...บำเรอรัก...
...บทที่ 4...
การศึกษาดูงานก็ผ่านไปเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว แต่ละวันของพระพายและตรีภพก็ไม่มีอะไรมากนอกจากการไปดูงานที่ธนาคารและกลับโรงแรมเพื่อพักผ่อนเท่านั้น ทั้งสองคนไม่ได้ออกไปเที่ยวที่ไหน เพราะเหนื่อยล้ากับงานแต่ละวันที่ปรับระดับความยากขึ้น และร่างกายยังไม่คุ้นชินกับสภาพอากาศข้างนอกที่หนาวเย็น
ในที่สุดวันหยุดก็มาถึง ตรีภพจึงถือโอกาสดีออกไปเที่ยวรอบเมืองจึงชวนร่างบางออกไปด้วย แต่พระพายไม่อยากไป เขาอยากอยู่คิดอะไรเงียบๆ คนเดียว คิดทบทวนเรื่องราวของตัวเองกับคนรักที่หายจากไปโดยไม่บอกไม่กล่าว
พระพายกับชายหนุ่มคนรักรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ว่าความรักของทั้งคู่กลับมั่นคงมาตลอด จนวันหนึ่งคนรักก็หายตัวไปโดยไม่บอกไม่กล่าว เขาไม่รู้ว่าซ้ำว่าตอนนี้คนรักอยู่ไหน แต่พระพายต้องการเพียงให้คนรักกลับมา กลับมาบอกกับเขาว่าเพราะเหตุใดจึงหายไปโดยไม่บอกเขาเลย ปล่อยให้เขาต้องรอมาเนิ่นนาน
มือบางจับสร้อยเงินที่มีจี้รูปพระอาทิตย์ ซึ่งร่างบางสวมมันติดตัวมาตลอด มันเป็นสิ่งแทนใจสิ่งเดียวที่คนรักได้มอบให้กับเขาในวันที่ทั้งคู่คบกับได้หนึ่งเดือน สร้อยคอเส้นนี้อาจจะเป็นสร้อยธรรมดาๆ ที่ไม่มีค่าเลยสำหรับใครบางคน แต่สำหรับพระพายแล้วมันเป็นสิ่งที่มีค่ามาก ร่างบางเงยหน้ามองท้องฟ้าสีครามอย่างเหม่อลอย พร้อมกับเอ่ยกับสายลมที่พัดผ่านมา เผื่อว่าคนรักอาจจะได้รับรู้ความรู้สึกของตัวเอง
“ซันยังรอพาย เหมือนกับที่พายรอซันไหม”
“ซันยังคิดถึงพาย เหมือนกับที่พายคิดถึงซันไหม”
“ซันยังรักพาย เหมือนกับที่พายรักซันไหม”
“ซันยังจำสัญญาของเราได้ไหม”
พระพายที่นั่งเหม่อลอยคิดอะไรต่ออะไรอยู่ภายในห้องพักก็รู้สึกเบื่อ ร่างบางจึงออกมาเดินเล่นรอบๆ โรงแรม หิมะสีขาวที่ยังคงปกคลุมพื้นที่ทุกบริเวณ ตลอดเส้นทางเดินก็จะมีผู้คนที่ออกมารับแสงแดดนอกบ้าน มีกลุ่มเด็กเล็กที่ออกมาเล่นหิมะกันอย่างสนุกสนาม เรียนรอยยิ้มจากคนที่เดินผ่านไปมาได้อย่างดี
พระพายเดินไปเรื่อยๆ ก็มาหยุดที่ร้านขายดอกไม้ซึ่งเป็นรถเข็น เจ้าของร้านได้ตกแต่งดอกไม้ใส่กระถางไว้อย่างน่ารัก ทำให้คนที่เดินผ่านไปมาต้องมองดอกไม้ของร้านด้วยความชื่นใจ ร่างบางคิดว่าการได้ออกมาเดินเล่นข้างนอกแบบนี้มันก็สามารถลดความหม่นหมองใจของเขาไปได้บ้าง
พระพายเดินต่อไปอีกหน่อยก็เจอกับร้านกาแฟเล็กๆ ที่มีผู้คนภายในร้านไม่เยอะมากนัก ร่างบางจึงเดินเข้าไปภายในร้านแล้วสั่งเครื่องดื่มอุ่นๆ ทานพร้อมกับขนมอบสด เขาเลือกหาที่นั่งที่ติดกับกระจกที่สามารถมองภายนอกร้านได้ มือเรียวถือเครื่องดื่มที่สั่งไว้ในมือเพื่อให้ความอบอุ่น ถึงแม้ว่าความหนาวจะคายลง แต่คนที่ไม่ชินกับอากาศเมืองหนาวอย่างเขาก็ยังรู้สึกหนาวอยู่ดี ร่างบางมองผู้คนที่เดินไปมามากหน้าหลายตาด้วยความเพลิน
พระพายมองไปเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดอยู่ยังรถยี่ห้อดังของยุโรปคันหนึ่งที่จอดรอสัญญาณจราจร ซึ่งรถคันดังกล่าวได้เปิดกระจกไว้ทำให้เขาได้บังเอิญมองคนที่อยู่ในรถ ชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบาะหลังคนขับช่างคุ้นตาในความรู้สึกของร่างบางจริงๆ ร่างบางมองคนคนนั้นด้วยความสนใจ โดยไม่รีรอร่างกายของเขาวิ่งออกไปยังรถที่หยุดสัญญาณจราจรโดยอัตโนมัติ ก้าวทุกก้าวของเขานั้นเต็มไปด้วยคำถามและความไม่แน่ใจ ว่าคนที่เห็นนั้นจะใช่ชายหนุ่มคนรักหรือไม่
“พาย พาย พระพาย” เสียงเรียกด้วยความร้อนใจของตรีภพดังขึ้น เมื่อเขาเห็นเพื่อนร่างบางวิ่งตรงไปยังบริเวณถนน
“นั้นพายจะทำอะไรนะ ไม่เห็นหรือไงว่าจะไฟเขียวแล้ว เดี๋ยวรถก็ชนหรอก” ตรีภพว่าด้วยความตกใจปนเป็นห่วง เขาเห็นเพื่อนที่วิ่งไปยังถนนพร้อมกับสัญญาณจราจรที่เริ่มจะเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว
“ดิว” พระพายหันกลับไปมองคนที่เรียกตน
“ใช่นะสิ แล้วพายจะวิ่งไปบนถนนทำไม” ตรีภพถามด้วยความร้อนใจ
“ปะ.. เปล่าหรอก” พระพายหันกลับไปมองรถคันที่มีร่างสูงนั่งอยู่เคลื่อนออกไป เมื่อสัญญาจราจรเปลี่ยนสีก่อนหันเพื่อนแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้า
“ว่าแต่ดิวเถอะ ไหนว่าจะไปเที่ยว ทำไมกลับมาเร็วจัง” พระพายถามพลางยิ้มให้เพื่อนเพื่อกลบเกลื่อนความเศร้า
“เฮ้ย... พูดขึ้นแล้วมันน่าโมโหจริงๆ” ตรีภพเอ่ยบอกด้วยความหงุดหงิด
“ทำไมหรอก” พระพายถามอย่างสงสัย
“ก็ดิวดันหลงทางนะซิ เลยกลับมาก่อน เอาไว้ดิวค่อยไปพร้อมพายดีกว่า” ตรีภพบอกเสียงอ่อนกับความผิดพลาดของตนเอง ร่างบางที่ได้ฟังก็ขำเล็กน้อยกับท่าทีของเพื่อน
“อือ... เอาไว้ค่อยไปเที่ยวกันก่อนจะกลับไทยดีไหม” พระพายบอกด้วยรอยยิ้ม เขาก็อยากออกไปเที่ยวบ้างเหมือนกัน แต่ตอนนี้ยังไม่มีกะจิตกะใจจะไปไหน เพราะมัวแต่คิดเรื่องคนรัก เมื่อนึกถึงความฝันแล้วมันทำให้เขาคิดวิตกไม่ได้
“ดีเหมือนกัน ดิวจะได้ไม่ต้องหลงอีก” ตรีภพบอกกลับไป
“นั้นวันนี้เราไปเที่ยวห้างใกล้ๆ ที่พักกันดีไหม ดีกว่าอยู่ห้องเฉยๆ” ตรีภพแสดงความคิด แต่ร่างบางที่เงียบเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“นะนะ พาย ช่วยพาดิวไปเที่ยวห้างหน่อยนะ” ตรีภพส่งตาปิ๊งๆ ด้วยท่าทางออดอ้อนร่างบางเต็มที่ ดูซิว่าเพื่อนคนนี้จะใจแข็งกับเขาไหม
“โอเคจ๊ะ” พระพายต้องตกลงอย่างปฏิเสธไม่ได้
ทั้งสองจึงขึ้นรถโดยสารสายที่ผ่านไปยังย่านดาวน์ทาวน์ของเมือง แล้วเดินเล่นบริเวณรอบๆด้วยความเพลิดเพลินจนกินเวลาไปถึงเย็น ก่อนที่ทั้งคู่จะกลับไปที่พักเพื่อทานอาหาร
หลังจากทั้งสองทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว ตรีภพก็ขอตัวขึ้นห้องพักก่อน เพราะเริ่มง่วงเมื่ออาหารตกถึงท้อง ส่วนพระพายยังคงนั่งอ่านหนังสือที่ล็อบบี้ของโรงแรมก่อน ร่างบางนั่งอ่านหนังสือนิตยสารที่โรงแรมจัดไว้ไปเรื่อยๆ
เวลาผ่านไปเกือบสามทุ่ม พระพายจึงขึ้นห้องพัก เมื่อเห็นว่าร่างกายเริ่มต้องการการพักผ่อน
วันนี้เอริคมีนัดพาคู่หมั้นมาดินเนอร์ที่โรงแรม เขาหมั้นกับเธอได้เกือบหนึ่งปีแล้ว เหตุผลที่เขาตัดสินใจหมั้นกับหญิงสาวนั้นไม่ใช่เกิดจากความรัก เพียงเพราะความเหมาะสมเท่านั้น แล้วเขาเองก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่ตัวเองจะต้องแต่งงานเสียที หญิงสาวตรงหน้ามีความเหมาะสมกับเขาทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของฐานะ ชาติตระกูล ความรู้และการศึกษา เธออาจจะช่วยเติมเต็มความสมบูรณ์แบบให้แก่เขาได้ เพราะการที่เอริคจะต้องออกงานไปพบคู่ค้าเรื่องคู่ควงก็มีความสำคัญกับเขาด้วย
อีกทั้งบิดามารดาของเอริคก็ไม่ว่าอะไรเรื่องการหมั้นของทั้งคู่ ซึ่งทุกอย่างได้จัดเตรียมพร้อมสำหรับทั้งคู่แล้ว แต่สิ่งเดียวที่ขาดนั้นคือความรัก แต่สำหรับ เอริค ฮิวส์ตัน ไม่จำเป็นต้องมีความรักเขาก็สามารถอยู่ได้ เพราะความรักสำหรับเขาแล้วมันช่างเป็นเรื่องเพ้อฝันและไร้สาระสิ้นดี
“เอริคค่ะ เดี๋ยวทานอาหารเสร็จแล้วค่อยไปต่อกันที่ห้องคุณดีไหมคะ” น้ำเสียงอ่อนหวานของหญิงสาวที่เป็นคู่หมั้นของร่างสูงเอ่ย เธอคือ ลิเดียร์ คาเรน ลูกสาวเพียงคนเดียวของนักธุรกิจส่งออกรถยนต์ชื่อดัง
“วันนี้คงไม่ได้ เพราะคืนนี้ผมจะต้องตรวจเอกสารของโรงแรม” เอริคบอกกลับไปด้วยความจริง คืนนี้เขาจะต้องค้างที่โรงแรมเพื่อเคลียร์งานที่ยังค้างคาอยู่
“เว้นไว้สักวันไม่ได้หรอกค่ะ นะคะ” ลิเดียร์เอื้อมมือบางไปสัมผัสมือหนาของร่างสูงเพื่อเป็นการเชิญชวนพร้อมกับส่งสายตายั่วยวนด้วยความเสน่หา
“พรุ่งนี้ก็แล้วกันนะครับ” เอริคยังปฏิเสธเหมือนเดิม สำหรับเขาแล้วงานต้องมาก่อนเรื่องอื่นเสมอ
“ก็ได้ค่ะ” ลิเดียร์มองค้อนชายหนุ่มอย่างมีจริต แต่เธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้
ลิเดียร์รู้ดีว่าชายหนุ่มบอกว่าไม่ก็คือไม่ เธอไม่อยากทำให้ชายหนุ่มอารมณ์เสียโดยไม่จำเป็น ถ้าชายหนุ่มอยู่ทำงานเธอก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่ถ้าชายหนุ่มไปอยู่บนเตียงกับคู่ขาของเขา เธอก็ทนไม่ได้ ใช่ว่าเธอจะไม่รู้ว่าปัจจุบันชายหนุ่มยังมีคู่ขาอยู่ ไม่ว่าจะผู้หญิงผู้ชาย แต่เธอก็ต้องอดทน เพราะไม่อยากให้ชายหนุ่มอาจจะหลุดมือไปก็ได้
‘คนอย่าง เอริค ฮิวส์ตัน จะต้องเป็นของเธอเท่านั้น’ ลิเดียร์คิดในใจ เพราะเธอจะไม่มีวันปล่อยชายหนุ่มตรงหน้าไปแน่ ถ้าเธอปล่อยชายหนุ่มไป เธอคงจะโง่เต็มที
“ถ้าอย่างนั้นเอริคเต้นรำกับลิเดียร์ก่อนนะคะ แล้วค่อยกลับ” ลิเดียร์บอกความต้องการ และชายหนุ่มก็พยักหน้ารับเป็นการตกลง ร่างสูงลุกขึ้นโค้งขอหญิงสาวออกไปเต้นรำ
คนที่อยู่ภายในห้องอาหารต่างก็จับตามองคู่ของชายหนุ่มเป็นตาเดียว เอริคมักมีเสน่ห์สำหรับทุกเพศ เมื่อเพลงเริ่มขึ้นทั้งสองก็เริ่มเต้นรำกันจนกระทั่งเพลงจบ ทั้งคู่ใช้เวลาอยู่ต่ออีกไม่นานก็ออกจากโรงแรม
เอริคเดินมาส่งหญิงสาวที่หน้าโรงแรม ซึ่งมีรถของทางบ้านรอรับเธอกลับบ้าน เมื่อมาถึงรถหญิงสาวก็คล้องแขนเรียวกับคอของชายหนุ่ม ก่อนที่จะจูบปากหนาอย่างเร่าร้อนลิ้นที่เกี่ยวพันกับก็ทำให้เกิดเสียงครางของทั้งคู่
จ๊วบ จ๊วบ
“อื๊ออออ”
“ลิเดียร์จะรอพรุ่งนี้นะค่ะ” ลิเดียร์ผละจูบออกก่อนพูดขึ้น ชายหนุ่มก็พยักหน้าตอบรับ เธอก็จูบลงบนปากชายหนุ่มเบาๆ อีกครั้ง เพื่อเป็นการบอกลา
“บ๊ายค่ะ” หญิงสาวบอกลาก่อนจะเดินขึ้นรถไป
เอริคมองรถที่เคลื่อนออกไปก็หันหลังเดินเข้าโรงแรมทันที ร่างสูงเดินตรงไปยังลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังห้องพักส่วนตัวของเขาที่อยู่ชั้นบนสุด ระหว่างทางเดินก็เจอกับพนักงานที่ทำหน้าที่ต้อนรับอย่างดี เมื่อมาถึงหน้าลิฟต์ร่างสูงตัดสินใจไม่ใช้ลิฟต์ส่วนตัว เขาก้าวเข้าไปในลิฟต์ที่เปิดก่อนจะที่กดชั้นที่ต้องการ ขณะที่ลิฟต์กำลังจะปิดก็ได้มีเสียงหวานเอ่ยขึ้นมา
“รอด้วยครับ” พระพายเอ่ยบอกคนที่อยู่ในลิฟต์ เพื่อให้ทันก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดลง
พระพายวิ่งไปยังหน้าลิฟต์ก็ต้องชะงักเท้าเมื่อเห็นหน้าชายหนุ่มร่างสูงที่อยู่ในลิฟต์ ร่างบางมองใบหน้าหล่อเหลาของร่างสูงที่ไม่ได้เจอกันมานานเกือบสองปี ก่อนที่จะโผกอดร่างสูงไว้แน่น ในที่สุดการรอคอยของเขาก็เป็นผล เมื่อเขาได้เจอกับคนรักอีกครั้ง อ้อมกอดที่หายจากกันไปนานแต่กลับอบอุ่นเหมือนเดิม
“ซันหายไปไหนมา ทำไมไม่บอกพายเลย พายเป็นห่วงมากแค่ไหนรู้ไม่ ซันใจร้ายกับพายมากเลยนะ” พระพายถามด้วยความร้อนรน ทั้งที่ร่างกายยังคงกอดร่างสูงไว้แน่นด้วยความคิดถึง
“.........”
แต่ก็ไร้เสียงตอบกลับใดๆ จากคนตรงหน้า มีเพียง ความเฉยชาที่ถูกส่งมาให้ ก่อนที่ร่างสูงกลับจับไหล่ของร่างบางทั้งสองข้างเพื่อผละออกจากตน พระพายที่ผละออกก็ตกใจ ใบหน้าสวยเงยหน้ามองร่างสูงด้วยความไม่เข้าใจ
“ทำไมซันทำกลับพายแบบนี้” น้ำเสียงแผ่นเบาเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจการกระทำของอีกฝ่าย ใบหน้าหวานเคลือบไปด้วยความเศร้าหมอง
“ผมซิที่ต้องเป็นฝ่ายถามคุณมากกว่า ว่าคุณเป็นใคร” เอริคถามเสียงเรียบ เมื่ออยู่ดีๆร่างบางตรงหน้าก็เข้ามากอดเขา แถมเอาแต่พร่ำพูดแต่เรื่องที่เขาไม่เข้าใจ เมื่อมองร่างบางตรงหน้าก็รู้สึกคุ้นหน้า แต่ก็ไม่สามารถนึกออกได้ว่าตนเคยเจอกับคนตรงหน้าตอนไหน
“พายไง ซันจำพายไม่ได้หรอก” เสียงแผ่วเอ่ยออกไปพร้อมกับมือบางที่จับมือหนาเอาไว้
“ผมว่าคุณคงจำคนผิดแล้วล่ะ ผมไม่รู้จักคุณ” เอริคบอกอย่างมั่นใจ แม้ในใจจะคัดค้านกับสิ่งที่เอ่ยออกมา
“ซัน... ทำไมซันพูดกับพายแบบนี้”
“ซัน... ลืมพายแล้วหรอก” พระพายถามด้วยเสียงสั่นเทา พร้อมกับมองเข้าไปในดวงตาของร่างสูง แต่แววตาของคนรักกับว่างเปล่า ทำให้พระพายกลัว กลัวจับใจ เมื่อนึกถึงความฝันที่ผ่านมา
“ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณเป็นใคร แต่ผมว่าชื่อที่คุณเรียกนั้นไม่ใช่ชื่อของผมแน่นอน” เสียงขรึมที่เอ่ยออกมาด้วยท่าทีเย็นชา ทำให้คนฟังถึงกับนิ่งเงียบพร้อมน้ำใสๆ ที่เริ่มไหลออกมาอาบแก้มโดยไม่รู้ตัว ร่างบางเผลอถอยหลังออกจากลิฟต์ ทำให้ตอนนี้ร่างสูงอยู่ด้านใน ส่วนร่างบางอยู่ด้านนอก
“ถ้าคุณไม่ไป ผมขอตัวก่อนแล้วกัน” เสียงเรียบเอ่ยบอกก่อนที่เอริคจะกดลิฟต์ปิด เขาไม่ได้สนใจร่างบางที่ยืนตรงหน้าเลย แต่ก็ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่าทำไมเมื่อเห็นน้ำตาอีกคน เขาถึงได้เจ็บปวดใจขนาดนี้
พระพายที่ยืมมองประตูลิฟต์ที่ค่อยๆ ปิดพร้อมใบหน้าของร่างสูงคนรักที่แคบลงเรื่อยๆ จนในที่สุดประตูลิฟต์ก็ปิดเข้าหากันอย่างสนิท รวมทั้งหัวใจที่แหลกสลายของเขาด้วย พระพายได้แต่ยืนร้องไห้ที่ร่างสูงจำเขาไม่ได้ ทั้งที่เขากลับจำร่างสูงได้ดี ความเจ็บปวดทางกายที่ไม่สามารถเอ่ยออกมาได้ ทำไมถึงได้ทรมานมากถึงเพียงนี้
พระพายไม่ได้รอลิฟต์ตัวต่อไป แต่ร่างบางเลือกที่จะเดินออกมาจากโรงแรม เขาเดินออกห่างจากโรงแรมเรื่อยๆ ไปยังสวนสาธารณะที่มีม้านั่งวาง พระพายเลือกม้านั่งที่ใกล้กับสระน้ำ ระหว่างทางเดินน้ำตาของเขาไหลออกมาตลอดทาง ความรักที่มีร่วมกันมาตลอดเวลา แต่อีกฝ่ายกลับลืมมันได้ง่ายขนาดนี้เลยหรอก
ความรักสามารถลืมง่ายขนาดนี้หรอก ร่างบางเฝ้าถามตัวเองว่าทำไมพระเจ้าไม่ทำให้ตัวเองลืมคนรักบ้าง แต่กลับทำให้เขาจดจำรายละเอียดของคนรักได้ทุกลมหายใจ
“ฮึกฮึกฮึก” พระพายนั่งร้องไห้พร้อมกับนึกถึงร่างสูงคนรักที่เจอกัน คำพูดและการกระทำที่ทำร้ายจิตใจเขา มันยังคงตราตรึงในความทรงจำ
“ฮึกกกก... ทำไม”
“ทำไมคุณถึงได้ลืมความรักของเราได้ง่ายดายขนาดนี้”
“ไหนจะสายตาที่คุณมองมามันไม่มีแม้แต่ความรักเลย” พระพายพึมพำด้วยน้ำเสียงตัดพ้อกับสายลมหนาว เมื่อได้รับรู้ความจริง ความจริงที่ทำให้ตัวเองเจ็บและทรมานมากกว่าในความฝันหลายเท่า
...ฝากติดตามและเป็นกำลังใจให้นักเขียนด้วยนะคะ...
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments