เกาะสวรรค์แดนสนธยา
ผมชื่อ บิว ภาษาอังกฤษสะกดว่า Biw แต่ไม่รู้ทำไมคนอื่นถึงชอบเรียกว่า บิล Bill ตลอดมาหลายสิบปีแต่เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ มันไม่ได้กระทบอะไรกับการใช้ชีวิต ถือว่าเป็นเรื่องตลกหรือแปลกดี
ตอนนี้ผมก็อายุปาไป 83 แล้ว ต่อให้แข็งแรงยังไงในฐานะคนธรรมดาคนนึงแล้วหล่ะก็แพ้อายุขัย ผมกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงมาแล้วประมาณ 2 เดือน การนอนอยู่กับที่เป็นอะไรที่ทำให้รู้สึกเบื่อหน่ายและอึดอัดเอามากๆ
เหลน : ทวดฮะ วันนี้ผมสอบผ่านวิชาคณิตด้วยหล่ะ!
บิว : โอ....เก่งมากเลย....
ถึงจะเป็นอะไรที่ผมไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายไปไหนได้แม้แต่ยื่นมือไปลูบหัวเหลน ทำได้เพียงแค่นอนอยู่กับที่บนเตียงสีขาวนี้ แต่ยังดีที่สามารถพูดคุยได้และมีลูกหลานเหลนในชีวิตมาค่อยเยี่ยมเยียนอยู่ในทุกๆวันนี้ก็เป็นอะไรที่ดีมากแล้ว
เหลน : แต่ทวดฮะ...คะแนนของผมไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่เลย ถึงจะผ่านก็เถอะ และผมกลัวว่าจะทำได้ไม่ดีพอ
บิว : อย่าได้กังวลไปเลยเหลนคนเก่ง...ชีวิตนี้ของเหลนยังอีกยาวไกลและมีเรื่องมากมายให้เรียนรู้...เพื่อไขว้คว้าทำตามความฝัน ฝันของเหลนลืมแล้วเหรอว่าอยากทำอะไร
เหลน : อยากเป็นคนรวยฮะ!
บิว : แค่กๆ- ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ก็ต้องมีความพยายามเยอะหน่อยน่ะคนเก่ง แต่ทวดเชื่อว่าเหลนทำได้แน่นอน
เหลน : ทำไมทวดถึงเชื่อว่าผมทำได้ล่ะ วิชาคณิตผมยังแทบเอาตัวเกือบไม่รอดเลย
บิว : ทวดพูดให้กำลังใจไปงั้นแหละ จะทำได้ไม่ได้ก็ขึ้นอยู่ที่ตัวเหลนเอง
เหลน : เอ้า! ทวด! ตกลงเชื่อว่าผมทำได้รึเปล่าเนี่ย
ผมพูดคุยกับเหลนด้วยสีหน้านิ่งๆแอบกวนเล็กน้อยในห้องผู้ป่วยที่ไม่ได้กว้างใหญ่อะไรมากนัก เป็นเวลาช่วงเย็นอันเงียบสงบ ได้ใช้เวลาพูดกับเหลนได้อย่างสบายใจโดยที่มีหลานกับลูกนั้นอยู่นอกห้อง
บิว : ทวดเชื่อว่าตัวเหลนนั้นทำได้...แล้วเหลนหล่ะเชื่อว่าตัวเองทำได้รึเปล่า
เหลน : เรื่องนั้น!..อ่า..เออ....ผม....ไม่รู้สิฮะ
เจ้าเหลนน้อยถึงกับผมก้มหน้าก้มตาลงเล่นมือตัวเองเหมือนกับการแก้ความเขินอายยังไงยังงั้น ผมเองก็แอบยกยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วเหลือบสายตาไปมองยังกรอบรูปภาพที่ตั้งไว้บนชั้นวางข้างเตียงผู้ป่วย
บิว : ช่วยหยิบรูปบนโต๊ะนั้นมาให้ทวดหน่อยสิ
เหลน : รูปคู่ของทวดสินะฮะ ได้เลยคับ!
เหลนหยิบกรอบรูปนั้นมาให้กับผม ผมก็รับไว้ด้วยมือที่สั่นระรัวด้วยพยายามสุดๆกับการรับรูปเอาไว้และเอามาดูอย่างสุขใจปนเศร้าใจ เพราะนี้เป็นรูปคู่ภรรยาของผมในวันแต่งงานแต่งงาน ใบหน้าผมยังวัยละอ่อนอยู่เลย อายุ 25 ปี ใส่ชุดเจ้าบ่าว ทรงผมเปิดหน้าผากแวววับเลย ส่วนภรรยาผมชื่อว่า ปาล์ม แก่กว่าผมปีนึง มัดผมหางม้าผมสีเขียว ใส่ชุดเจ้าสาวสุดสวย
บิว : ที่ทวดมั่นใจว่าเหลนทำได้เพราะแต่ก่อนทวดเองก็ไม่ต่างจากเหลนมากหรอกนะ....
เหลน : ไม่ต่างกันยังไงเหรอฮะ?
บิว : มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่และความฝันที่เกินตัว....แรกๆทวดพยายามคว้ามันมาให้ได้ แต่ยิ่งไปมากท่าไหร่....ก็เหมือนกับว่าจะเอื้อมไม่ถึงจนยอมแพ้ไปหลายต่อหลายครั้ง....
เหลน : เอ..ถ้าทวดยอมแพ้ไปหลายครั้ง แล้วทวดลุกขึ้นมาสู้ต่อได้ไงเหรอฮะ?
บิว : กำลังใจ....เป็นสิ่งที่สำคัญในชีวิต จากคนรอบข้าง...จากครอบครัว....ที่ค่อยชักจูงทวดให้ไปต่อ ถึงจะไม่เป็นไปตามความต้องการ แต่ทวดได้สิ่งหนึ่งที่ล้ำค่ามาที่ยิ่งใหญ่กว่าฝัน...
เหลน : ยิ่งใหญ่กว่าฝันตัวเองเหรอฮะ? มันคืออะไรอ่ะ?
เจ้าเหลนตัวน้อยเกาตัวเองเกร็กๆทำสีหน้าสงสัยตามภาษาเด็กเลย ผมเหลือบมองไปนิดหน่อยแล้วกวาดสายตามามองรูปที่ถือไว้ในมือเหมือนเดิม
บิว : เงินทองมันสำคัญ....นั้นคือสิ่งที่คนส่วนใหญ่พูดกัน...มันก็จริง แต่สำหรับทวดแล้ว...มีเงินมหาศาล แต่อยู่คนเดียว....แบบนั้นก็ไม่ต่างจากไม่มีอะไรเลย.... ทวดเลยคิดว่าให้มีเงินเป็นตัวนำพาดีกว่า...พาไปพร้อมกับครอบครัว...พาไปให้ทวดรู้ถึงความลำบากของการแก้ปัญหาในชีวิต และการสร้างครอบครัวที่มั่นคงในการดำเนินชีวิตไปได้ มีลูกหลานที่สร้างครอบครัวได้เองและหาเลี้ยงตัวเองกันได้ ค่อยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน.... นี้แหละสิ่งที่ทำให้ทวดรู้สึกว่าชีวิตนี้ได้ประสบความสำเร็จในการใช้ชีวิตแล้ว
เหลน : ทวดฮะ สมองผมไม่รับรู้อะไรตั้งแต่พูดว่ามีเงินมหาศาลหล่ะครับ-
ผมเองก็เผลอพูดร่ายซะยาวเลย เจ้าเหลนฟังได้เพียงแค่ 2 บรรทัดได้มั้ง แต่ไม่แปลกหรอก อายุพึ่งได้ 6 ขวบแหละนะ
บิว : ฮ่าฮ่าฮ่า เหลนยังเด็กอยู่น่ะนะ ไม่ต้องคิดมากเรื่องอะไรแบบนี้ก่อน ที่สำคัญ การบ้านทำแล้วรึยัง...
เหลน : อ่า...- เรื่องนั้นท-ทะทำ
หลาน : ลูกกลับได้แล้วจ๊ะ
เหลน : คับ! ผมกลับก่อนนะฮะ!
เหลนเร่งรีบเดินไปหาแม่เลยทันที เหมือนมีเสียงระฆังหมดยกของเวทีมวยยังไงยังงั้น แม่เด็กคนนี้เองก็คือหลานของผมเอง
หลาน : คุณปู่หนูเอาตะกร้าผลไม้มาฝากนะคะ อาทิตย์หน้าอยากได้อะไรเป็นพิเศษไหมคะ?
บิว : ไม่ล่ะ....แค่นี้ปู่ก็พอใจแล้ว อย่าลืมเช็คการบ้านให้เมฆด้วยล่ะ....
หลาน : โอเคค่ะ กลับก่อนนะคะ
เหลน : บ๊ายบายฮะ
หลังคำพูดกล่าวจากลา ทั้งสองคนได้เดินออกจากห้องพร้อมกับปิดประตูอย่างแผ่วเบา ความเงียบเหงาได้นำพากลับมาอีกครา มันทั้งสงบและรู้สึกอ้างว้างไม่น้อยเลย ทั้งที่ห้องนี้แคบแท้ๆ
บิว : ถ้ายังมีเธออยู่ด้วย...คงว่าฉันเลียนแบบคำพูดเธอแน่ๆเลย....
ผมใช้ฝ่ามือลูบรูปภาพนั้นและยิ้มเปี่ยมไปด้วยความปนความคิดถึงพลางครุ่นคิดล้ำลึกในสิ่งต่างๆที่ได้เจอ ความสุข ความทุกข์ ฮึกเหิม ท้อแท้ เศร้าใจ ความรัก และอีกมากมาย ผมเติบโตมามากพอแล้ว...ทุกอย่างลงตัวและได้เวลาพักแล้ว ผมค่อยๆหลับตาลงอย่างช้าๆเพื่อพักผ่อนกาย ส่วนใจนั้นไม่มีอะไรที่ต้องกังวลอีกต่อไป
บรึ้นนน!
แต่หลังจากผมหลับตาได้เพียงแค่แว๊บเดียวนั้นเองก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์คลายกับเสียงรถยนต์ดังขึ้นมาแบบกรอกหูเลย ใครจะไปนอนหลับกัน
บิว : โอ้ย...ใครมาเร่งเครื่องใกล้โรงพยาบาลฟ่ะ...คนแก่คนเฒ่าจะหลับจะนอ....-ห๊ะ????
??? : ตื่นมาพอดีเลยครับคุณลูกค้า
ดวงตาผมถึงกับเบิกกว้างหลังจากเห็นภาพตรงหน้า ชายใส่หมวกผ้าใบสีคราม กำลังขับเรือยนต์อยู่ท่ามกลางทะเลอันกว้างใหญ่..ไม่สิ ต้องเรียกว่ามหาสมุทรมากกว่า ด้วยความที่กำลังตกใจอยู่นั้นผมพึ่งรู้ตัวว่าตอนนี้ร่างกายรู้สึกไม่ปวดเมื่อยอะไรเลยแถมคึกๆ
บิว : น-นี้สวรรค์เหรอ?
??? : No no no ไม่ใช่ครับ ต้องเรียกว่าเกาะสวรรค์ต่างหาก
คนขับเรือได้กล่าวตอบกลับถึงคำถามของผมและผายมือไปยังด้านหน้า อีกไม่ไกลก็ถึงเกาะแห่งหนึ่งที่ใหญ่สุดๆแถมสดใสเอามากๆ มีตึกรามบ้านช่องอยู่ด้วย แต่ที่น่าแปลกอีกอย่างคือ ทำไมทะเลมีอะไรสักอย่างสีดำๆ คราบน้ำมันรึเปล่า?
บิว : เส้นทางวิญญาณคนตายไปสวรรค์สินะ....ไม่เหมือนกับเรื่องเล่าที่ได้ยินมาเลย
คนขับเรือ : หืม? คุณลูกค้าเมาเรือจนมึนแล้วสินะเนี่ย ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า เป็นมุกที่ตลกดีนะครับ
บิว : เห๋-???
ผมพูดจริงน่ะ ไหนเขามองเป็นเรื่องตลกซะงั้น ทำเอางงแทนล่ะตอนนี้ และเรือนั้นได้จอดเทียบท่าแบบพอดิบพอดีเลย
คนขับเรือ : ยินดีต้อนรับสู่เกาะสวรรค์ครับ
[ จบตอนที่ 1 ]
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments