เล่ห์รักมัดใจคุณสามี ฟรีก่อนเป็นebook

เล่ห์รักมัดใจคุณสามี ฟรีก่อนเป็นebook

ตอนที่ 1 เทพบุตรและจุดเริ่มต้นของเรา

ตอนที่1

เมืองนาฟรีย์เมืองเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่เป็นเมืองที่มีเงินสะพัดมากที่สุดเมืองหนึ่งของโลก จึงทำให้มีบริษัทยักษ์ใหญ่มากมายตั้งรกรากประกอบกิจการภายในเมืองอันรุ่งโรจน์แห่งนี้พาให้มีตึกสูงเฉียดฟ้าขึ้นอยู่มากมายราวกับดอกเห็ด ด้วยความเจริญนี้จึงทำให้เมืองนาฟรีย์เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ณ ภัตราคารที่ตั้งอยู่ใกล้ทะเลทางตอนใต้ของเมือง

ภายในภัตราคารถูกตกแต่งอย่างหรูหรามีระดับ การตกแต่งภายในระดับไฮคลาสเช่นนี้เป็นการแสดงถึงภาพลักษณ์อันมั่งคั่งของลูกค้าผู้ที่เข้ามาใช้บริการได้เป็นอย่างดี

วันนี้เป็นดังเช่นทุกวันที่เต็มไปด้วยเหล่าลูกค้ากระเป๋าหนัก โต๊ะทุกโต๊ะถูกจองเต็มทั้งหมดตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดิน เนื่องจากบรรดาเศรษฐีชื่นชอบที่จะมาพบปะสังสรรค์กันที่นี้ แต่ทว่าบรรยากาศในวันนี้กลับแตกต่างไปจากทุกวันอยู่เล็กน้อยเนื่องจากทุกสายตาต่างลอบมองไปยังชายหนุ่มผู้หนึ่งที่จับจองโต๊ะกลมขนาดสองที่นั่งข้างหน้าต่างที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ริมหาดอันสวยงาม

เพียงมองใบหน้าแวบเดียวใครๆในเมืองนาฟรีย์ที่แสนกว้างใหญ่แห่งนี้ต่างก็รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของชายหนุ่มคนนี้ 

ชายหนุ่มผู้นี้มีนามว่าเมคริล เอริดอฟ 

เมคริล เอริดอฟ ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลเอริดอฟ หากจะมองเพียงรูปลักษณ์ภายนอก เมคริลเป็นชายหนุ่มที่มีหน้าตาหล่อเหลาอ่อนโยนพาให้ผู้มองต่างรู้สึกถึงสายลมอันอบอุ่นที่พาดผ่านในยามเช้าของวันที่มีอากาศแจ่มใสพาให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ แต่กระนั้นเขาก็ไม่ใช่บุคคลที่ใครๆสามารถอาจเอื้อมไปตีสนิท เป็นเพราะตระกูลเอริดอฟเป็นตระกูลเก่าแก่ พวกเขาร่ำรวยระดับสามารถซื้อประเทศนี้ได้สบายๆ ตึกระฟ้ามากมายในเมืองนี้ส่วนมากเป็นของตระกูลเอริดอฟทั้งสิ้น อันเป็นสิ่งยืนยันว่าเอริดอฟมีธุรกิจมากมายจนตระกูลอื่นๆต่างพากันอิจฉาดังนั้นตระกูลเอริดอฟจึงเปรียบดั่งราชาของเมืองที่แสนจะอู้ฟู่แห่งนี้ 

เรื่องเหล่านั้นเป็นสิ่งที่คนภายนอกมองมายังตระกูลเอริดอฟ พวกเขาไม่รู้ว่าตระกูลเอริดอฟมีวิธีสั่งสอนทายาทกันอย่างไร ทว่าในตอนนี้ผลงานชิ้นเอกของประธานคนก่อนได้ประจักษ์แก่สายตาทุกคน นั่นก็คือทายาทเพียงคนเดียวคนนี้สามารถปกครองอาณาจักรของเขาได้อย่างมั่นคงตั้งแต่มีวัยเพียงยี่สิบห้าปีเท่านั้น

การที่เขาปรากฏตัวอยู่ที่แห่งนี้ย่อมต้องดึงดูดสายตาทุกคู่เป็นธรรมดา โดยปกติแล้วเมคริลไม่เคยมาใช้บริการภัตราคารที่โดยทั่วไปมักจะให้บริการแก่ลูกค้าระดับเศรษฐีป้ายแดงเลยสักครั้ง 

ในวินาทีต่อมาสิ่งที่พบได้อย่างยากยิ่งกลับเป็นเสียงของรองเท้าสุดหรูที่ดังกึกก้องมาจากประตูทางเข้า ร่างของชายหนุ่มผมดำรูปงามที่สามารถสะกดใจของทุกคนมุ่งตรงเข้ามาภายในร้าน ในยามแสงตะวันลับขอบฟ้าเป็นสีเหลืองอมส้มเรืองรองตกกระทบมายังร่างของเขาจากทางด้านหลังทำให้เกิดเป็นภาพพร่ามัวชั่วขณะราวกับเวลาหยุดหมุน ภาพเบื้องหน้านี้สามารถทำให้ชายหนุ่มเปล่งประกายราวกับเทวทูตที่ร่วงลงมาจากสรวงสวรรค์ทำให้ไม่มีใครจะสามารถถอนสายตากลับไปได้ 

ชายหนุ่มรูปงามผู้ที่สามารถสะกดสายตาทุกคู่ได้อย่างง่ายดายสาวเท้าตรงไปยังโต๊ะที่ เมคริล เอริดอฟ นั่งอยู่เขาหยุดอยู่ตรงนั้นจากนั้นก็นั่งลงตรงข้ามกับอีกฝ่าย

หากตระกูลเอริดอฟเป็นราชันตระกูลโรสวินด์ก็มีฐานะไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะชื่อเสียง ความมั่งคั่ง และประวัติอันเก่าแก่ พวกเขามีสิ่งเหล่านี้เท่าเทียมกัน ทั้งสองตระกูลต่างคานอำนาจซึ่งกันและกันมาเป็นเวลายาวนาน พวกเขาไม่ใช่มิตรแต่ก็ไม่ใช่ศัตรูของกันและกัน จากการแข่งขันอันยาวนานในที่สุดสองตระกูลก็เห็นตรงกันโดยการตัดสินใจทำข้อตกลงแบ่งสัดส่วนตลาดในประเทศให้กันอย่างเท่าเทียมเพื่อรักษาสันติภาพและปลอบประโลมผู้ประกอบการรายอื่นที่ต่างสะบักสะบอมเอาชีวิตไม่รอดจากการห่ำหันกันผ่านทางสงครามในภาคธุรกิจ

เซเรส โรสวินด์ ส่งยิ้มสะกดใจไปให้อีกฝ่าย 

“คุณดูดีกว่าในรูปนะครับ” ตอนเห็นรูปถ่ายของอีกฝ่ายในคราแรกเขาเพียงแค่มองผ่านๆเท่านั้นอีกทั้งช่างภาพที่ถ่ายรูปของอีกฝ่ายมาก็ช่างไม่เอาใจใส่ทำให้รูปของเมคริลค่อนข้างจะธรรมดา ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว เมคริล เอริดอฟ เป็นชายผู้หล่อเหลาเอาการคนหนึ่ง

เมคริลในยามนี้บื้อใบ้เขาจำได้ว่าเคยเห็นเซเรซอยู่สองครั้งทว่าทั้งสองครั้งเขาเพียงเคยเห็นจากที่ไกลๆเท่านั้นทำให้เขาไม่สามารถเห็นหน้าอีกฝ่ายอย่างชัดเจน เขาได้ยินจากคนรอบข้างว่า เซเรซ โรสวินด์ มีใบหน้าที่สามารถล่อลวงให้ผู้คนหลงไหลพอที่จะยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเขาได้โดยไม่คิดชีวิต การกล่าวอ้างเช่นนี้แต่ก่อนเขาคิดว่าเป็นเพียงแค่การการอ้างเกินจริงแต่เมื่อเห็นด้วยตาแล้วชายหนุ่มได้แต่ยอมรับมันโดยดุษฎี

ในรูปถ่ายก็ว่าหล่อสะกดกระชากใจแล้ว ได้มาเห็นใกล้ๆแบบนี้เขายอมรับเลยว่า ต่อให้ต้องตายก็ต้องยอมเพื่อได้เห็นใบหน้าประดับรอยยิ้มอันงดงามนี้

วินาทีนี้ดูเหมือนเมคริลจะตกบ่วงคนงามเข้าเสียแล้ว

“ฮืม? ผมจำได้ว่าคุณไม่ได้เป็นใบ้นะ” เซเรซเลิกคิ้วคราหนึ่งเมื่อพบว่าชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาอันอ่อนโยนนั้นไม่คิดจะเอื่อนเอ่ยสิ่งใดเลย

คงไม่ใช่ว่าจะตะลึงกับรูปลักษณ์ของเขาหรอกนะ

“ฮะ เอิ่ม ผมตกใจนิดหน่อยน่ะ” เมคริลเอ่ยอย่างกระดากอาย แม้แต่ตาก็ไม่กล้าสบอีกฝ่ายเสียแล้ว แต่กระนั้นเขายังคงรักษาภาพลักษณ์อันสุขุมเอาไว้โดยไม่ถอนสายตาไปจากใบหน้าอันงดงามเบื้องหน้านี้

“แหม ผมนึกว่าคุณจะโกรธผมเสียอีกที่มาสาย” เซเรซจงใจเอ่ยอย่างแผ่วเบาเพื่อให้อีกฝ่ายทราบว่าเขารู้สึกผิดมากเพียงใด

แต่สำหรับเมคริลกลับมองว่า หากการรอคอยอันยาวนี้ได้ผลลัพธ์มาซึ่งการได้พบผู้ที่งดงามราวเทวทูตเช่นนี้การรอคอยของเขาก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว เมคริลไม่รู้สึกหงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้ตอบสิ่งใดกลับไป

“คุณสั่งอะไรหรือยังครับ” เมื่ออีกฝ่ายมีทีท่าว่าจะไม่เอาเรื่องเขาเซเรซจึงเอียงคอถามอีกฝ่ายด้วยท่าทีน่าหลงไหลพาให้ผู้พบเห็นแทบจะหยุดหายใจกับการกระทำที่ไม่คล้ายกับบ่วงอันล้อลวงนี้

“ผมรอคุณมาแล้วสั่งพร้อมกันน่ะ” เมคริลยอมแพ้เขากระแอมหนึ่งทีก่อนที่จะหยิบรายการอาหารมาวางไว้เบื้องหน้าแล้วให้ความสนใจกับมัน 

เซเรซเลิกคิ้วคล้ายกับอยากจะล้อลวงอีกฝ่ายต่อเสียหน่อยแต่ในที่สุดเขาก็เลือกที่จะก่อกวนอีกฝ่ายเพียงเท่านี้ เอาไว้ในอนาคตเขาค่อยก่อกวนอีกฝ่ายต่อไปเช่นนี้ก็ไม่สาย เมื่อนึกได้ดังนั้นชายหนุ่มจึงส่งสัญญาณเรียกบริกรมารับออเดอร์

หลังจากสั่งอาหารเสร็จ เซเรซก็หยิบไวน์ที่พึ่งถูกเสิร์ฟขึ้นมาจิบ ท่วงท่าของเขาทำให้คนที่ลอบมองต่างหลงไหล บางคนแทบหยุดหายใจเสียตรงนั้น

เซเรซ โรสวินด์มีความสามารถพิเศษที่ใครต่างอิจฉานั่นก็คือรูปลักษณ์อันหล่อเหลางดงามที่สมบูรณ์แบบแม้ว่าในยามนี้ผู้ที่นั่งร่วมโต๊ะของเขาจะเป็นเมคริล เอริดอฟชายผู้เปี่ยมไปด้วยบารมีอันรุ่งโรจน์ก็ยังคงไม่ลดความโดดเด่นของเขาลงแต่อย่างใด

กลับกันกลับทำให้รู้สึกถึงความสมดุลบางอย่างระหว่างพวกเขา

“ผมดีใจนะที่ได้พบกับคุณในวันนี้” เซเรซส่งยิ้มให้ชายหนุ่มเบื้องหน้า รอยยิ้มอันตราตรึงนี้สามารถสะกดให้เมคริลลืมหายใจไปชั่วขณะ

“ครับ ผมก็เหมือนกัน เอิ่ม เซเรซผมเรียกคุณแบบนี้ได้ใช่ไหม?” ในครานี้เขาไม่รู้จะรับมืออีกฝ่ายอย่างไรจึงจะไม่ทำให้ตนเองเสียเปรียบมากเกิน คุณชายรองตระกูลโรสวินด์ผู้นี้ช่างมีรูปลักษณ์ที่เป็นภัยต่อเขาเสียจริง

“ครับ เมคริล” เสียงของเขาทุ่มลงเล็กน้อยระคนแหบพร่าชวนให้ผู้ฟังถูกล่อลวงอย่างไม่รู้ตัว รอยยิ้มนั้นของเขายั่วยวนจนเมคริลแทบเป็นบ้า แต่กระนั้นเขาก็ต้องตั้งสติ เมคริลถอนสายตากลับจากอีกฝ่ายแล้วเสตาไปยังรูปปั้นนางฟ้าที่ติดอยู่ข้างฝาผนังแทนเพื่อรวบรวมสติที่กระเจิดกระเจิงจากความงามที่ยากจะปฏิเสธได้ของอีกฝ่าย 

เมื่อใจของเขาสงบลงในสุดชายหนุ่มจึงหันมาสบสายตากับอีกฝ่าย

“ผมมีคำถามที่อยากจะถามคุณว่าคุณมีความคิดอย่างไรกับการแต่งงานเหรอครับ?” คำถามนี้แม้จะดูไม่ให้เกียรติคู่ดูตัวไปบ้างแต่เมคริลก็เลือกที่จะมองข้ามความเหมาะสมนั้น เขาอยากจะทราบว่าชายหนุ่มผู้มีใบหน้าหล่อเหลาล่อลวงจิตใจผู้คนผู้นี้มองการแต่งงานอย่างไร

เซเรซนิ่งไปเล็กน้อยเขาไม่นึกไม่ฝันว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยโพล่งออกมาเช่นนี้ ชายคนนี้คงคิดจะหยั่งเชิงเขาสินะ

“สำหรับผมการแต่งงานคือการที่คนสองคนได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข” แต่หากไม่มีความสุขเขาก็จะสร้างความสุขเหล่านั้นด้วยมือของเขาเอง ชายหนุ่มเก็บงำความมุ่งมั่นนี้ไว้ในใจได้อย่างแนบเนียน

เมคริลถอนหายใจทีหนึ่ง “ใช่ครับ ทุกคนต่างก็อยากแต่งงานอย่างมีความสุขแต่สำหรับการแต่งงานของผมความมั่นคงเป็นสิ่งสำคัญมากยิ่งกว่า” เมคริลกล่าวกับเขาอย่างจริงจัง โรสวินด์เป็นตระกูลที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตระกูลเอริดอฟ เรื่องความมั่นคงนั้นไม่มีตระกูลไหนจะเทียบเท่ากับตระกูลของพวกเขาได้อีกแล้ว

เซเรซทราบเรื่องนี้ดีใบหน้าเขายังคงแต้มรอยยิ้มให้อีกฝ่าย คำตอบนี้ไม่ใช่ว่ามีอยู่ก่อนแล้วกระมังไม่ว่าเขาจะตอบเช่นไร เมคริล เอริดอฟ ก็ยังคงเลือกเขาอยู่ดี

เหตุผลนั้นง่ายมากเพราะเขาคือโรสวินด์

“ฟังคุณพูดแบบนี้ผมนึกว่าเรากำลังหารือกันเรื่องธุรกิจนะครับ” ชายหนุ่มโปรยยิ้มหว่านเสน่ห์อีกทั้งยังใช้น้ำเสียงหยอกเย้าโดยไม่ปิดบัง 

ในเมื่อได้คำตอบแล้วเขาจะยังสนทนากับหัวข้อที่น่าเบื่อนี้ทำไมกัน

“ผมขอโทษที่ทำให้คุณรู้สึกแบบนั้น แต่ผมอยากให้การดูตัวครั้งนี้ชัดเจน ผมคงไม่ได้ทำร้ายความรู้สึกของคุณใช่ไหมเซเรซ” เขารู้ดีว่าการกระทำของเขาเป็นการไม่ให้เกียรติอีกฝ่ายแต่กระนั้นแล้วก่อนที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกันเขาก็ต้องเข้าใจแนวคิดของอีกฝ่ายก่อน

เซเรซหลุบตาลงมองผ้าปูโต๊ะสีขาวพลางแสดงสีหน้าอ่อนใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นของอีกฝ่าย ชายหนุ่มรูปงามจงใจถอนหายใจยาวๆออกมาหนึ่งที

“ผมรู้สึกดีเสียด้วยซ้ำที่คุณพูดเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา คุณไม่ต้องกังวลหรอกครับว่าคุณจะทำร้ายความรู้สึกของผม อันที่จริงผมค่อนข้างชอบคนจริงใจแบบคุณ” เขาเงยหน้าขึ้นมาสบสายตาอีกฝ่ายราวกับตนเองไม่ได้ติดใจอันกับการกระทำอันตรงไปตรงมาเมื่อครู่ของอีกฝ่าย การที่เมคริลเลือกที่จะเอ่ยปากพูดกับเขาตรงๆก็ถือเป็นยเรื่องดี

เขาจะได้วางแผนต่อจากนี้ว่าควรจะเดินไปข้างหน้าอย่างไร

“อาหารมาแล้ว ผมว่าเราพักเรื่องนี้แล้วคุยเรื่องอื่นกันไปทานอาหารกันไปดีไหมครับ” เซเรซส่งสายตาไปยังบริกรมุ่งหน้านำอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะของพวกเขา

เมคริลทำได้เพียงพยักหน้าหนึ่งทีแล้วหยิบไวน์ขึ้นมาจิบในขณะที่รอให้บริกรจัดวางอาหารบนโต๊ะของพวกเขาด้วยท่าทางอันสุขุม

หลังจากนั้นพวกเขาพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องการวางกำหนดการณ์ต่างๆอีกเล็กน้อยแล้วจึงแยกย้ายกันไปเช่นนั้น

ห้าเดือนต่อมา

งานมงคลสมรสอันยิ่งใหญ่อลังการในประวัติศาสตร์ของเมืองนาฟรีย์ถูกจัดขึ้นภายในห้องจัดเลี้ยงชั้นบนสุดของโรงแรมแกรนด์เอ็มเมอรอลที่เป็นโรงแรมที่หรูหราที่สุดในเมือง งานมงคลสมรสอันหรูหราอลังการนี้เป็นงานมงคลของทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลเอริดอฟที่จะผูกดองกับคุณชายรองตระกูลโรสวินด์

ห้องบอลลูมที่ถูกจัดขนาดใหญ่สีนวลตาที่ติดหน้าต่างทุกทิศทางทำให้ผู้มาเยือนนั้นสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศที่อยู่เบื้องล่างได้อย่างถนัดตานั้นพาในเกิดความรู้สึกราวกับว่าพวกเขาที่อยู่บนนี้ได้อยู่บนจุดสูงสุดของความรุ่งเรืองแล้ว

ภายในบอลรูมที่ถูกตกแต่งหรูหราอย่างมีระดับนั้นแน่นขนัดไปด้วยแขกเหรื่อคนดัง ชนชั้นสูงและคนมีหน้ามีตาในสังคมในชุดเป็นทางการอันสุภาพเหล่านั้นต่างมาร่วมฉลองให้คนทั้งสอง

บนแท่นประรำพิธีนั้นมีชายหนุ่มทั้งสองในชุดเจ้าบ่าวสีดำอันเรียบหรูกำลังกล่าวคำปฏิญาณต่อหน้าบาทหลวงผู้เป็นนำประกอบพิธีสมรสในครานี้

“ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านเรามารวมตัวกันในวันอันวิเศษนี้เพื่อเป็นสักขีพยานการให้คำสาบานรักของเมคริลเอริดอฟและเซเรซโรสวินด์“ เสียงเปียโนจากนักบรรเลงชื่อดังพลันเงียบเสียงลงพร้อมๆกับเสียงพูดคุยจอแจกันของแขกผู้มาเป็นสักขีพยาน มีเพียงเสียงอันเนิบนาบแต่ก้องกังวาลของบาทหลวงสูงวัยที่ยืนอยู่บนประรำพิธี

"เมคริล คุณจะรับเซเรซเป็นภรรยาของคุณ คุณสาบานว่าจะให้เกียรติเขา อยู่เคียงข้างเขาไม่ว่าจะเป็นยามสุขหรือยามทุกข์และจะรักเขาไปชั่วชีวิตของคุณไหม" สิ้นเสียงอันกังวาลของผู้บาทหลวงผู้ดำเนินพิธีนั้นเมคริลค่อยๆนำแหวนมูนริงค์มูลค่ามหาศาลขึ้นมาจากแท่นแล้วสวมลงบนนิ้วนางข้างซ้ายอันงดงามของชายหนุ่มที่จากวินานี้ต่อไปจะกลายเป็นคู่ชีวิตที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าร่วมกันกับเขา

"เซเรซ ผมสาบานว่าจะให้เกียรติคุณ อยู่เคียงข้างคุณทั้งในยามสุขและยามทุกข์และจะรักคุณไปตลอดชีวิตในฐานะภรรยาของผม” เขาเอ่ยคำสาบานเหล่านั้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนที่จะส่งยิ้มให้อีกฝ่ายเล็กน้อยเพื่อเป็นการให้เกียรติเจ้าบ่าวผู้งดงามของเขา

"เซเรซ คุณจะรับเมคริลเป็นสามีของคุณ คุณสัญญาว่าจะให้เกียรติเขา อยู่เคียงข้างเขาไม่ว่าจะเป็นยามสุขหรือยามทุกข์ และจะรักเขาไปชั่วชีวิตของคุณด้วยไหม" เซเรซหยิบแหวนขึ้นมาจากแท่นทองคำนั้นด้วยท่วงท่าไม่ช้าไม่เร็วแต่กลับตราตรึงใจผู้คน เขาสวมแหวนวงนั้นลงจนสุดนิ้วนางข้างซ้ายแล้วดันมันไปจนสุดโคนนิ้วของอีกฝ่ายเสียจนแน่น เมื่อพบว่าแหวนอันคับแน่นวงนี้ติดตรึงอยู่บนนิ้วของอีกฝ่ายไม่มีวันที่จะหลุดไปไหนได้แน่นอนแล้วเขาจึงเงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าของชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้า

…จากนี้ต่อไปผู้ชายคนนี้จะเป็นสามีของเขา

"เมคริล ผมสาบานว่าจะให้เกียรติคุณ อยู่เคียงข้างคุณทั้งในยามสุขและยามทุกข์และจะรักคุณไปตลอดชีวิตในฐานะสามีของผม" ริมฝีปากสีแดงสดของเขาเอ่ยคำสาบานนั้นได้อย่างลื่นไหลไม่มีสะดุดแม้แต่คำเดียว ทว่าในถ้อยคำเหล่านั้นไม่อาจทราบได้ว่าในใจของเขาให้น้ำหนักกับคำสัตย์สาบานนี้หรือไม่ 

คำสาบานเหล่านี้จะศักดิ์สิทธิมากเพียงใดนั้นขึ้นอยู่ความจริงใจของชายหนุ่มทั้งสองที่มีให้กัน หากทั้งคู่ไม่มีความจริงใจให้กันคำสาบานเหล่านี้ก็เป็นได้เพียงคำสัญญาอันไร้ค่าที่พวกเขาเอ่ยขึ้นมาลอยๆเพียงเท่านั้น

"จากนี้ต่อไปคุณทั้งสองเป็นสามีภรรยากันโดยสมบูรณ์แล้วภายใต้คำสาบานอันศักดิ์สิทธิ์นี้ เจ้าบ่าวจูบภรรยาของคุณได้" สิ้นคำกล่าวของผู้ดำเนินพิธีเมคริลๆค่อยๆเคลื่อนกายน้อยๆชายหนุ่มโน้มหน้าลงไประดับเดียวกับสายตาของอีกฝ่ายเพื่อสบตากับดวงตาคู่งามคู่นั้น เขากลั้นหายใจเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะเคลื่อนใบหน้าลงไปมอบจุมพิตให้เซเรซ

ชายหนุ่มมอบจุมพิตอันแผ่วเบาราวกับแมลงปอที่บินมาแตะผิวน้ำลงบนริมฝีปากสีแดงเรื่อนั้นก่อนที่จะผละออกไปอย่างรวดเร็ว

การมอบจุมพิตอันรวดเร็วเมื่อครู่ที่เหมือนกับตั้งใจใช้ริมฝีปากของตนเองมาแตะริมฝีปากของเขาเช่นนี้ทำให้เซเรซไม่อาจสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากริมฝีปากของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ 

ทันทีที่ชายหนุ่มทั้งสองจูบสาบานกันนั้นเสียงโห่ร้องและปรบมือให้กับพวกเขาดังก้องไปทั่วทั้งห้องบอลรูม 

หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการแลกเปลี่ยนคำสาบานชายหนุ่มสองจึงย้ายตำแหน่งมายังเค้กวิวาห์สีขาวขนาดใหญ่ที่ถูกประดับด้วยกุหลาบสีครีมนวลตา เซเรซหยิบมีดที่ประดับโบสีทองขึ้นมาโดยมีเมคริลประคองฝ่ามือของเขาอีกทีก่อนที่จะค่อยๆลงน้ำหนักตัดเค้กชิ้นโตนั้น

หากมองจากภายนอกแล้วท่วงท่าตัดเค้กวิวาห์ของพวกเขาคล้ายไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ทว่าในความเป็นจริงแล้วเซเรซรับรู้ว่าอีกฝ่ายเพียงแค่แตะนิ้วมือเขาเบาๆไม่ได้กุมมือตนเหมือนดังที่คนอื่นเข้าใจ

ชายหนุ่มหรี่ตาเล็กน้อยก่อนที่จะดันมือตัวเองขึ้นไปประชิดกับอุ้งมืออันอบอุ่นของอีกฝ่าย

"ขอโทษทีพอดีผมออกแรงมากไปหน่อย" ชายหนุ่มส่งยิ้มอันเก้อเขินพร้อมทั้งส่งสายตาไร้เดียงสาให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจริงๆ

ในคราแรกเมคริลตกใจไม่น้อยที่อยู่ๆหลังมือของอีกฝ่ายเคลื่อนมาสัมผัสกับฝ่ามือของเขา ในความเป็นจริงแล้วเมคริลไม่นึกรังเกียจเซเรซแต่อย่างใด เขาเพียงแค่ไม่อยากเอาเปรียบเทพบุตรรูปงามเพียงเท่านั้น แต่เมื่อมองจากเค้กก้อนใหญ่ที่ถูกทาครีมไว้จนหน้าเกินกว่าที่จะลงน้ำหนักมีดเพียงคนเดียวได้นั้นชายหนุ่มจึงไม่อาจทำตามความตั้งใจเดิมที่ว่าจะไม่ล่วงเกินคนรูปงามได้

"คุณกุมมีดเอาไว้เดี๋ยวผมจะออกแรงเอง" ไม่ว่าเปล่าเขาแรงดันมีดผ่านฝ่ามืออันงดงามของเซเรซลงบนเค้กวิวาห์ก้อนใหญ่อย่างรวดเร็ว

พิธีตัดเค้กจึงสิ้นสุดเช่นนั้นท่ามกลางเสียงอวยพรของทุกคน เซเรซเหลือบมองฝ่ามือที่ถูกอีกฝ่ายกุมอยู่นั้นด้วยดวงตาอันวาววับ

คิดจะหนีเขาก็ต้องดูว่าจะหนีเขาไปได้กี่น้ำ

เลือกตอน
เลือกตอน

อัพเดทถึงตอนที่ 1

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!