...******* 19 *********...
คำพูดของฮวาเฉิง เซี่ยเหลียนจึงรู้สึกว่า วันหลังของเขาก็คือวันหลัง ต้องกระทำ ตามที่รับปากอย่างแน่นอน ทำเอารู้สึกตั้งตารอคอยขึ้นมานิด ๆ เสียด้วยซ้ำ
“ได้ เช่นนั้นก็รอจนเจ้าเห็นว่าถึงเวลา ค่อยให้ข้าดูก็แล้วกัน ตอนนี้ พักผ่อนกันก่อนเถอะ” เซี่ยเหลียนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
วุ่นวายมาครึ่งค่อนคืน เขาโยนความคิดที่จะทำกับข้าวทิ้งไปนานแล้ว จากนั้นล้มตัวลงนอนบนเสื่ออีกครั้ง ฮวาเฉิงก็นอนลงตาม แต่ไม่ว่าผู้ใดก็ดูจะ ไม่เก็บไปคิดแม้แต่น้อยว่าเหตุใดหลังจากที่เปิดเผยสถานะตัวตนกันแล้ว หนึ่ง ขุนนางเทพกับหนึ่งผีจึงยังสามารถเอนกายนอนร่วมเสื้อเก่าขาดผืนเดียวกัน ทั้งยังพูดคุยเรื่องตลกไร้สาระกันได้อยู่
บนเสื่อฟางไร้หมอนหนุนศีรษะ ฮวาเฉิงนอนหนุนแขนตนเอง เซียเหลียน ก็หนุนแขนตัวเองเลียนแบบเขา ชวนคุยไปเรื่อยเปื่อย “ภพผีของพวกเจ้าดูช่าง สบายดีแท้ ไม่ต้องไปรายงานตัวกันเลยหรือ"
ฮวาเฉิงไม่เพียงเอาแขนหนุนศีรษะ ยังขันเข่าขึ้นมาด้วย “รายงานตัว อะไรรี ก็ข้าใหญ่สุดแล้ว อีกอย่างต่างก็เป็นอิสระไม่ขึ้นต่อกัน ไม่ว่าใครก็ไม่อาจ ควบคุมใครได้"
ที่แท้ภพผีก็เต็มไปด้วยวิญญาณโดดเดี่ยวผีพเนจรที่แสนจะวุ่นวาย ไร้ก็กไร้กอกลุ่มหนึ่ง
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ข้ายังเข้าใจว่าพวกเจ้าก็อยู่ภายใต้กฎระเบียบ อันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนสวรรค์ชั้นบนเสียอีก หากเป็นดังว่า เจ้าเคยเห็น ราชาผีตนอื่นหรือไม่"
"เคย"
“ผีเขียวชีทรงก็เคยเห็นหรือ"
"ท่านหมายถึงเศษสวะรสนิยมต่ำนั่นน่ะหรือ"
เซี่ยเหลียนนึกในใจว่า "พูดแบบนี้จะให้ข้าตอบอย่างไรล่ะนี่ ใช่ หรือว่า ไม่ใช่" ดีที่ไม่ต้องให้เขาตอบ ฮวาเฉิงก็กล่าวขึ้นมาเสียก่อน “เคยไปทักทาย แต่ มันหนีไปได้"
...******** 20 ********...
เซียเหลียนคิดว่า การ “ทักทาย” นี้ จะต้องไม่ใช่การกล่าวทักทายแบบ ธรรมดาแน่ จริงดังคาด ฮวาเฉิงตอบด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ว่า “แล้วก็เลยได้ ฉายา “พิรุณโลหิตเชยบุปผา มาอย่างไรเล่า"
เซียเหลียน "..."
ที่เขาเคยเล่าก่อนหน้านี้ว่าไปทลายรังของผีอีกตนหนึ่งมา ที่แท้หมายถึง ผีเขียวชีทรงนี่เอง ส่วนคำว่า "ทักทาย” ก็น่าจะหมายความว่าใช้เลือดล้าง เซี่ยเหลียนนึกในใจว่า “การทักทายนี้ช่างทักได้ไม่ธรรมดาสามัญโดยแท้ เขาเอามือลูบคางพลางกล่าว “ผีเขียวชีทรงเป็นอริกับเจ้าหรือ”
“เป็นอริกันด้วยเรื่องใด"
“เห็นมันแล้วเกะกะลูกตา"
เซี่ยเหลียนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นึกในใจ หรือที่เจ้าท้าประลอง ขุนนางเทพสามสิบสามองค์ด้วยตัวคนเดียวก็เพราะเห็นพวกเขาแล้วเกะกะ ลูกตาเหมือนกัน?” หากปากก็กล่าวไปว่า “สวรรค์ชั้นบนมีขุนนางเทพบาง องค์บอกว่าเขารสนิยมต่ำช้าน่ารังเกียจ แม้กระทั่งภพผีก็ยังรังเกียจเขา หรือ จะเป็นความจริง”
“จริงสิ พรายกาฬก็รังเกียจเขามากเช่นกัน” ฮวาเฉิงตอบ
“พรายกาฬคือผู้ใด” จากนั้นเซี่ยเหลียนก็นึกขึ้นมาได้ “คือพรายกาฬ จมนาวาผู้นั้นน่ะหรือ"
“ถูกต้อง เขามีอีกชื่อว่า “พรายกาพผีดำ" ด้วย"
เซี่ยเหลียนนึกออกแล้ว พรายกาฬผีดำท่านนี้ก็เป็นระดับ “มหากาฬ" เช่นกัน ทว่าผีเขียวชีทรงเป็นได้แค่ “เกือบมหากาฬ” ที่ถมจำนวนให้ครบสี่ เท่านั้น เซี่ยเหลียนจึงถามอย่างสนอกสนใจ “เจ้าสนิทกับผีดำผู้นี้หรือไม่”
ฮวาเฉิงตอบเนือย ๆ “ไม่สนิท ข้า มิได้สนิทกับใครในภพผีเท่าไรนัก เซี่ยเหลียนนึกประหลาดใจ “เป็นเช่นนี้หรือ ข้ายังนึกไปว่าเจ้าน่าจะมี
¹ดำ ในที่นี้ คือคำว่า เสวียน (字) แปลว่า สีดำ และยังแปลได้ว่าลี้ลับ ลึกล้ำ
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments