เช้ามืดอาร์ตลุกจากเตียงลงมาชั้นล่างของบ้าน เขากำลังคิดอยู่ว่าจะหางานอะไรทำ ตอนนี้เขาตั้งใจว่าจะเลี้ยงลูกให้เธอรู้จักข้อมูลพื้นฐาน ให้เธอได้เรียนรู้ไปตามวิถีของดาวเคราะห์ดวงนี้ไปสักพัก จากนั้นค่อยพาเธอท่องโลกกกว้าเพื่อหาที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมกับการใช้ชีวิต
อาชีพที่เขาคิดจะทำก็มีหลายตัวเลือก
หนึ่งคือเป็นพนักงานขนซากมอนสเตอร์เหมือนเเต่ก่อน มันเป็นงานใช้เเรงกายเพื่อแลกเงิน อัตราเงินเดือนจะอยู่ที่ 3,000 \- 9,000 บาท หากเขาเลือกทำงานนี้คงต้องคำนวณการใช้จ่ายแบบเดือนชนเดือน
ตัวเลือกที่สองคือเป็นนักล่า เป็นงานที่ต้องเสี่ยงออกไปล่ามอนสเตอร์ข้างนอกกำเเพงและในเกทดันเจี้ยน รายได้นั้นไม่เเน่นอน มันขึ้นอยู่กับจำนวนและระดับมอนสเตอร์ที่ล่าได้ ทั้งนี้ระดับแรงค์เองก็มีส่วนสำคัญต่อรายได้เช่นกัน โดยทั่วไปแล้วคนที่เลือกงานนี้มักจะเป็นผู้อเวคพลัง แต่ส่วนใหญ่มักจะล่ามอนสเตอร์ระดับต่ำ ในส่วนของคนธรรมดาก็มีคนเลือกงานนี้อยู่เช่นกัน พวกเขาจะล่ามอนสเตอร์โดยใช้อาวุธที่มีประสิทธิภาพ แต่ต้องแลกกับความเสี่ยงหลายอย่างเพราะศักยภาพคนปกตินั้นต่ำ พวกเขาจึงต้องแบกรับความเสี่ยงมากกว่าผู้อเวค อาชีพนี้ถือว่าน่าสนใจ แต่หากอาร์ตเลือกอาชีพนักล่า เขาจะไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับลูก เพราะนักล่าจะต้องใช้เวลาการล่าหลายวันโดยเฉพาะภารกิจสมาคมที่ไม่อาจเลี่ยงได้ บางภารกิจใช้เวลาเป็นเดือนก็มี หากแม้ว่าจะคิดวิธีค่อยๆเอาของในมิติไปขายให้กับสมาคมโดยไม่ต้องไปล่าแบบนักล่าทั่วไป แต่เมื่อคิดถึงตอนที่เขาเอามีดไปขายร้านแล้วโดนพนักงานปรามาสว่าย้อมแมวขายก็กังวลใจว่าถ้าหากที่สมาคมเป็นแบบนั้น เขาคงขายของไม่ออกเป็นแน่
อาชีพต่อไปคือไปสมัครงานประจำหรืองานรับจ้าง แต่เครดิตคนล้มละลายคงเป็นไปได้ยาก
ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะเลือกอาชีพไหน อาร์ตคิดว่าวันนี้เขาจะลองไปหาข้อมูลใกล้ๆนี้ก่อน เผื่อจะมีอาชีพที่เหมาะกับพ่อเลี้ยงเดี่ยวเช่นเขาอยู่
อาร์ตมองไปบนชั้นสอง ลูกสาวยังคงหลับไหล เธอจะไม่ตื่นเร็วๆนี้ เขายังพอมีเวลาในการเลือกอาชีพ คิดดังนั้นก็ออกจากบ้าน เขาเดินทอดน่องตามถนนมองดูสภาพเเวดล้อมโดยรอบ บ้านเขาตั้งอยู่ตรงสี่แยกพอดี ตรงข้ามเป็นร้านขายกล้วยที่อยู่ติดกับโรงเรียน ซ้ายมือเป็นร้านขายของชำ มีเครื่องประดับที่ทำจากแร่และอัญมณี เดินไปอีกสักพักก็เจอร้านขายเนื้อสัตว์ มีเนื้อหมูกับเนื้อไก่ที่คนทั่วไปนิยมรับประทาน นอกจากนี้ยังมีเนื้อมอนสเตอร์ขายด้วย แต่ราคาจะเเพงกว่าหลายเปอร์เซ็นต์ แถวนั้นมีตลาดติดกันสองแห่ง ตรงข้ามตลาดเป็นร้านสะดวกซื้อ เขาใช้เวลาครึ่งวันสำรวจชนบทแห่งนี้ เมื่อวนมาบรรจบที่บ้านตัวเองก็พอรู้ว่าที่นี่ไม่ได้ขาดแคลนปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต เพียงแต่คนไม่ค่อยนิยมเข้ามาอาศัยอยู่ ซึ่งสาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะใกล้กำแพง และมีดันเจี้ยนอยู่หลายเเห่ง แต่ดันเจี้ยนดังกล่าวกับมีทางเข้าที่เล็กมาก เล็กถึงขั้นที่ว่าสามารถมุดเข้าไปได้เเค่ศีรษะ จึงมักมีเหตุการณ์ดันเจี้ยนทะลักบ่อยๆ มอนสเตอร์ที่เข้ามาโจมตีเป็นประเภทหนู กิ้งก่า มดแมลง นับว่าเป็นมอนสเตอร์ระดับต่ำสุด มันมีลักษณะคล้ายสัตว์เกือบทุกประการ เพียงแต่ตัวจะใหญ่กว่าเเละมีกำลังมากกว่าสัตว์ปกติ นอกจากนี้ วัตถุดิบของมันก็ไม่เป็นที่ต้องการของตลาดหลัก อีกทั้งมอนสเตอร์เหล่านี้สามารถจัดการได้ไม่ยากทางสมาคมจึงไม่จัดเป็นปัญหาใหญ่ แม้มันจะเป็นปัญหาที่จัดการไม่ได้ก็ตาม
ซึ่งการที่ไม่สามารถเข้าไปเคลียร์ในดันเจี้ยนได้ มันจึงทำให้ไม่สามารถควบคุมการทะลักของมอนสเตอร์ ไม่มีใครรู้ว่าจะทะลักตอนไหน พวกมันสร้างความเสียหายทางพืชผลเกษตร และสร้างความรำคาญให้กับผู้คนที่นี่ แม้จะยื่นเรื่องขอให้มีเจ้าหน้าที่มาลาดตระเวร และขอมาเฝ้าดันเจี้ยนเพื่อกำจัดตอนที่มอนสเตอร์ทะลัก แต่ทางรัฐไม่ได้ตอบรับเรื่องนี้ ทั้งยังบอกอีกว่าเป็นการเสียเวลาที่จะให้เจ้าหน้าที่ไปเฝ้าดันเจี้ยนร้อยกว่าจุด งบประมาณจะเสียเปล่า สุดท้ายจึงลงเอยที่ชาวบ้านต้องจัดการกันเอง ความลำบากในการดำเนินชีวิตจึงเพิ่มขึ้นจำนวนประชากรบริเวรนี้จึงลดลงทุกปี
ในขณะที่กำลังจะเข้าบ้านอาร์ตได้พบเจอกับเพื่อนบ้านที่เข้ามาทักทาย
"สวัสดีพ่อหนุ่ม มาอยู่ใหม่เหรอ" เสียงของหญิงสาววัยกลางคนเอ่ยทัก ด้านหลังเธอสะพายกระเป๋าซึ่งมีมอนสเตอร์หนูห้อยอยู่หลายตัว เธอเเกะเอามอนสเตอร์หนูทั้งหมดยื่นให้กับอาร์ต
"พ่อหนุ่มกินหนูเป็นไหม ถ้ากินไม่เป็นเดี๋ยวป้าจะทำกับข้าวให้กิน" เสียงหญิงวัยกลางคนนั้นเอ่ย
"ก็พอปรุงเป็นอยู่ครับ ว่าเเต่ป้าให้ผมหมดจะดีเหรอครับ" อาร์ตเอ่ย ป้าแกเอามอนสเตอร์หนูยื่นให้อา์ตทั้งหมดจริงๆ
"เรียกป้าว่าป้ากานต์ก็ได้จ้ะ ป้าเปิดร้านตรงข้ามถนนนี่เอง พ่อหนุ่มเอาไปหมดเลย ป้ากินจนหน้าจะเป็นหนูพวกนี้อยู่เเล้ว ถ้าชอบหนูพวกนี้ยิ่งดี จากนี้จะได้ช่วยกันกิน ช่วงนี้มอนสเตอร์หนูมันเยอะขึ้นอีกแล้ว คนที่นี่กินกันจนจะอ้วก" ป้ากานต์เอ่ย
"ทำไมไม่เอาไปขายล่ะครับ" อาร์ตถาม
"ขายก็ขายอยู่หรอก แต่มันขายยาก ตลาดไม่ค่อยรับซื้อ กว่าจะขายได้สักสิบตัวก็ลำบากลำบนแล้ว อีกอย่างนะ ไอ้หนูเวรพวกนี้จะเอาไปทิ้งนอกกำแพงก็ไม่ได้เพราะไอ้พวกรัฐมันจะปรับเงิน มันขู่ใหญ่เลยไอ้พวกนั้น มาทำเป็นบอกว่าเป็นห่วงประชาชน ถ้าเอาซากหนูไปทิ้งนอกกำเเพงเดี๋ยวจะกลายเป็นว่าเพิ่มอาหารให้มอนสเตอร์ข้างนอก ป้าล่ะอยากถุยน้ำลายจริงๆ มันเป็นห่วงในเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ตอนนี้ทุกคนในหมู่บ้านต้องเผชิญกับความยากลำบาก ความจริงมันน่าจะหาช่องทางจัดการหนูพวกนี้สิ ไม่ใช่ปล่อยให้พวกเราจัดการกันเองแบบนี้" ป้ากานต์ได้ทีก็บ่นยาว
"เราก็เอาไปขายเมืองอื่นสิครับ เมืองใกล้ๆก็น่าจะรับซื้อ" อาร์ตเอ่ย ป้ากานต์ถอนหายใจ
"จะซื้อมันก็ซื้ออยู่หรอก เเล้วเราก็เคยทำมาเเล้วด้วย แต่มันขาดทุน เสียทั้งค่าคุ้มกัน เสียค่าภาษีเจ้าเมือง บางครั้งก็ถูกกดราคา แล้วที่สำคัญคือเสียชีวิต ช่วงนั้นคนในหมู่บ้านตายไปหลายรายกับการเอาหนูเวรนี่ไปขายข้างนอก ต่อให้ขายออกก็ได้กำไรไม่กี่บาท มันเลยกลายเป็นว่าวิธีกำจัดด้วยการกินจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดแม้มันจะสิ้นคิดที่สุดก็ตาม ก็จะให้ทำไงได้ เฮ้อ" ป้ากานต์ตัดเพ้อ อาร์ตพยักหน้าเข้าใจ
"งั้นผมไม่เกรงใจละนะครับ ขอรับมอนสเตอร์หนูไปทั้งหมดเลย อ้อ ผมชื่ออาร์ตครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ" อาร์ตเอ่ย
"ยินดีจ้ะ วันนี้ป้าจะได้เปลี่ยนเมนูแล้วฮี่ฮี่" ป้ากานต์เอ่ยพลางยิ้มร่าเข้าบ้าน
ตอนกลางวันนี้อาร์ตได้นำเนื้อของมอนสเตอร์หนูมาย่างทาซอส อุปกรณ์ครัวและเครื่องปรุงก็ไปซื้อมาจากร้านค้าละแวกนี้ กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของเนื้อมอนสเตอร์โชยมาตลอดการย่าง เมื่อลองกินดูปรากฏว่ามันอร่อยพอสมควร เนื้อมอนสเตอร์หนูมีรสชาติเฉพาะ กลิ่นก็ไม่ได้เเรงเท่าเนื้อหนูปกติ เผลอๆถ้าซอสเข้าเนื้อยิ่งกลายเป็นว่าหอม อาร์ตลองย่างอีกตัวจนหนังกรอบ มองดูแล้วคล้ายกับว่ากำลังย่างหมูหันอยู่ก็ไม่ปาน เมื่อลองกินดูเขารู้สึกชอบเนื้อหนูที่ย่างแบบนอกกรอบนุ่มใน เนื้อหนูไม่ได้เหนียวทำให้เวลาเคี้ยวเหมือนละลายในปาก ยิ่งจิ้มกับน้ำจิ้มสามรสก็ทำเอาหนูทั้งห้าตัวที่ป้ากานต์ให้หมดเกลี้ยง
"หนูนี่ก็อร่อยไม่เบาเลยนะ ทำไมรัฐบาลไม่สนับสนุนให้เป็นสินค้าเศรษฐกิจ เดี๋ยวลองไปล่าขายสักชุดหนึ่งก่อน เราไม่เชื่อหรอกว่าจะขายไม่ได้" อาร์ตเอ่ยกับตัวเอง จากนั้นก็ไปถามที่อยู่ของมอนสเตอร์หนู ซึ่งป้าแกก็บอกมาหลายสิบจุด อาร์ตจึงไปล่าจุดที่ใกล้ที่สุดคืออดีตทุ่งนา
อดีตนาข้าวที่อาร์ตเห็นตอนนี้เต็มไปด้วยหญ้า มีเส้นทางเล็กๆหลายพันจุดคล้ายกับทางเดิน มันเกิดจากมอนสเตอร์หนูและแมลง ชาวบ้านที่นี่ไม่ได้ปลูกข้าวแล้วเพราะการรุกรานของมอนสเตอร์หนูนั่นเอง
ในนาเก่ามีมอนสเตอร์หนูหลายร้อยตัว ขนาดของมันพอๆกับเเมวตัวเต็มวัย อาร์ตพุ่งเข้าไปจับมันและสังหารด้วยพลังจิตทำให้มันตายทันทีไม่มีอาการกระตุก จากนั้นก็โยนเข้าไปในมิติ เขาทำการล่าครู่หนึ่ง ได้มอนสเตอร์หนูมากว่าสี่ร้อยตัว
"จำนวนมันเยอะจริงแฮะ" อาร์ตเอ่ย เขามองมอนสเตอร์หนูที่ยังเตร็ตเตร่ไปมาจำนวนมากก็ไม่คิดจะล่าต่ออีก เมื่อกลับถึงบ้านเขาจัดการถอนขนโดยการใช้เวทโคลนร้อน เวทมนตร์นี้มันจะทำให้หนังของมอนสเตอร์หนูมีความนิ่มและความขาว หลังจากขนหลุดออกเขาก็เผาทำลายขนด้วยเวทไฟจนไม่เหลือร่องรอย อาร์ตออกไปซื้อกล่องโฟม นำหนูชุดหนึ่งบรรจุลงไป เขาจะลองเอาไปขายดู
ณ ตลาดย่านเศรษฐกิจ
"คงซื้อไม่ได้ คนที่นี่เขาไม่กินเนื้อหนูหรอก ข้าก็รู้ว่ารสชาติเนื้อมันก็ใช้ได้ แต่คนอื่นเขารังเกียจ ยังคงคิดว่าหนูคือตัวเชื้อโรค ใครที่กินมันมักจะโดนรังเกียจไปด้วย" พ่อค้ารับซื้อเนื้อมอนสเตอร์กล่าว อาร์ตตะเวนขายไปหลายร้าน ส่วนใหญ่ไม่รับซื้อ ร้านที่ขายได้ก็รับแค่ตัวหรือสองตัว ราคาต่อตัวอยู่ที่ประมาณห้าสิบบาท
เมื่อตระเวนขายจนตะวันใกล้ลับฟ้า เขาขายได้เพียงสี่ตัวเท่านั้น รวมแล้วได้เงินมาสองร้อยยี่สิบบาทเพราะแต่ละร้านซื้อต่างกันอยู่บ้าง
"ที่เขาซื้อนี่คงเอาไปกินเองแน่เลย" อาร์ตเอ่ย สรุปแล้วการขายเนื้อมอนสเตอร์หนูผิดจากที่คาด ต่อให้ขายได้คงไม่คุ้ม แต่หากเหาะไปขายเมืองอื่นก็คงไม่มีปัญหา มันจะติดอยู่ที่ว่าเขาต้องเดินทางไปมาตลอดระยะเวลาทำอาชีพนี้ สู้ล่ามอนสเตอร์ระดับสูงสักตัวขายให้กิลด์ยังดีเสียกว่า วันนี้เขาจึงหยุดเเค่นี้เเละเตรียมซื้อข้าวสำเร็จกลับไปกินบ้าน ระหว่างนั้นเองก็พบกับทอปที่มาทำธุระเเถวนั้นพอดี ทอปรีบวิ่งเข้ามาทักทายอาร์ตด้วยสีหน้าตื่นเต้น
"พี่อาร์ต ใช่พี่จริงๆด้วย ผมตามหาพี่ตั้งนานในที่สุดก็เจอสักที" ขณะที่ทอปวิ่งเข้ามาได้มีกลุ่มชายแต่งตัวดีวิ่งตามด้วย พวกเขาเป็นคนรับใช้ของทอป
"พี่ว่างคงไม่นานมั้ง มันพึ่งผ่านมาแค่คืนเดียวเองไม่ใช่เหรอ" อาร์ตเอ่ย ทอปไม่ได้เเย้งคำพูดนั้น อันที่จริงนี่ก็พึงผ่านมาคืนเดียวจริงๆ
"คุณพี่อาร์ตครับ ผมขอเข้าประเด็นเลยนะครับ พี่มีเล็บแบบนั้นอีกไหมครับ" ทอปเอ่ยเข้าประเด็น สีหน้าของเขาดูตื่นเต้นและเป็นกังวลในคราเดียวกัน
"ติดใจเล็บของปีศาจสุดเขตจักรวาลละสิ" อาร์ตเอ่ย ทอปพยักหน้ารัวๆ พร้อมกับโชว์ดาบที่ตรงปลายมีเล็บติดอยู่ ลักษณะคล้ายกับเอากาวมาติดอย่างหรอย่างนั้น
"ใช่ครับพี่ เล็บนี่มันสุดยอดมากเลย เมื่อวานผมเอาไปให้ช่างประจำตระกูลทำการสกัดเพื่อสร้างอาวุธ แต่พี่รู่ไหมว่าไฟเตาหลอมที่ถูกเร่งจนสูงที่สุดก็หลอมเล็บนี่ไม่ได้ แล้วอุปกรณ์ของตระกูลทุกชิ้น ไม่เว้นของที่ทำจากเขี้ยวมังกรก็ทำอะไรเล็บนี่ไม่ได้เลย สุดท้ายช่างก็เอามันมาติดไว้ปลายดาบแบบนี้ ผมจะบอกเพิ่มอีกนะครับ เมื่อพ่อผมรู้เรื่องเข้าว่าผมไปก่อเรื่องให้ตระกูลต้องถึงขั้นซ่อมโรงตีเหล็กผมโดนด่าชุดใหญ่เลย แต่หลังจากที่ผมเอาดาบติดเล็บนี่ออกล่า กลับกลายเป็นว่าสามารถจัดการกับมอนสเตอร์แรงค์ A ได้ แม้ว่าผมเกือบจะพลาดท่าโดนมันเเด๊กก็ตาม พอพ่อผมรู้ว่าเล็บนี่เจ๋งแค่ไหน แกเลยสั่งให้ผมไปตามหาคุณพี่นี่เเหละครับ" ทอปเอ่ย อาร์ตแค่รับฟังไปอย่างนั้น เขาไม่ได้สนใจวีรกรรมของทอป
"แล้วจะตามหาพี่ไปทำไม ถ้าจะเอาตังค์คืนพี่ไม่ให้นะ ของขายไปแล้วไม่มีบริการคืนเงิน" อาร์ตเอ่ย ทอปส่ายหน้ารัว
"ไม่ใช่ครับพี่ ที่ตามหาเพราะอยากซื้ออีกต่างหาก ครั้งนี้พี่สามารถกำหนดราคาได้ตามใจชอบเลยครับ ผมว่าเล็บนี่ต้องหลักสิบล้านขึ้นไป ไม่งั้นก็ร้อยล้าน เพราะมันสามารถเจาะทะลุเกร็ดมังกรได้ แม้มันจะมีความยาวไม่กี่เซ็นติเมตรก็ยังเอามาติดปลายดาบหรือปลายหอกใช้งานได้ดีเลยครับ" ทอปเอ่ย อาร์ตพยักหน้า
"อ้อพี่อาร์ต เมื่อวานพี่นำของอย่างอื่นมาขายด้วยไม่ใช่เหรอครับ พี่พอจะให้ผมดูได้ไหมครับ ผมว่าของที่พี่มีมันต้องสุดยอดมากแน่ๆเลย" ทอปเอ่ย ทันใดนั้นอาร์ตก็นึกบางอย่างขึ้นได้
"นี่ทอป ถ้าพี่เปิดร้านขายของพวกนี้ เอ็งจะมาเป็นลูกค้าไหม" อาร์ตเอ่ย เขาต้องการทำอาชีพที่อยู่ใกล้ลูกสาว การเปิดร้านขายของนับว่าเป็นตัวเลือกที่ดี เขาไม่จำเป็นต้องมีลูกค้าเยอะ เมื่อทอปได้ยินก็ยิ้มยินดีทันที
"พี่จะเปิดร้านจริงเหรอ ผมจะเป็นลูกค้าวีวีไอพีของร้านเลย" ทอปเอ่ย อาร์ตยิ้ม
"พรุ่งนี้ให้ไปที่xxx นี่เบอร์ติดต่อพี่ ถ้าน้องไปอุดหนุนเดี๋ยวพี่เเถมของให้" อาร์ตเอ่ยแล้วให้ที่อยู่พร้อมเบอร์ติดต่อกับทอป ฝ่ายทอปนั้นใจร้อนอยากไปเสียเดี๋ยวนี้แต่อาร์ตห้ามไว้ เขาจึงยอมจากไปโดยดี
…..
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 5
Comments