สรรค์ประทานพร2
...****** 10 ********...
หากเซี่ยเหลียนก็รู้สึกว่าคำอย่าง 'องค์ไท่จือ” ของฮวาเฉิงนั้น ไม่เหมือนยามที่ ผู้อื่นเรียกเขาว่า "องค์ไท่จือ” เลย
“เจ้าบ่าวที่จูงข้าเดินตอนอยู่บนเขาอวี่จวินก็คือเจ้ากระมัง” เซี่ยเหลียน
ถาม
รอยยิ้มที่มุมปากฮวาเฉิงหยักลึกขึ้นไปอีก เซี่ยเหลียนค่อยพบว่าประโยค นี้ดูจะกำกวมไปหน่อย จึงรีบแก้เสียใหม่ “ที่ข้าจะพูดคือ ผู้ที่ปลอมตัวเป็น เจ้าบ่าวมาจูงข้าเดินบนเขาอวี่จวินเป็นเจ้ากระมัง”
ฮวาเฉิงกลับกล่าวว่า "ข้ามิได้ปลอมตัวเป็นเจ้าบ่าว"
หากจะพูดเช่นนี้ เอาเข้าจริงก็ถูกของเขาอีกนั่นแหละ ตอนนั้นเด็กหนุ่ม มิได้โกหกว่าตนเองเป็นเจ้าบ่าวอย่างนั้นอย่างนี้แต่ประการใด ประโยคเดียว เขาก็มิได้พูดด้วยซ้ำ เพียงแค่หยุดตรงหน้าเกี้ยวแล้วยื่นมือออกมา เชียเหลียน ต่างหากที่เดินไปกับเขาเอง!
“เอาเถอะ แล้วเหตุใดตอนนั้นเจ้าถึงมาอยู่ที่เขาอวี่จวินได้เล่า”
“คำถามนี้ของท่าน คำตอบย่อมไม่พ้นสองแบบนี้” ฮวาเฉิงกล่าว “แบบ แรก ข้าตั้งใจไปหาองค์ไท่จื่อโดยเฉพาะ แบบที่สอง แค่เดินผ่านมาพอดี เผอิญ ข้าว่างมาก ท่านว่าคำตอบไหนน่าเชื่อถือกว่ากัน”
พิจารณาจากการที่เขามาแกร่วอยู่ข้างกายตนเป็นเวลาหลายวัน เซี่ยเหลียนก็ตอบว่า “อย่างไหนน่าเชื่อถือกว่ากันไม่กล้ากล่าว แต่เจ้าก็ดูเหมือน ว่างมากจริง ๆ นั่นแหละ”
เขาทั้งเดินวนและใช้สายตาเวียนสำรวจฮวาเฉิงรอบหนึ่ง ก่อนจะ พยักหน้า “เจ้า...ไม่ค่อยจะเหมือนที่เขาร่ำลือกันเท่าไรเลย"
ฮวาเฉิงเปลี่ยนท่านั่ง แต่ยังคงใช้มือยันแก้ม เอ่ยถามพลางมองหน้า เขา “เอ๋ แล้วเช่นนั้นองค์ไท่จื่อรู้ได้อย่างไร ว่าข้าคือพิรุณโลหิตเชยบุปผา”
ในสมองเซี่ยเหลียนเต็มไปด้วยภาพร่มที่อยู่ภายใต้ฝนโลหิตคันนั้น เสียงกรุ๊งกริ้งของโซ่เงิน และเกราะข้อมือสีเงินเย็นเฉียบ พลางคิดในใจ “เจ้าก็ ไม่ได้ปิดบังอย่างจริงจังเสียหน่อยนี่
...******* 11 ********...
“ไม่ว่าจะลองหยั่งเชิงอย่างไร เจ้าก็ไม่มีหลุดแม้แต่น้อย จะต้องเป็น ระดับมหากาฬอย่างแน่นอน ชุดของเจ้าแดงดุจใบเฟิง ดุจโลหิต และเหมือน กับว่าไม่มีอะไรที่เจ้าไม่รู้ ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ทั้งไม่มีอะไรที่ต้องเกรงกลัว กิริยา ท่าทางเช่นนี้ นอกจาก “พิรุณโลหิตเชยบุปผา” ที่ทำให้ทวยเทพต่างหน้าถอดสี เมื่อกล่าวถึง ก็ดูจะไม่มีใครอื่นให้นึกถึงแล้ว"
ฮวาเฉิงยิ้ม “พูดเช่นนี้ จะถือว่าท่านกำลังชมข้าได้หรือไม่”
เซี่ยเหลียนนึกในใจ “เจ้าฟังไม่ออกจริง ๆ หรือว่าเดิมทีก็ชมเจ้าอยู่
นั่นแหละ
ฮวาเฉิงเก็บงำรอยยิ้มลงไปเล็กน้อย ถามอีกว่า “กล่าวมามากมายปานนี้ แล้ว ไยองค์ไท่จื่อไม่ถามข้าด้วยเล่า ว่าข้าเข้าใกล้ท่านด้วยวัตถุประสงค์ใด”
เซี่ยเหลียน “หากเจ้าไม่อยากบอก ข้าถามไปเจ้าก็ไม่บอกข้าอยู่ดี หรือไม่ ที่บอกมาก็มิใช่ความจริง"
ฮวาเชิงกลับกล่าว "นั่นก็ไม่แน่ อีกอย่าง ท่านจะไล่ข้าไปเสียก็ยังได้”
“ต่อให้ตอนนี้ข้าไล่เจ้าไป เจ้ามีอิทธิฤทธิ์แก่กล้าปานนี้ หากเจ้าคิดจะทำ เรื่องอะไรไม่ดีขึ้นมาจริง ๆ แค่แปลงโฉมก็กลับมาใหม่ได้แล้วมิใช่หรือ”
ขณะที่ทั้งคู่กำลังหัวเราะให้กันอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงอะไรบางอย่างกลิ้ง ขลุก ๆ ทำลายความเงียบสงบอันแสนสั้นของอารามผูฉี เมื่อหันไปมองก็พบว่า ไม่มีใคร มีเพียงไหดินสีดำใบน้อยกลิ้งอยู่บนพื้นเท่านั้น
มันคือไหดินที่ใส่ป้านเยวไว้นั่นเอง เดิมทีเซี่ยเหลียนวางไว้ส่ง ๆ ข้างเสือ แต่ไม่รู้ว่ามันล้มลงไปเองตั้งแต่เมื่อไร พอกลิ้งไปจนถึงหน้าประตู ก็ถูกประตูที่ ฮวาเฉิงเป็นผู้ทำขึ้นบานนั้นขวางกั้นเอาไว้ มันจึงกระแทกตัวเองกับบานประตู ครั้งแล้วครั้งเล่า เซี่ยเหลียนกลัวว่ามันนั่นแหละจะแตกเสียเอง จึงเดินไปเปิด ประตูออกให้ ไหดินใบน้อยจึงกลึงขลุก ๆ ออกนอกประตูไปจนถึงพื้นหญ้า
เซี่ยเหลียนตามหลังมันไป พอไหดินใบน้อยกลิ้งไปจนถึงพื้นหญ้า ก็ตั้ง ขึ้นเอง เห็น ๆ อยู่ว่าเป็นเพียงไหใบหนึ่งเท่านั้น แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือน ว่ามันกำลังแหงนหน้าขึ้นมองฟ้าดูดาวอยู่ก็ไม่ปาน
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments