่ได้ให้สัมผัสที่หกนายฉันแค่มาเปิด”

“งั้นก็ปิด...”

“หุบปากน่า ใช้ผลกรรมกับสิ่งที่ร้องขอไปเสีย” เธอขัดผมก่อนจะพูดจบเสียด้วยซ้ำ

เสียงปั๊ง รอบที่สองจากข้างนอกแสงจากทางด้านประตูลอดออกมา ทำให้ผมมั่นใจได้ว่ามีคนมาช่วยผมแล้ว

ผมหันควับกลับไปมองไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจกันแน่ ครูแบร์ส่งไปฉายกระทบหน้าผมเต็ม ๆ ผมหันกลับมาดูผีตัวนั้นก็หายไปเสียแล้ว

“โอ๊คเธอเข้ามาที่นี่ได้ยังไง ออกมาเร็ว” ครูแบร์ถาม

ผมรีบเดินเข้าไปกอดครูสักพักและออกไปจากห้องโบสถ์ครูแบร์ปิดห้องกลับไปเป็นอย่างเดิมและพวกเราก็ได้ขอครูให้ไปส่งบ้าน

ดอมและเจมส์ปลอดภัยดีครูแบร์เข้ามาช่วยทันก่อนจะเข้ามาช่วยผม ครูพอรู้เรื่องคร่าว ๆ แล้วว่าผมไปทำอะไรมาและเจออะไรจากปากดอมและเจมส์ ทุกคนขวัญผวาอยู่ไม่น้อยแต่ก็ปลอดภัยดี อาการเจ็บคอของผมก็หายทันทีที่ผีหายตัวไป

“สรุปแล้วครูก็คิดไม่ผิดที่ว่าพวกเธอจะเล่นอะไรแผลง ๆ ดีนะที่ครูยังมีเซนส์อยู่”

“หมายความว่ายังไงหรือครับครู” ผมถาม

“จริง ๆ ห้องโบสถ์มันถูกปิดตายอย่างไม่ทราบสาเหตุเมื่อห้าปีก่อน มีแต่คนมีเซนส์เท่านั้นแหละที่จะเห็นมันเปิดทุกวันศุกร์ที่ ๑๓ จากใครสักคนที่ไม่ใช่มนุษย์” ครูแบร์ว่า “ครูได้ยินพวกเธอพูดกันอยู่นะ ครูก็รู้ทีนทีว่าพวกเธอก็มีเซนส์เหมือนกัน แต่ครูก็เตือนแล้วนะ”

“เออว่ะ วันนี้ศุกร์ ๑๓ เดือนพฤษจิกายน ๒๐๑๕ นี่ว่า” ดอมว่า

“เมื่อกี้ครูพูดว่าอะไรนะ” ผมทวน

“อ่อ พวกเธอมีเซนส์น่ะ”

“ไม่ใช่ครับ ห้องโบสถ์ถูกปิดตายกี่ปีแล้วนะครับ”

“อ่อ ห้าปี”

“เชี่ย ไอ้เจมส์แม่มึง” ผมและดอมอุทานมาพร้อมกัน

“อย่าด่าแม่กันสิลูก” ครูแบร์เตือน

“ไม่ใช่ครับครู คือว่า...” ผมจะอธิบาย

เสียงริงโทนดังขึ้นแทรกเสียงผม มันดังมาจากกระเป๋ากางเกงเจมส์

“นั้นพูดถึงแม่ แม่ก็โทรมาพอดีเลย เรื่องนี้ครูจะไม่เก็บเป็นความลับนะผู้ปกครองต้องได้รู้” ครูแบร์เอ่ย

“ไม่ใช่แม่ครับครู พ่อโทรมา”

ทุกคนต่างพากันเงียบเพื่อไม่รบกวนเจมส์คุยโทรศัพท์ เจมส์แนบหูฟังโทรศัพท์อย่างใจจดใจจ่อ ร่างกายเจมส์เริ่มสั่นเทา มือบีบโทรศัพท์แน่น เสียงสะอื้นค่อย ๆ ผ่านลำคอออกมาให้พวกเราได้ยิน

“เจมส์มึงเป็นอะไร” ผมถาม

“แม่กูเสียแล้วว่ะมึง”

สวัสดีครับนี่ไรท์เองอยากรู้จังความสยองของเรื่องนี้เต็ม10ให้กี่กระโหลก???

ต้องขอพูดไว้ก่อนนะว่าเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากเรื่องจริงแบบเยอะมาก ๆ แต่แน่นอนว่าไรท์เจอผีจริง ๆ น้าาา

เป็นไงบ้างกับความสนุกอยากให้เขียนต่อหรือเปล่า จริง ๆ มีเรื่องสั้นที่อยู่ในจักวาลเดียวกันเพียบเลย ถ้าเรื่องนี้ผลตอบรับดีมีเรื่องต่อไปแน่นอน ติดตามนามปากกาไว้เลยนะ

สปอยล์ชื่อเรื่องที่จะเขียนคร่าว ๆ 

-แม่เจมส์

-ตาคม

-ห้องนาฏศิลป์

-ปอบบุกหมู่บ้าน

-เรื่องที่ลืม

ถ้าเรื่องนี้ผลตอบรับดี 5 เรื่องนี้มาแน่นอน อยากอ่านเรื่องไหนก่อนคอมเมนต์ไว้เลยนะครับ

และสุดท้ายนี้ขอบคุณที่สนันสนุนกันนะครับ

เลือกตอน

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!