บทที่ 4 โจวอวี้เจิน

ไม่อยากมาเลย ไม่อยากมาเลย ไม่อยากมาเลย

น่าเบื่อ น่าเบื่อ น่าเบื่อ

เจียวจิ้นก็เอาแต่แง่งอนขังตัวเองในตุ๊กตาไม้เขาเลยไม่ได้พกมาด้วย แม้พูดน้อยหรือไม่พูดเลยซ่างกวนฮวาเหลียงก็ดูออกว่าเจียวจิ้นเป็นอะไร แต่แล้วอย่างไรเขาไม่จำเป็นต้องสนใจเสียหน่อย

"เจ้ารอฝ่าบาทไปนะ อาจารย์จะออกไปยืดเส้นยืดสายสักประเดี๋ยว" หมิงกวงชิงที่นั่งรอราชาเมืองมนุษย์อย่างใจจดใจจ่อยังไม่ทันอ้าปากเจ้าตัวก็วิ่งออกไปจากศาลาริมน้ำไร้การสำรวม

ประมุขน้อยแทบร้องไห้ตัวเองยังไม่สร่างจากหอคณิกาก็ถูกเสนาบดีรบเร้าให้เดินทางมายังวังหลวงเป็นเพื่อนหมิงกวงชิงด้วยเหตุผลที่ว่าในวังนั้นคือสมรภูมิรบขนาดย่อม เกรงกลัวลูกชายจะเป็นอันตราย ท่านเสนาบดีคงลืมไปแล้วกระมังว่าลูกชายท่านเป็นลูกพี่ลูกน้องกับใคร ผู้ใดจะกล้าเอาตัวเองกระโดดลงกองไฟ

ฮวาเหลียงเดินเลียบมายังส่วนท้ายของพระราชวัง ทางเส้นนี้ดูเงียบสงบผิดวิสัยไม่มีนางในหรือขันทีแม้แต่ทหารยามเฝ้าสักคนเดียว เห็นท่าไม่ดีประมุขน้อยหันหลังเตรียมกลับทางเดิม ใช่ว่ากลัวแต่การทำอะไรบุ่มบ่ามในวังหลวงคือการพาตัวเองเดือดร้อนโดยใช่เหตุ เขายังต้องอาศัยเมืองมนุษย์นี่อยู่อีกนานจะก่อเรื่องไม่ได้ 

พยายามไม่ยุ่งเกี่ยวสิ่งใดให้มากที่สุด

"หือ?" สองเท้าหยุดชะงักเงยหน้ามองรอบ ๆ กำแพงสูง ยินเสียงกระเบื้องหลังคาดังเป็นแนวยาวทว่าก็ไม่มีสิ่งใดผิดสังเกต สิ่งที่ไม่ผิดสังเกตคือผิดสังเกตในสายตาซ่างกวนฮวาเหลียง กลิ่นบุปผาคล้ายกลิ่นในหอโคมแดงเมื่อคืนลอยตามลมแตะจมูกเขาให้คิ้วขมวด ฝีเท้าสองคู่พลันย่ำเข้าใกล้ ประมุขน้อยเสาะหาที่หลบหลีกอย่างรวดเร็ว

"เจ้าไปบอกให้นางกำนัลเตรียมชาที่ได้มาจากพ่อค้าตะวันตกไว้รอเจิ้นที่สวน เจิ้นจะหาของแถวนี้ก่อนแล้วจักตามไป " สุรเสียงทรงอำนาจดังแว่ว ปรากฏร่างชายหนุ่มวัยประมาณสิบแปดหนาวสวมอาภรณ์สีทองอร่ามปักลายมังกร โจวอวี้เจิน เบื้องหลังเป็นขันทีอาวุโสที่ดูท่าจะอยู่ที่นี่มานาน

"ให้พวกข้าหลวงหาให้ดีกว่านะพะย่ะค่ะ พระองค์ไม่เห็นต้องลำบากเช่นนี้เลย"

"แหวนของแม่เจิ้น เจิ้นทำหล่นหายก็ละอายใจมากแล้วจะให้ผู้อื่นมารับผิดชอบแทนได้อย่างไร เต๋อกงกงไปทำตามที่เจิ้นบอกเถิดประเดี๋ยวจะมืดค่ำ" ขันทีอาวุโสโค้งคำนับพร้อมเดินจากไปด้วยความลำบากใจ

บุรุษสูงศักดิ์ก้ม ๆ เงย ๆ ตามพื้นหาสิ่งที่หล่นหายตามคำกล่าว ใบหน้ายิ้มแย้มแปรเปลี่ยนเป็นอมทุกข์เมื่อไร้วี่แววของแหวนสมบัติชิ้นสุดท้ายจากมารดา ยิ่งพินิจซ้ำก็ยิ่งคล้ายคลึงหมิงกวงชิง น่าเอ็นดูเหมือนกัน

แกรก!

ซ่างกวนฮวาเหลียงหันไปยังต้นตอเสียง ร่างหญิงสาวชุดดำปิดบังตัวตนเล็งธนูเตรียมพุ่งใส่คนที่เป็นถึงผู้ปกครองใต้หล้าแต่กลับไม่รู้จักระวังตัว นางยังไม่ลงมือเพียงแค่เล็งรอจังหวะเหมาะสมเท่านั้นขณะที่เจ้าทึ่มยังเดินวนหาแหวนมารดาไม่สนโลกอยู่ เขาคิดวิตกว่าจะออกตัวขัดขวางดีหรือไม่ หรือปล่อยให้เป็นไปตามชะตาชีวิตเจ้ามนุษย์นี่

ประมุขน้อยกระชากผมตัวเองพลางเหลือบมองเจ้าทึ่มสลับกับแม่นักฆ่าแสนสวยเป็นระยะ เขาไม่ชอบเห็นใครตายต่อหน้าต่อตาหรอกนะ แต่ก็ไม่ใช่คนชอบทำบุญโปรดสัตว์ การตัดสินใจโดยไม่มีราชครูลู่หรงคอยให้เหตุผลประกอบนั้นยากจริง ๆ

นางปล่อยสายธนูแล้ว!!

"อึก! บ้าเอ๊ย ข้าไม่ชอบกลิ่นเลือด!" พลังก็มีทำไมไม่รู้จักใช้ เขาก่นด่าตัวเองที่โง่เขลาอยู่ในใจ

"ท่านผู้นี้เป็นอันใดหรือไม่!?" ซ่างกวนฮวาเหลียงพุ่งตัวขวางลูกธนูที่แหวกอากาศหมายปักกลางหลังของมังกรสวรรค์จนมันปักที่ไหล่ซ้ายของตนแทน ทั้งน้ำเสียงตกใจหวาดหวั่นจากอีกคนทำให้ประมุขน้อยรู้สึกขนลุก

"อั่ก" หญิงสาวใต้หน้ากากดวงตานางตื่นตระหนกก่อนใช้เท้าถีบหลังคาดันตัวเองเพื่อเหินหลบหนีทว่าก็ไม่ทันเมื่อบุรุษข้างเขาควักมีดสั้นในแขนเสื้อเขวี้ยงใส่กลางหัวใจนาง สาวน้อยกลิ่นบุปผชาติร่วงลงมาแทบเท้าเจ้าของอาภรณ์สีทอง นางกระอักโลหิตกู่ร้องอย่างไร้เสียง

ฉึก!

โอรสสวรรค์ย่างกรายแล้วย่อตัวมองดูผู้ร้ายฝีมืออ่อนด้อย มือที่ไม่เคยผ่านการทำงานหนักจับด้ามมีดสั้นคล้ายจะดึงออก ตอนแรกฮวาเหลียงคิดเช่นนั้น แต่เปล่าเลย

มีดถูกกดให้แทงลึกมากกว่าเก่า

โลหิตกระเซ็นเปื้อนหางคิ้วประมุขน้อย คราสบตาสีครามหยั่งลึกคู่นั้นราวกับมีมรสุมไร้รูปก่อตัวภายใต้ความสงบนิ่ง รอยยิ้มงดงามดั่งแสงตะวันส่งมาปลอบประโลมคนขวัญหายทว่าบิดเบี้ยวผิดรูปหากมองให้ดี ประกายสายหนึ่งแล่นแวบเข้ามาในหัว ผู้ที่จะครอบครองใต้หล้าไว้มั่นกำมือได้นั้นจักต้องมิใช่คนที่มีเมตตาพร่ำเพรื่อ

มือเรียวสั่นเทาเอื้อมกระชากผ้าคลุมนักฆ่าที่สิ้นลมหายใจขณะดวงตาเบิกโพลง ใบหน้าหวานหมดจดถูกคราบเลือดชะโลมก็หาได้ลบเลือนความทรงจำเมื่อคืนไม่ เยวียนเอ๋อร์ แม่นางน้อยหอคณิกาซูเมิ่งที่เพิ่งพบเจอกันไปไม่กี่ชั่วยาม โลกมนุษย์มันไม่บริสุทธิ์ทั้งพิศวงซับซ้อน รู้หน้ามิรู้ใจ คำเตือนนี้ยังคงมีผลมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ

"ไม่ต้องกลัว เจิ้นจะพาไปหาหมอหลวง"

.

.

.

"ท่านอาจารย์เป็นอย่างไรบ้างขอรับ ศิษย์ตกใจแทบแย่ ศิษย์กลัว" 

ลืมตาชื่นชมเพดานลวดลายประณีตชั่วครู่เดียวเจ้าเด็กน้อยก็โผลมาจับมือ ดวงตายังเผยคราบน้ำตาผ่านการร้องไห้มาไม่นาน ริมฝีปากแห้งผากวาดยิ้มบางเบาลูบหลังมือเล็กไปมา หมิงกวงชิงฟุบหน้าแนบแก้มลงบนมือนั้นอย่างหวงแหน 

'ฝ่าบาทเสด็จ!!'

ลานประตูเปิดต้อนรับร่างบุรุษเจ้าของตรามังกรพร้อมข้าราชบริพารเดินตามหลังเป็นขบวนยาวกว่าที่เจอครั้งแรก ด้านข้างเป็นชายค่อนข้างมีอายุถือกระเป๋าสีน้ำตาลท่าทางคล้ายแพทย์ประจำราชสำนัก หมิงกวงชิงลุกขึ้นวาดแขนคำนับตามพิธีแล้วจึงหลีกทางให้หมอหลวงเข้ามาจับชีพจรตรวจอาการคนเจ็บ

เดิมทีหากเป็นลูกธนูธรรมดาเขาอาจหายเจ็บภายในครึ่งวันแต่นี่มันดันอาบยาพิษด้วยน่ะสิ ร่างมารอย่างเขายังปวดแสบปวดร้อนถ้ามนุษย์โดนคงตายตั้งแต่ผ่าเอาลูกธนูออกกระมัง

"กราบทูลฝ่าบาท ตอนนี้พิษในกายถูกขับออกจนหมดสิ้นแล้วแต่ยังคงต้องเฝ้าดูอาการต่อไปหากดื่มยาตามที่กระหม่อมจัดแจงไว้ให้คาดว่าอีกสามวันก็กลับมาแข็งแรงเช่นเดิม" 

"ขอบใจเจ้ามาก"

"เป็นหน้าที่ของกระหม่อม" หมอหลวงกล่าวก่อนจะถอยกลับไปยืนด้านหลังตำแหน่งเดียวกับขันที

พระเนตรอ่อนโยนเรืองอำนาจชำเลืองมองหนึ่งศิษย์หนึ่งอาจารย์ โจวอวี้เจินพอได้ฟังเรื่องราวซ่างเซียนที่เสนาบดีหมิงเชิญลงจากเขามาช่วยสอนวิชาบุตรชายตนอยู่บ้าง และเขาก็ไม่เชื่อว่าบนโลกจะมีเซียนฝึกตนอยู่จริง ๆ ทว่าครั้งพบเจออาจารย์คนนี้ของเจ้าน้องชายก็คิดว่าบางทีสิ่งที่ไม่เคยเห็นใช่ว่าจะไม่มีจริง

"ท่านอาจารย์พักผ่อนเถิดขอรับ ศิษย์จะเฝ้าท่านเอง" กตัญญูเหลือเกินเขาอยากจะเอ่ยปากชมหากไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย โจวอวี้เจินยืนสง่าสมราศีถัดจากหมิงกวงชิง เทียบกันแล้วแววตาสองพี่น้องคู่นี้เหมือนกันราวฝาแฝดต่างแค่หน้าตาบางส่วนเท่านั้น

"ชิงเอ๋อร์ เจิ้นขอคุยธุระกับอาจารย์ของเจ้าเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่"

"กระหม่อม..."

"อาจารย์ไม่เป็นไร เจ้าไปรอข้างนอกก่อนนะเด็กดี" หมิงกวงชิงเกาะหนึบที่แขนของเขาดูจะไม่ยอมปล่อยให้อยู่กับโจวอวี้เจินตามลำพังแต่ศิษย์ต้องเชื่อฟังอาจารย์ฉันใด หมิงกวงชิงก็ต้องเชื่อฟังฮวาเหลียงฉันนั้น

เด็กหนุ่มเดินคอตกพ้นบานประตูไปพร้อมกับข้าหลวงทั้งหมด มือเย็นเฉียบกำชายผ้าคับแค้นตัวเองที่หากติดตามอาจารย์ไปครานั้นก็คงมิเกิดเรื่อง พลางมองภาพปวดใจคล้อยหลังบานประตูปิดลง

"ท่านเป็นผู้มีพระคุณของเจิ้น หลังจากนี้ท่านต้องการสิ่งใดโปรดบอกกล่าวกับเจิ้นเถิด ไม่มีสิ่งใดบนโลกที่เจิ้นไม่สามารถหามาให้ท่านได้" โจวอวี้เจินหย่อนกายนั่งข้างคนเจ็บ ถกแขนเสื้อทองเหนือข้อแขนก่อนหยิบผ้าชุบน้ำหมาด ๆ จากกะละมังขึ้นมาเช็ดปรางแก้มเนียน ฮวาเหลียงรู้สึกขนลุกบอกไม่ถูก คนคนนี้จะมาไม้ไหน

"ตอนนั้นเจ้ามิได้หาแหวน" เป็นประมุขน้อยเอ่ยปากเข้าเรื่องก่อน

"เจิ้นหาแหวนจริง เพียงแต่บังเอิญเจอนางก็เท่านั้น" หาแหวนบ้าบออะไร มันแขวนอยู่ที่คอมิใช่รึ ตอนเจ้านี่ก้ม ๆ เงย ๆ สร้อยเส้นหนึ่งก็ร่วงออกมาจากคอเสื้อ ยังกล้าปฏิเสธกันหน้าด้าน

"เห็นแก่ที่ท่านช่วยชีวิตเจิ้น เจิ้นจะไม่ปิดบังเรื่องที่ว่าเจิ้นรู้จักนางมาก่อน เยวียนเอ๋อร์เป็นบุตรีของแม่ทัพแคว้นตู้ที่ตายในสนามรบอย่างสมเกียรติ นางเป็นหนึ่งในเชลยของแคว้นเรานางเกลียดชังเคียดแค้นเจิ้นนักแม้ว่าเจิ้นจะให้ทางเลือกระหว่างเป็นนางกำนัลคอยรับใช้วังหลังกับถูกขายให้แม่เล้า คนอย่างนางไม่ยอมรับใช้ราชวงศ์ยอมสิ้นศักดิ์ศรีไปเป็นนางโลมบำเรอชาย เจิ้นรู้ว่าสักวันนางจะย้อนกลับมาฆ่าเจิ้น เจิ้นให้โอกาสนางกลับใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าสุดท้ายนางไม่รับความหวังดี เจิ้นจึงปล่อยนางไว้ไม่ได้อีกแล้ว"

"เรื่องของเจ้าสนุกมาก แผลข้าไม่เจ็บแล้วงั้นข้าขอตัวกลับจวนก่อน ขอบคุณสำหรับยาดี" ต้องรีบออกไป ขืนอยู่ต่อไม่รู้ว่าหวงตี้คนนี้ทำอะไรได้บ้าง

"อย่ากังวลพักอยู่ที่นี่สักพักเถิด เจิ้นจะเรียกชิงเอ๋อร์มาอยู่เป็นเพื่อน" โจวอวี้เจินราวอ่านความคิดออก หรือไม่สีหน้าของเขาก็ชัดเจนเกินไป ฮวาเหลียงเบี่ยงสายตาหลบที่อื่นรออีกคนเดินหันหลังออกไปให้พ้นพร้อมข้าหลวงทั้งหมด

หมิงกวงชิงวิ่งมาแทนที่ เดินผ่านอวี้เจินก็ทักทายกันพอเป็นพิธี ลูกพี่ลูกน้องทำตัวสนิทสนมปานนั้นแต่เจ้าเด็กนี่กลับเหินห่างจะว่ารู้หลักธรรมเนียมก็ไม่ใช่ แท้จริงแล้วความสัมพันธ์ของสองพี่น้องเป็นเช่นไร เขาต้องคอยระวังการกระทำเสียแล้ว

เด็กน้อยคล้ายอยากจะพูดสิ่งใดก็ไม่พูด ท้ายสุดก็ทำเพียงจับมือผู้เป็นอาจารย์แล้วเคลิ้มหลับไป

.

.

.

"ชิงเอ๋อร์ของกระหม่อมยังเด็กนัก เกรงว่าแทนที่จะแบ่งเบาภาระท่านแม่ทัพเซี่ยจะกลายเป็นเพิ่มภาระเสียเปล่า ๆ ฝ่าบาทโปรดพิจารณาด้วยพะย่ะค่ะ" เสนาบดีหมิงเป่าคุกเข่าเบื้องหน้าบุรุษอาภรณ์มังกร

โอรสสวรรค์ทรงมีรับสั่งให้หมิงกวงชิงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนตนถือโอกาสออกไปเรียนรู้วิถีทางทหารกับแม่ทัพเซี่ยห่าวอู๋เพื่อกลับมารับตำแหน่งแทนบิดาได้อย่างภาคภูมิใจ ทว่าดั่งยอดดวงใจของจวนมีหรือที่ผู้ใดจะยอมใต้เท้าหมิงจึงต้องแบกความหวังและแบกคอตัวเองมาคุกเข่าอ้อนวอนหวงตี้ผู้ทรงอำนาจเหนือใครทั้งปวงให้ล้มเลิกความคิดนั้นเสีย

"เสนาบดีหมิง เจิ้นได้เห็นฝีมือของชิงเอ๋อร์แล้วนับว่ามีพรสววรค์ หากสั่งสอนเขาให้ดีวันข้างหน้าจักต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่เหนือใครแน่ ท่านอย่าขัดขวางประสงค์ของสวรรค์เลย"

"พะย่ะค่ะ" ตอบได้เพียงเท่านี้ ขัดราชโองการที่ประกาศออกมาแล้วนับว่ามีความผิดหากร้องขอมากกว่านี้ไม่แน่ว่าหัวคนทั้งตระกูลจะไม่อยู่ที่บ่า

หมิงเป่าโค้งคำนับก่อนจะขอตัวลากลับจวน ในใจร้อนรุ่มด้วยหวงแหนบุตรชายที่เฝ้าประคบประหงมสุดหัวใจ เมื่อแจ้งข่าวกับฮูหยินนางแทบลมจับสาวรับใช้จำต้องวิ่งวุ่นหายาหาพัดมาวีให้คลายวิตก

ไปอยู่กับแม่ทัพเซี่ยห่าวอู๋ผู้ซึ่งมีหน้าที่ดูแลเขตชายแดนตะวันออก ที่นั่นยากแค้นทุรกันดารไม่ต่างจากสนามรบ ผู้คนเข่นฆ่ากันมิสนขื่อสนแปในสายตา บุตรชายของนางก็ตัวแค่นั้นจะไปรู้เอาตัวรอดได้อย่างไร แล้วขนมคาวหวานจะมีกินหรือไม่ หากเจ็บไข้ได้ป่วยใครจะคอยป้อนยาดูแลเช็ดตัวเล่า ทหารป่าเถื่อนจะมารังแกชิงเอ๋อร์ของนางหรือไม่ ฮูหยินหมิงคิดมิตกจริง ๆ

"ลูกจะไปขอรับ" คำตอบหนึ่งประโยคมั่นคงทำเอาบุพการีทั้งสองหงายหลังเอนไปกับเก้าอี้

"ชิงเอ๋อร์ คิดให้ดีก่อนเถิดพ่อกับแม่ไม่ได้บังคับเจ้านะ" เป็นหมิงเป่าเอ่ยกับลูกชาย

"ลูกคิดดีแล้วขอรับ ลูกจะไปช่วยแม่ทัพเซี่ยที่ชายแดนนำความภาคภูมิกลับมายังตระกูลหมิงให้ได้" แววตาแน่วแน่ของหมิงกวงชิงทำให้บิดาและมารดาที่อ่อนแรงนึกเอ็นดู ในเมื่อบุตรชายกตัญญูเพียงนี้มีหรือพวกเขาจะขัดได้

"เฮ้อ ตามใจเจ้าแล้วชิงเอ๋อร์"

หมิงกวงชิงแย้มยิ้มรับ พลันสังเกตเห็นว่ามีใครบางคนยืนหลบอยู่ข้างหลังบานประตูห้องโถงใหญ่ของจวน สายลมเป็นใจพัดเส้นผมสีเงินพริ้วไสวปิดบังไม่มิด ใครที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี

"ท่านอาจารย์..."

.

.

.

ม้าหินอ่อนใต้ต้นเหมยลมโชยดอกชมพูบานสะพรั่งเล่นล้อแสงตะวันราวโอบกอดผู้ที่นั่งเหม่อมองขึ้นไปยังนภากว้าง บุรุษอาภรณ์ดำงดงามมีบุปผาสีชมพูร่วงหล่นรอบกายเป็นดั่งภาพฝันที่ไม่คาดคิดว่าจะมีอยู่จริง ช่างขัดกันทว่าก็ดูกลมกลืนหากลองวาดออกมาบนแผ่นกระดาษ

"ท่านอาจารย์ไม่พอใจศิษย์หรือขอรับ" หมิงกวงชิงค่อย ๆ คุกสองเข่าลงข้างหน้าผู้เป็นอาจารย์เพื่อสำนึกผิดทั้งที่ไม่รู้ว่ากระทำสิ่งใดให้ฮวาเหลียงลำบากใจ เขาเห็นใบหน้าหยกหม่นหมองกว่าทุกวันแววตาเปล่งประกายกลับเป็นมืดคล้ายท้องฟ้าไร้ดารา

"ไยเจ้าไม่ปฏิเสธ" ซ่างกวนฮวาเหลียงหันขวับมาจ้องศิษย์รัก เด็กตัวแค่นี้จะให้ไปลำบากตรากตรำที่ชายแดนเถื่อนได้อย่างไรแลเจ้าตัวดันตกปากรับคำนำพาหายนะมาสู่ตนเองอีก ไม่ใช่สิ หายนะมาสู่ใจเขานี่แหละ หัวใจที่เอ็นดูเด็กน้อยนักหนากำลังห่อเหี่ยวเมื่อรู้ว่ากวงชิงจะไปเผชิญกับอะไร สวรรค์เล่นตลกแล้ว หมิงกวงชิงเป็นว่าที่เทพสงครามก็จริงทว่าตอนนี้เขายังไร้เดียงสานัก การที่เด็กน้อยคนหนึ่งรู้จักการฆ่าฟันพร้อมเติบโตเป็นขุนพลไร้พ่ายมันมิแปลกไปหน่อยหรือ เด็ก ๆ ควรจะได้เล่นสนุกตามวัยสิจึงจะถูกต้อง

"ศิษย์สาบานไม่ว่านานเพียงใดก็จะกลับมาหาท่าน กลับมาดูแลท่านเช่นที่ท่านดูแลศิษย์เหมือนวันวาน"

"เจ้าเด็กทึ่ม อาจารย์มิได้ต้องการให้เจ้ามาดูแลแค่เป็นห่วงก็เท่านั้น ขอเพียงเจ้ากลับมาอย่างปลอดภัยอาจารย์ก็มิหวังสิ่งใดแล้ว" มือเรียวลูบศีรษะเด็กกล้าหาญที่ดื้อรั้นในสายตาเขา หมิงกวงชิงถือโอกาสแนบใบหน้าออดอ้อนลงบนตักของอาจารย์หวังความเห็นใจ

ประมุขน้อยหดหู่ภายใน นี่เขากำลังทำสิ่งใดอยู่ เขามาที่นี่เพื่อตัดหัวเด็กหนุ่มอย่างนั้นหรือ หมิงกวงชิงเป็นเพียงเด็กจิตใจงดงามก็ว่าได้จะไปมีความแค้นอะไรฆ่าล้างเผ่ามารได้เล่า บางทีราชครูลู่หรงอาจจะมองเทพบรรพกาลผิดไป

"นี่เป็นตาข่ายดักฝันจักช่วยปัดเป่าฝันร้ายให้เจ้า อาจารย์ได้มาจากพ่อค้าตะวันตกไม่นึกว่าวันนี้จะยกให้เจ้า" พู่ห้อยกระบี่มีตาข่ายกลม ๆ เล็ก ๆ อยู่ตรงกลาง เขาพกติดตัวมาจากวังมารก่อนเข้าห้องกระจก ฮวาเหลียงหย่อนใส่มือน้อย ๆ ของลูกศิษย์ เด็กหนุ่มก็รับไว้แต่โดยดี อะไรที่อาจารย์ว่าดีหมิงกวงชิงก็ว่าดีหมดนั่นแหละ

"แล้วศิษย์จะกลับมา"

หมิงกวงชิงยังคงคุกเข่า คว้าหลังมือของอาจารย์ผู้เทิดทูนไว้เหนือหัวมาแตะที่หน้าผาก ช่วงเวลาที่ได้เล่นสนุกด้วยกันนั้นแม้จะสั้นทว่าก็ทำให้ชีวิตมีสีสันขึ้นมาก ทั้งยังผูกพันเหลือคณา

"อาจารย์จะรอ"

...-บทที่ 4-...

ฮอต

Comments

Laqueno Sebaña

Laqueno Sebaña

ใจเย็นๆ นะแอด แต่หน้าจริงรอไม่ไหวแล้ว!

2023-11-24

1

ทั้งหมด
เลือกตอน

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!