ไฮเซนเบิร์กกำลังจะบอกอะไรงั้นเหรอ เอริสคิดขณะที่กำลังหั่นเนื้ออยู่ในครัวเนื้อพวกนี้โอลิเวียบอกว่าเป็นเนื้อที่เลดี้รับมาจากคนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน แต่แปลกที่ดูยังไงก็ไม่เหมือนเนื้อหมู เนื้อสัตว์ที่เอริสเคยพบ
"เลดี้ชอบให้ทำสเต๊กแบบแรน่ะ ลิลลี่เธอทำได้ใช่ไหม"
เอริสพยักหน้าเข้าใจ สเต๊กแบบแรคือการที่เนื้อข้างนอกเป็นสีน้ำตาลแต่ข้างในยังดิบอยู่
"ได้สิ"
เอริสเอ่ยตอบโอลิเวียที่กำลังทำซอสไว้ราดสเต๊กอยู่เช่นกัน
"โอลิเวีย เธอรู้จักผู้ชายที่ชื่อไฮเซนเบิร์กมากน้อยแค่ไหนกัน"
เอริสเอ่ยถามอย่างชั่งใจดูแล้วเขาไม่น่าไว้วางใจนักโดยเฉพาะเมื่อเขารู้ว่าเอริสพกปืน เขาย่อมรู้แน่ว่าเอริสไม่ใช่สาวใช้ธรรมดา
"น้องชายของเลดี้คนนั้นน่ะเหรอ ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขามากนัก รู้แค่ว่าเขาเป็นผู้ครอบครองโรงงานที่อยู่ห่างออกไปโน้น"
"งั้นเหรอ "
เอริสเอ่ยอย่างเข้าใจถึงคำตอบที่ได้จะไม่น่าพอใจนักแต่อยู่ๆเสียงกระดิ่งก็ดังขึ้นคันโยกเด้งขึ้นลงมาจากห้องทำงานของเลดี้ดิมิเทรสกูทำเอาเอริสไม่ค่อยสบายใจนัก
"เจ้านั้นคงไม่ได้บอกหล่อนว่าฉันพกปืนหรอกใช่ไหม"
เอริสคิดก่อนจะหน้าถอดสีเล็กน้อยถึงจะอันตรายหน่อยเธอจำต้องเอาเพื่อนเก่าเพื่อนแกไปเก็บไว้ในลิ้นชักก่อนเสียแล้ว หากถูกจับได้วันนี้ที่ทำมาก็ถือว่าสูญเปล่าและเธอจะไม่ยอมให้มันเป็นเช่นนั้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
หลังจากเอาหลักฐานไปเก็บเอริสก็รีบวิ่งกระหืดกระหอบมาหยุดยืนที่หน้าห้องของผู้เป็นนายในที่สุด
"เข้ามา"
เสียงเอ่ยดังมาจากภายในห้องฟังดูแล้วก็ค่อยโล่งใจขึ้นมาบ้างดูเหมือนในน้ำเสียงจะไม่ได้เต็มไปด้วยอารมณ์เกรี้ยวโกรธ หากแต่ฟังแล้วก็ออกจะเย็นชาไปบ้างแต่เอริสก็โล่งใจ ดูเหมือนว่าไฮเซนเบิร์กจะไม่ได้บอกเลดี้ไปจริงๆ
แต่ขณะที่เอริสกำลังปิดประตูลงตามเดิมร่างสูงที่เคยนั่งอยู่ที่โต๊ะใกล้หน้าต่างก็เข้ามาประชิดร่างของเธอด้วยความรวดเร็วและเงียบกริบร่างของเอริสที่ถึงจะสูงมาก แต่เมื่อเทียบกับเจ้าของห้องแล้วชั่งเล็กจ้อยเสียเหลือเกิน ร่างของเธอถูกกดให้แนบชิดกับบานประตูด้วยแรงมหาศาล ก่อนจะมีเสียงกระซิบเย็นเยือกว่า
"ไฮเซนเบิร์กพูดอะไรกับเธอลิลลี่"
นั่นทำให้เอริสค่อยโล่งใจจริงๆ ที่แท้ก็เพราะเลดี้เธอกังวลเรื่องที่ไฮเซนเบิร์กกับเอริสกำลังคุยกัน ไม่ใช่เพราะเธอรู้ว่าเอริสเป็นสาวใช้ที่พกปืนไว้ใต้กระโปรงอย่างที่เอริสกังวลอยู่
"เจ้าไฮเซนเบิร์กนั้นก็พอไว้ใจได้บ้าง"เอริสคิด
"เปล่าค่ะ เลดี้
เขาไม่ได้พูดอะไร"
เอริสเอ่ยตอบก่อนจะพยายามขยับร่างแต่มันก็ไม่ขยับสักนิด นอกจากความสูงแล้วพละกำลังของหล่อนก็ทำให้เอริสต้องคิดใหม่เสียแล้ว
"จริงเหรอ "
เลดี้ดิมิเทรสกูถามย้ำร่างของเธอแนบชิดกับเอริสจนน่าใจหาย พร้อมแรงกดตรงหัวไหล่เอริสที่เพิ่มมากขึ้น
"ค่ะ"
เอริสเอ่ยพลางเงยหน้าสบตาของผู้เป็นนายเพื่อแสดงถึงความจริงใจ นั่นถึงได้ทำให้เลดี้ผ่อนแรงลงก่อนจะละมือจากไหล่ของเอริสในท้ายที่สุด
"ฉันจะเชื่อก็แล้วกัน..แต่ถึงยังไงฉันก็ขอสั่งไว้ว่าห้ามไปยุ่งกับหมอนั้นอีก "
เลดี้ดิมิเทรสกูเอ่ยเสียงอ่อนลงก่อนจะพึ่งนึกขึ้นได้ว่าตนเผลอทำรุนแรงไปก็ตอนที่เอริสยกมือขึ้นนวดหัวไหล่ของตัวเอง
"เจ็บรึ"
เธอเอ่ยถาม เอริสทำได้เพียงพยักหน้าขึ้นลงแม้เธอจะเคยชินกับความเจ็บปวดถึงอย่างไร ตอนนี้เธอก็คือลิลลี่ทำตัวอ่อนแอไว้คงจะดีกว่า
"ขอฉันดูทีได้ไหม"
ไม่ว่าเปล่ายังกวักมือเรียกให้เอริสเดินเข้าไปหาขณะที่หล่อนหย่อนตัวนั่งลงที่เก้าอี้ทำงาน เอริสถึงจะไม่ชอบใจนักที่จะต้องเอาตัวไปชิดใกล้แต่จะทำยังไงได้จำต้องเดินไปยืนตรงหน้าคุณผู้หญิงคนงามอย่างว่าง่ายก่อนจะก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไรประหนึ่งลูกหมาเชื่องๆ
"ปลดกระดุมออกสิ"
ประโยคต่อมาทำเอาเอริสต้องเงยหน้าจ้องมองผู้เป็นนายตาขวางราวกับจะถามว่าทำไมต้องปลดกระดุม ฝ่ายเลดี้ที่มองแววตาตระหนกของสาวใช้ออกก็แทบจะหลุดขำออกมาก่อนจะเอ่ยตอบไปว่า
"ถ้าไม่ปลดกระดุมฉันจะรู้ได้ยังไงว่ามันช้ำแค่ไหน
เธอนี่"
"ก็คุณไม่น่าไว้ใจ"
เอริสสบถพลางภาพวาบหวิวของเธอและเลดี้ในห้องนอนก็ผุดขึ้นมาในหัว
"ช่างมันเถอะค่ะ ถ้าช้ำดิฉันหายามาทาเองคงจะง่ายกว่าไม่ลำบากเลดี้เป็นธุระให้"
เอริสเอ่ยพลางกระชับคอเสื้อไว้แน่น
"ลิลลี่ "
ไม่ต้องรอให้เอ่ยซ้ำเอริสก็จำต้องปลดกระดุมออกแล้วดึงคอเสื้อลงจนเผยให้เห็นหัวไหล่ทั้งสองข้างที่เป็นรอยนิ้วมือจากการกดด้วยแรงมหาศาลของคนตรงหน้า ขนาดผู้กระทำเองยังอดตกใจไม่ได้ เธอค่อยๆถอดถุงมือสีดำออกก่อนจะใช้ปลายนิ้วเรียวแตะลงตรงรอยช้ำนั้นอย่างเบามือ
"เจ็บมากเลยใช่ไหม"
แปลกมากที่เธอเอ่ยคำเช่นนี้ทำไมเธอถึงได้เป็นห่วงหล่อนนักนะ หญิงร่างสูงคิดดวงตาของเธอสั่นไหว คนที่ฆ่าสาวพรหมจรรย์เพื่อนำมาหมักเป็นไวน์รสเลิศเช่นเธอกลับมีความรู้สึกเช่นนี้ด้วยงั้นเหรอ
"ไม่มากหรอกค่ะ เพราะที่นี่หนาวมากจนผิวซีดไปหมดมันถึงได้แดงผิดปกติมั้งคะ"
เอริสเอ่ยปัดพยายามรั้งคอเสื้อขึ้นตามเดิมแต่ก็ยังไม่วายถูกอีกคนรั้งไว้
"งั้นเหรอ "
ผู้กระทำขมวดคิ้วเล็กน้อยกับความปากแข็งของคนตรงหน้าดูก็รู้ว่าหากไม่กระดูกแตกก็ถือเป็นโชคดีแค่ไหนแล้ว เพราะเลดี้ดิมิเทรสกูย่อมรู้ดีว่าพละกำลังของตนนั้นอยู่เหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป คิดแล้วก็อยากจะแกล้งกดตรงรอยช้ำแรงๆให้กรีดร้องออกมาดังๆนักเชียว
แต่ก็ต้องหักห้ามใจไว้เพราะกลัวว่าเสียงร้องของหล่อนจะทำให้สาวใช้ที่เหลืออยู่แตกตื่น
"เดี๋ยวฉันจะแวะไปหาดอนน่าสักหน่อยเพราะเกรงว่าที่นี่คงไม่มียาแก้ฟกช้ำ "
เลดี้ดิมิเทรสกูเอ่ย
"ฉันไปเองก็ได้นะคะ"
"ไม่ได้"
ทันทีที่เอ่ยเสนอตัวเอริสก็ถูกปฏิเสธทันทีอย่างไม่ต้องคิดนาน เลดี้ดึงคอเสื้อของเอริสขึ้นตามเดิมก่อนจะเอ่ยอธิบายว่า
"เธอรู้รึไงว่าดอนน่าอยู่ที่ไหน อวดดีจริงๆเลย"
ก็จริงเอริสไม่รู้ด้วยซ้ำว่าดอนน่าอาศัยอยู่ส่วนไหนของหมู่บ้านที่เอ่ยออกไปเพราะเธออยากออกไปสำรวจโดยรอบเสียมากกว่าเพราะข้อมูลที่ได้จากที่นี่ชั่งน้อยนิดเกินไปหากไม่คืบหน้าคงต้องล้มเลิกภารกิจในท้ายที่สุด
"ไม่รู้ค่ะ แต่คุณสามารถบอกทางฉันได้"
"ชั่งเถอะเสียเวลาเปล่า ฉันไปเองคงจะเร็วกว่า"
เลดี้เอ่ยตัดบทก่อนจะหยัดกายลุกขึ้น
ไม่อยากจะเชื่อว่าเลดี้ดิมิเทรสกูจะพาตัวเองมาถึงที่นี่ได้ บ้านของดอนน่า เบเนเวียนโต้ ตั้งตระหง่านกลางป่าในบรรดาคนที่พึ่งพาได้คงมีแค่หล่อนที่ดูจะมีความรู้ด้านสมุนไพร
"น่าแปลกใจที่คุณมาเยือนที่นี่"
เสียงเรียบเอ่ยดังมาจากด้านหลังของเลดี้ดิมิเทรสกูเป็นหญิงสาวในชุดสีดำสวมผ้าคลุมใบหน้าที่โผล่มา
"ฉันต้องการยาแก้ฟกช้ำ"
"นั่นยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ คุณต้องใช้มันด้วยเหรอ"
"แค่ความเมตตาเล็กน้อยที่ฉันจะให้เหยื่อของฉันได้"
"อ้อ...เด็กสาวคนนั้นเอง"
ดอนน่าเอ่ยอย่างรู้ทันตั้งแต่วันนั้นเธอเองก็ดูออกว่าอัลซิน่าให้ความสำคัญกับเด็กนั่นเป็นพิเศษ แต่นั่นก็ไม่ใช่ธุระของเธอ ในเมื่ออัลซิน่าอุตส่าห์ถ่อมาถึงที่นี่ก็อย่าให้หล่อนต้องผิดหวังเลย
"รอสักหน่อยก็แล้วกันเพราะฉันไม่ได้ทำสำรองไว้"
ในที่สุดเลดี้ดิมิเทรสกูก็ได้ยาทาแก้ฟกช้ำมาไว้ในมือไม่รู้เพราะอะไรเธอถึงได้รู้สึกดีนักหนาเมื่อรู้ว่าจะได้ยาไปให้ลิลลี่
ดอนน่าแค่เห็นแววปิติในดวงตาที่มีเพียงความหม่นหมองเสมอมาของอัลซิน่าก็ได้แต่เอ่ยพึมพำเมื่อหล่อนจากไป
"แค่ความเมตตาเล็กน้อยจริงเหรอ"
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments