"มีวิธีอื่นด้วยงั้นเหรอคะ"
เอริสเอ่ยพลางเลิกคิ้วด้วยความสงสัยขนาดเธอใช้นิ้วถูขนาดนี้ยังไม่ติดมือสักหน่อยเดียว คงต้องใช้สำลีชุบน้ำอุ่นมาถูดูแล้วกระมัง
"มีสิ"
ไม่ว่าเปล่าเลดี้ยังไล้มือที่รั้งคอของเอริส มาจับที่แก้มของเอริสแทน ฝ่ามือที่ไม่ได้สวมทับไว้ด้วยถุงมือหนังสีดำคู่ยาวนั้นขาวซีดราวกับหิมะหากแต่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและนุ่มนวลอย่างยากจะอธิบาย
"ลิลลี่"
เสียงที่เอ่ยเรียกชื่อปลอมๆของเอริสนั้นชั่งชวนให้เอริสเผลอลืมว่าตนเป็นใคร เหมือนช่วงเวลาหนึ่งเธอก็อยากเป็นแค่สาวใช้ที่ได้แนบชิดกับคนตรงหน้า ดวงตากลมโตสีดำชั่งทำให้เธอตกเข้าสู่ภวังค์จนไม่อาจฟื้นคืนจนกระทั่งริมฝีปากนุ่มที่เธอเคยใช้มือสัมผัสเมื่อครู่ เปลี่ยนมาประทับลงบนริมฝีปากบางของเธอแทนในที่สุด
กลิ่นบุหรี่จางๆแผ่ซ่านเข้ามาในโพรงปากของเอริสจากกลิ่นที่บางเบาเปลี่ยนเป็นหนักขึ้นเมื่ออีกคนสอดปลายลิ้นเข้ามาหยอกล้อกับปลายลิ้นเล็กๆของเธอ
เอริสที่ก้มตัวอยู่ตรงขอบเตียงหลังใหญ่ตอนนี้กลับถูกอ้อมแขนกว้างโอบรัดไว้แล้วดึงร่างของเธอให้ล้มลงไปนอนด้วยกัน
อื๊อออออ....
เอริสที่เป็นผู้หญิงห้าวหาญเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้เป็นนายเธอกลับกลายเป็นเพียงสาวน้อยผู้เดียงสาทั้งๆที่ความจริงเธอนั้นผ่านชีวิตมาโชกโชนมากกว่าใครแท้ๆ
แต่บัดนี้ไม่คิดเลยว่าร่างที่สูงร้อยแปดร้อยเก้าของเธอจะต้องมาอยู่ใต้ร่างของผู้หญิงด้วยกัน
ร่างของเอริสแทบจะจมลงไปกับเตียงนอนนุ่มเมื่อเลดี้พลิกกายขึ้นมานั่งคร่อมเธออยู่โดยไม่แม้แต่จะถอนริมฝีปากออกจากเธอแต่อย่างใด
ชุดนอนบางเบาของผู้เป็นนายที่แทบจะปกปิดอะไรไม่ได้สักอย่างบัดนี้กลับทำให้หวาดเสียวยิ่งกว่าเมื่อชายเสื้อตรงหัวไหล่ด้านซ้ายไหลลงไปกองจนถึงท่อนแขนเผยให้เห็นเรือนร่างซีกซ้ายที่ขาวซีดประดับด้วยยอดสีแดงเชอร์รี่ที่ตอนนี้ มันบดเบียดอยู่กับร่างของเอริสได้อย่างพอดิบพอดี
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
คุณแม่ขาาาา....
แต่แล้วทุกอย่างก็หยุดชะงักเมื่อเสียงแว้ดๆดังมาจากหน้าประตู เลดี้หยุดชะงักทั้งที่ริมฝีปากยังขบอยู่ที่ริมฝีปากของเอริส ส่วนเอริสนั้นทำได้เพียงนิ่งค้างราวกับว่าวิญญาณของเธอได้ลอยออกจากร่างไปเยือนปรโลกเสียแล้ว
เลดี้ดิมิเทรสกูเหมือนจะได้สติขึ้นมาก่อนแต่ก็ยังแอบขบริมฝีปากของเอริสแรงๆไปหนึ่งทีเช่นกัน ตอนนั้นเอริสถึงรู้สึกตัวขึ้นมาได้ ก่อนจะปรายตาไปมองประตูและผู้เป็นนายสลับกัน พลันดีดตัวลุกขึ้นทันทีขณะที่ผู้เป็นนายขยับกายปล่อยให้เธอเป็นอิสระ เอริสกระโดดลงจากเตียงใหญ่ของผู้เป็นนายอย่างรวดเร็วจนหน้าแทบคะมำลงกับพื้นโชคดีที่เป็นยังเป็นเลดี้อีกเช่นกัน ที่รั้งร่างของเธอไว้ได้ก่อนแล้วเอ่ยเบาๆว่า
"ใจเย็นๆ...ไม่ต้องกังวลไป"
ตอนนั้นเอริสถึงรู้ว่าเธอเองเสียอาการมากแค่ไหน และมันกำลังทำให้เธอไขว้เขวและเสียงานได้
"ฉะ...ฉันไปเปิดประตูก่อนนะคะ"
เอริสเอ่ยพลางหันหลังกลับไปยังประตูที่กำลังถูกเคาะอีกครั้ง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
คุณแม่ขาาาาาา!!!!!!!
เสียงแว้ดๆนั้นคล้ายจะหมดความอดทนและคร้านที่จะรอแต่ก็ยังไม่กล้าเปิดเข้ามาเพราะผู้เป็นแม่ยังไม่เอ่ยปาก ไม่ใช่แค่เอริสหรอกที่ไขว้เขว หัวใจของสุภาพสตรีที่นั่งอยู่บนเตียงก็กำลังแปลกไปเหมือนกัน เพราะมันเต้นแรงในรอบหลายปีนอกจากครั้งสุดท้ายที่เต้นแรงเพราะได้รับลูกสาวทั้งสามมาดูแลจากคุณแม่มิแรนด้า
คุณแม่ข....
ประตูถูกเปิดออกพร้อมกับเอริสที่ก้มหน้าก้มตาไม่เอ่ยอะไรเธออยากจะพาตัวเองออกไปจากตรงนี้เพื่อทบทวนตัวเองอีกครั้ง
"ช้าจังเลยนะ เดี๋ยวก็จับไปทำโทษซะหรอก"
เบลาเอ่ยก่อนจะหันมามองเหยียดเอริสแต่ก็ดันถูกเบรกด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกของผู้เป็นแม่เสียก่อน
"เบลา...อย่าทำให้เธอกลัว"
เบลาได้ยินดังนั้นจึงได้เงียบไปและหันไปมองคุณแม่ของเธออย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
"ลิลลี่กลับไปทำงานกับคนอื่นๆเถอะ
ถ้ามีอะไรเดี๋ยวฉันจะเรียก"
เอริสรีบพาตัวเองออกจากห้องทันทีโดยไม่รอให้ผู้เป็นนายได้เอ่ยปากอีกเป็นครั้งที่สองพอบานประตูปิดลงเธอก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และเผลอเอามือแตะที่ริมฝีปากที่บวมเจ่อของตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ
"ทำไมทุกอย่างมันถึงเลยเถิดไปมากขนาดนี้กัน เธอพึ่งเหยียบย่างเข้ามาอยู่ที่นี้ได้เพียงไม่นานเท่านั้น ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ไปได้"
"คุณแม่เธอเป็นแค่อาหารของเรานะคะ"
เบลาเอ่ยก่อนจะเดินเข้าไปหาคุณแม่ของเธอจะว่าเดินคงไม่ถูกบอกว่าหล่อนลอยหายไปเป็นภาพกะพริบหรือเคลื่อนที่พริบตาคงจะเหมาะกว่า
"ไม่ไว้ใจเธอเหรอ เบลาลูกรัก"
"หนูแค่ไม่อยากให้คุณแม่เสียใจ..."
เบลาเอ่ย หากแต่ผู้เป็นแม่ก็จ้องมองเธอด้วยแววตารู้ทัน
"ค่ะ...ไม่ไว้ใจ"
"แต่เธอก็ดูเป็นแค่เด็กสาวธรรมดา"
เลดี้ดิมิเทรสกูเอ่ยก่อนจะลูบหัวเบลาอย่างเอ็นดูหากจะเทียบกันแล้วระหว่างลิลลี่และลูกๆของเธอ ตอนนี้ลูกๆของเธอย่อมสำคัญกว่า
"แต่เธอดูไม่ใช่คนโง่นะคะคุณแม่"
"แม่ก็คิดแบบนั้น แต่ว่า...
"แม่ใจอ่อนกับเธองั้นเหรอคะ"
เลดี้ดิมิเทรสกูนิ่งชะงักไปพลางคิดถึงภาพเมื่อครู่ก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆว่า
"แค่อยากจะให้เธอมีชีวิตอยู่นานๆสักหน่อย"
"คุณแม่อยากเปลี่ยนให้เธอเป็นแบบพวกเราเหรอคะ"
เบลาเอ่ยพร้อมจ้องมองผู้เป็นแม่ด้วยความสงสัย
"คุณแม่มิแรนด้าไม่ยอมให้เราทดลองอีกแล้วที่มาประชุมกันเมื่อเย็น คุณแม่บอกว่ามีเป้าหมายที่เลือกไว้แล้ว"
เลดี้ดิมิเทรสกูเอ่ยอธิบายแก่ลูกสาว
"งั้นคุณแม่มิแรนด้าก็จะได้ลูกสาวของเธอคืนมา
แล้วคุณแม่ล่ะคะ"
เบลาเอ่ยเพราะเธอรู้ว่าผู้เป็นแม่นั้นรักในตัวคุณแม่มิแรนด้ามากแค่ไหน
"อาจจะเสียใจนิดหน่อย ...แต่ว่าแค่มีลูกสาวของแม่อยู่แม่ก็พอใจแล้ว"
"พวกเรารักคุณแม่มากนะคะ"
เบลาเอ่ยพลางโอบกอดผู้เป็นแม่ด้วยความรักหากแต่ตอนนี้ในหัวใจของผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์กลับมีคนอื่นที่เพิ่มเข้ามาเสียแล้ว ภาพสาวใช้คนใหม่ที่ทำให้เธอยิ้มและหัวเราะขบขันเวลาที่ได้แกล้ง อีกทั้งคำปลอบประโลมที่สาวใช้คนนั้นเอ่ยออกมา แม้จะบอกว่าไม่หลงกลแต่เธอก็ยังมีความรู้สึกไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไปถึงแม้จะกลายเป็นสิ่งที่แตกต่างไปแล้วก็ตาม แต่ว่าจิตวิญญาณของเธอก็ยังมีความรัก โลภ โกรธ หลง เช่นปทุชนคนทั่วไปอยู่เช่นกัน
หากแต่ในห่วงโซ่นี้จากคนที่อ่อนแอเธอก้าวมาสู่จุดที่เหนือกว่าคือผู้ล่าและเธอจะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการดื่มกินเลือดเนื้อของมนุษย์ด้วยกัน
ครั้งแรกที่รู้ว่าร่างกายเกิดการกลายพันธุ์ เธอก็ฆ่าคนติดตามที่เหลืออยู่ไปซะแล้วแม้จะรู้สึกผิด แต่ว่ามันก็เป็นกฎของธรรมชาติไม่ใช่เหรอ มีแต่ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะรอด แต่ตอนนี้ผู้แข็งแกร่งอย่างเธอกำลังใจอ่อนให้กับเหยื่อตัวน้อยเสียแล้ว
เอริสเองก็เช่นกันภารกิจนี้ของเธอกำลังไขว้เขวเธอไม่ใช่ลูกแกะที่จะยอมให้หมาป่าฉีกกระชากแต่เธอเป็นลูกแกะที่มีเขี้ยวเล็บและมารยา แต่ว่าตอนนี้เขี้ยวเล็บกำลังถูกถอดออกไปเหลือไว้เพียงขนหนาสีขาวของลูกแกะตัวน้อยเท่านั้น
การที่หมาป่าตกหลุมรักลูกแกะ หรือการที่ลูกแกะตกหลุมรักหมาป่าเป็นเรื่องที่ผิดธรรมชาติและผิดวัตถุประสงค์แต่เมื่อความรู้สึกได้ก่อตัวขึ้นแล้ว มันก็ไม่อาจจะละวางได้ ระหว่างเธอทั้งคู่จะต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแพ้พ่ายระหว่างเธอทั้งคู่ คือ สิ่งต้องห้ามของเหยื่อและผู้ล่า
ไม่เช่นนั้นแล้วฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ต้องตายด้วยความรู้สึกนี้ ใครที่รู้สึกมากกว่าคนนั้นอาจจะพ่ายแพ้ให้กับเกมนี้ในท้ายที่สุด
สวัสดีค่า
อ่านแล้วถ้าชอบฝากไลค์ให้เค้าด้วยน้าาา🙏🙏🙏
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments