"ประมุขน้อย ข้ากลับมาแล้ว"
ตุ๊กตาไม้หล่นจากข้างเอวโอบล้อมด้วยกลุ่มควันก่อนจะเผยร่างชายหนุ่มคนสนิทก้าวออกมาเผชิญหน้าประมุขน้อยช้า ๆ เจียวจิ้นกลับมามีเนื้อหนังเช่นเดิมหลังหาทางออกจากตุ๊กตาไม้ไม่เจอ เขาไม่เคยหลับใหลอย่างที่ประมุขน้อยบ่นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกเจียวจิ้นรับรู้ทั้งหมด รับรู้ด้วยว่าจิตใจของซ่างกวนฮวาเหลียงตอนนี้ไม่ได้นึกถึงเผ่ามารแม้แต่น้อย
"เจียวจิ้นเจ้าปล่อยให้ข้าอยู่คนเดียวตั้งหลายเดือน ข้าอยากบีบคอเจ้านัก"
"สุดแล้วแต่ท่านเถิด" เจียวจิ้นคุกเข่าเงยหน้าเผยลำคอให้อีกฝ่ายกำได้ถนัดมือ ถึงบีบแรงเท่าใดเขาก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดเพราะแท้จริงเป็นเพียงหุ่นกระบอกตัวหนึ่ง ต้องขอบคุณประมุขมารที่มอบร่างกายไร้ความรู้สึกนี้ให้ทว่ามีเพียงร่างกายที่ไร้ความรู้สึก เหตุใดนายท่านจึงไม่ยอมมอบจิตใจที่ไร้ความรู้สึกมาให้แทน
ซ่างกวนฮวาเหลียงเดินผ่านเจียวจิ้นไปยังมุมอ่านหนังสือ วันนี้เขาอารมณ์ดีไม่อยากทำโมโหใครให้เสียบรรยากาศ เพราะอะไรหรือ จะเพราะอะไรถ้าไม่ใช่ลูกศิษย์ตัวเล็กของเขาเก่งขึ้นอีกแล้วน่ะสิ คราวนั้นผ่ากลีบดอกไม้คราวนี้หลบหลีกน้ำค้างไม่ให้โดนกระบี่สักหยด สรรหาคำมาเยินยอไม่ไหวแล้ว ประมุขน้อยยิ้มร่าถือหนังสือกลับหัวก็ยังมิรู้ตัวเพียงแค่คิดว่าเขาจะหากิจกรรมอะไรมาทำร่วมกับหมิงกวงชิงอีกจึงจะดี เด็ก ๆ น่ะเบื่อการเรียนที่ซ้ำซากและเขานี่แหละจะมาปฏิวัติวงการของราชครูลู่
เจียวจิ้นยังคงคุกเข่าสองมือบนหน้าขากำแน่น มีเพียงใบหน้าที่เรียบนิ่ง ภายในทรวงร้อนระอุราวภูเขาไฟใกล้ปะทุ ลาวาเดือดดาลในดวงตาไร้ประกาย หากว่าประมุขน้อยทราบเรื่องที่พวกเทพสังหารบิดาของตนจะไม่มีทางที่รอยยิ้มปิติเช่นนี้ประดับอยู่บนใบหน้าได้ ประมุขน้อยไม่มีทางใกล้ชิดเอ็นดูอนาคตเทพสารเลว
ความขุ่นมัวพลันสลายไป
"ไปตลาดกัน" เสียงวางหนังสืออย่างรุนแรงแล้วโพล่งขึ้นมาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นประมุขน้อยที่รั้งแขนเจียวจิ้นให้ลุกตาม
เมืองมนุษย์ทำการค้าขายทุกช่วงเวลา ฮวาเหลียงเริ่มชินกับที่นี่เสียแล้วคนข้างกายเขาก็จำเป็นต้องชินด้วยเหมือนกัน คาดว่าจะได้อาศัยอยู่บนโลกนี้อีกนาน ทว่าตลาดไม่ใช่จุดที่ควรเริ่มต้นหรอกเขาแค่อยากหาของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ตอบแทนความพยายามของลูกศิษย์ตัวน้อย เขาค่อนข้างมั่นใจว่าหมิงกวงชิงชื่นชอบการวาดภาพดังนั้นเขาจึงอยากมอบพวกกระดาษพู่กันให้
"ท่านอาจารย์จะไปที่ใดหรือขอรับให้รถม้าไปส่งไม่ดีกว่าหรือ ท่านนี้คือผู้ใดกันขอรับ" ก้าวไม่ทันพ้นประตูใหญ่ก็พบกับหมิงกวงชิงที่เพิ่งกลับมาจากวังหลวง ไม่แปลก เด็กนี่เป็นญาติกับคนพวกนั้น เสียงเจื่อยแจ้วถามคำถามมากมายจบด้วยถามถึงเจ้าหุ่นกระบอกข้างตัวเขา ลืมคิดไปเสียสนิท
"ผู้นี้คือเหลียงจิ้น น้องชายอาจารย์เอง"
"ที่แท้ก็เป็นอาจารย์อานี่เอง ศิษย์ขอคารวะขอรับ" หมิงกวงชิงก้มหัวอย่างนอบน้อมทว่าเจียวจิ้นปิดปากเงียบ ไม่ปฏิเสธแต่ก็หาได้ยอมรับ
"ท่านอาจารย์ให้ศิษย์ไปด้วยนะขอรับ ศิษย์จะเป็นเด็กดีไม่รบกวนท่านกับอาจารย์อาเลย" เด็กหนุ่มก้มหน้ามองปลายเท้าเขี่ยดินไปมา เด็กก็คือเด็กต้องการเที่ยวเล่นเป็นธรรมดา ฮวาเหลียงจะปฏิเสธน้ำเสียงเว้าวอนนั้นได้อย่างไร
"ตามใจเจ้า"
.
.
.
ท้ายสุดก็ยกโขยงกันมาสี่ห้าคนประมุขมารน้อย หุ่นกระบอก เทพเด็กรวมผู้ติดตามอีกสองคน เดินทีเดียวก็บังถนนมิด ไม่คาดคิด ไม่คาดคิด สายตาพ่อค้าแม่ขายหลายคูจดจ้องมายังเส้นผมของฮวาเหลียงแล้วหันไปซุบซิบกันออกรสออกชาติ เขาที่พยายามทำตัวสงบเสงี่ยมอยู่นานเป็นอันต้องแกล้งตวัดมองแผ่ไอมารทุกย่างก้าวจนคนแถวนั้นเริ่มหายใจไม่ออก
"ประมุขน้อย..." เจียวจิ้นสัมผัสไหล่เป็นเชิงปลอบให้ใจเย็นลงเพราะคนรับใช้ที่ติดตามมาด้วยก็ได้รับผลกระทบด้วย ยกเว้นหมิงกวงชิงเดินไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่ข้างกายก่อนมือเล็กจะกระตุกแขนเสื้อผู้เป็นอาจารย์
"ท่านอาจารย์ขาศิษย์ล้าเหลือเกิน" เด็กหนุ่มเบะปากนวดขาไปพลาง แต่ยังคงส่งรอยยิ้มหวานบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก
เด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยันค่ำ เด็กแปดขวบไม่จำเป็นต้องทำตัวเข้มแข็งตลอดเวลาทว่าหมิงกวงชิงไม่สมเป็นเด็ก ทำทุกอย่างที่เด็กในรุ่นเดียวกันไม่ทำ บางทีในอนาคตที่เทพบรรพกาลมีหัวใจน้ำแข็งอาจจะเป็นผลพวงมาจากความเก็บกดตอนยังเด็ก
"ขี่หลังอาจารย์เถิด เจ้าตัวแค่นี้อาจารย์ของเจ้าแบกไหวอยู่แล้ว" หากมอบความอบอุ่นให้เสียมาก ๆ ตอนนี้ หมิงกวงชิงจะเป็นเทพสงครามที่มีแต่ความอ่อนโยนไร้การเข่นฆ่าและเผ่ามารจะรอดปลอดภัย
"ท่านอาจารย์...ขอรับ" หมิงกวงชิงยิ้มแป้นคารวะหนึ่งครั้งก่อนแขนเล็กจะค่อย ๆ กอดบ่าฮวาเหลียงที่ย่อตัวมารออยู่ก่อนแล้ว ท่ามกลางสายตาเย็นเยียบดุจดาบคมของเจียวจิ้น
เดิมทีประมุขน้อยนิสัยมุทะลุหาความนิ่มนวลในจิตใจไม่ได้ แม้แต่เจียวจิ้นเพื่อนคนเดียวยังไม่เคยได้เห็นด้านอ่อนโยนเช่นนี้ ไฟริษยาลุกโชนส่วนลึกของดวงตาเรียบนิ่ง เขาหวังว่าสักวันหนึ่งประมุขน้อยจะมอบความอบอุ่นให้เช่นไอ้สารเลวคนนี้
ซ่างกวนฮวาเหลียงแบกเด็กชายหน้าตาจิ้มลิ้มขี้อายเดินตะลอนจากต้นยันท้ายสุดของตลาด ทว่าก็หาได้มีสิ่งของที่ต้องการ เขาไม่แน่ใจว่าหมิงกวงชิงชอบอะไรเป็นที่สุดเพราะไม่ว่าเขาจะหยิบจับสิ่งใดให้เจ้าตัวก็มักจะรับไว้ด้วยรอยยิ้มไม่เคยปฏิเสธสักครั้ง คล้ายว่าชมชอบทุกอย่างแต่อีกทางหนึ่งก็คล้ายว่าไม่ชอบอะไรเลย
"เด็กดี เจ้าชอบอะไรเป็นพิเศษหรือไม่" ถึงเวลาที่ประมุขน้อยสวมบทอาจารย์ผู้แสนดี หมั่นทำดีกับเด็กนี่เข้าไว้เราจะอยู่รอด
"ท่านอาจารย์" หมิงกวงชิงเอ่ยข้างใบหูแผ่วเบาราวลมพัดผ่าน
"ว่าอย่างไรเล่า เจ้าชอบสิ่งใดอาจารย์จักได้เลือกให้เจ้าได้ถูกตอบแทนที่เจ้าตั้งใจเรียนเป็นเด็กดีของอาจารย์" ฮวาเหลียงไม่อยากอ้อมค้อมแล้วหากประวิงเวลาไปมากกว่านี้เกรงว่าจะค่ำมืดเสียก่อน
"ข้าชอบท่าน"
ถ้อยคำไร้เดียงสาออกจากปากบุตรชายของเสนาบดีหมิง ใบหูเล็กแดงเถือกไม่ด้อยไปกว่าปรางแก้มใส กวงชิงก้มหน้าซบบ่าผู้เป็นอาจารย์หลบท่าทีเขินอายดั่งดรุณีน้อยวัยแรกแย้ม ฮวาเหลียงหัวเราะเบา ๆ ให้ความน่าเอ็นดูของเด็กหนุ่มตัวจ้อย เด็กหนอเด็กคิดสิ่งใดพูดสิ่งนั้นทว่าไม่แปลกใจนักที่เด็กเล็กจะชื่นชอบผู้ที่ปฏิบัติดีกับตัวเอง ถือว่าสิ่งที่เขาทุ่มเทไปไม่ไร้ประโยชน์ หมิงกวงชิงไม่เกลียดเขาแล้ว นับว่าเผ่ามารจะปลอดภัยได้หรือไม่
"ศิษย์ที่ไหนจะไม่ชอบอาจารย์ตัวเอง หากเจ้าเอาใจออกหากจากอาจารย์นั่นจึงเรียกว่าศิษย์อกตัญญู"
"ไม่ใช่เช่นนั้นขอรับ...ศิษย์ชอบท่านจากใจจริง" เด็กไม่รู้ความพยายามอธิบายความรู้สึกอย่างแท้จริง ซื่อตรงเสียจนอดอมยิ้มไม่ได้ หมิงกวงชิงเห็นอีกคนส่ายศีรษะอย่างไม่จริงจังจึงเงียบปากไป ถึงพูดอย่างไรท่านอาจารย์ก็เข้าใจเป็นสิ่งอื่นอยู่ดี
"ปล่อยศิษย์ลงเถิดขอรับ ศิษย์หายเมื่อยแล้ว" คุณชายหมิงลงจากแผ่นหลังที่เฝ้าแบกตนมาตลอดครึ่งวันด้วยสีหน้าเซื่องซึม
"งั้นอาจารย์จะพาเจ้าไปเปิดหูเปิดตาชมบุปผางามเผื่อเจ้าจะนึกออกว่าชอบสิ่งใด"
"บุปผางามหรือขอรับ" สวนดอกไม้รึ หนุ่มน้อยคิดในใจ
"ถูกต้อง บุปผางาม" ประมุขน้อยเหลือบมองเจียวจิ้นที่มีดวงตาบ่งบอกถ้อยคำชัดเจนว่า เด็กนี่เพิ่งอายุได้แปดขวบปีไม่เหมาะสมกับสถานที่เชยชมบุปผางามเช่นนั้นแต่แล้วความละอายเป็นของใคร ไม่ใช่ของซ่างกวนฮวาเหลียงแน่นอน ยิ่งเรียนรู้เร็วยิ่งมีภูมิคุ้มกันมาก
"ข้าไม่ให้ท่านไป" เจียวจิ้นรั้งข้อมือประมุขน้อยไว้ คนเอ่ยปากชวนยังไม่เคยไปสถานที่คาวโลกีย์ที่ใดเลยด้วยซ้ำริจะสอนคนอื่นเกี่ยวกับเรื่องพรรค์นี้
"กล้ามากนะที่บังอาจออกคำสั่งกับข้า" แต่ไหนแต่ไรเจ้าหุ่นกระบอกมักทำตัวเป็นพี่เลี้ยงมากกว่าเพื่อนเล่นจนน่ารำคาญ ซ่างกวนฮวาเหลียงสะบัดมือเย็นเฉียบของอีกฝ่ายทิ้งอย่างไม่ไยดี เขาเกลียดคนที่บงการชีวิตเขาที่สุด แม้แต่ท่านพ่อก็ยังไม่เคยชี้นิ้วออกกฎกับชีวิตเขาสักครั้ง อยากทำอะไรก็ทำได้ไม่ต้องเห็นหัวผู้ใด พอเจียวจิ้นเข้ามาก็กลายเป็นบิดาอีกคนที่มีนิสัยห้ามนั่นห้ามนี่เป็นขั้วตรงข้ามของบิดาเขาตัวจริง
"มันหาใช่สถานที่ที่ท่านควรไป ในนั้นมีแต่พวกบ้าตัณหาไร้จิตสำนึกข้าไม่อยากให้ท่านแปดเปื้อน"
"งั้นหรือ แต่ใครสนข้าจะไปก็ต้องได้ไปเจ้าห้ามข้าไม่ได้"
.
.
.
ตะวันใกล้ลับฟ้า โคมสีแดงสว่างไสวหยอกล้อกับแสงสุริยารำไร สิ่งปลูกสร้างขนาดเกือบเท่าครึ่งหนึ่งของจวนเสนาบดีหมิงตั้งตระหง่านกลางเมือง ผู้คนสัญจรขวักไขว่แวะเข้าออกตลอดทั้งวัน หญิงสาวงามพักตร์แต่งกายด้วยผ้าเนื้อบางสีสันฉูดฉาดไม่ต่างจากใบหน้าที่แต้มเติมเครื่องประทินโฉมจนต้องเหลียวหลัง เสียงหวานหยดย้อยของพวกนางทำให้ลูกค้าควักถุงเงินจ่ายหนักไม่อั้นไม่กลัวหมดตัว
หอคณิกาซูเมิ่งเลื่องชื่อเรื่องอาหารเลิศรส ดนตรีไพเราะกังวานเสนาะหู ทั้งสตรีรูปโฉมเป็นรองแค่เทพเซียน ภายในโอ่อ่าประด้วยผ้าพริ้วบางสีแดงขาวสลับกันพาดห้อยยาวลงมาจากชั้นบนสุดจนเกือบถึงพื้นชั้นล่างสุด เปิดหน้าต่างด้านบนให้แสงจากตะวันและจันทราข้างนอกส่องมายังใจกลางหอสวรรค์ กลิ่นดอกไม้นานาพรรณปนเปแทนที่จะฉุนแสบจมูกกลับหอมฟุ้งน่าประหลาด ดรุณีบรรเลงเพลงรื่นรมย์เต้นรำยั่วเย้าอวดเรือนร่างงดงามให้บุรุษเกิดราคะ
ซ่างกวนฮวาเหลียงให้ผู้ติดตามสองคนจากจวนเสนาบดีรออยู่ข้างหน้าประตู ส่วนเจียวจิ้นเดิมตามเงียบ ๆ ไม่ปริปากพูดสีหน้าทะมึนอยู่เบื้องหลัง เขาจูงมือคุณชายน้อยปรี่เข้ามาทันที ยอมรับว่าเขาเองตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้มาเหยียบหอคณิกาเป็นครั้งแรก หันมองคนข้างกายไม่รู้ว่ารู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นสถานที่ราวภาพฝันเช่นนี้ เพราะหมิงกวงชิงทำหน้าเรียบนิ่งไม่ต่างจากเจียวจิ้นเลย
เด็กคนนี้แท้จริงเป็นอย่างไร
"ไอหยา! คุณชายน้อยทั้งสามเชิญนั่งตรงนี้เจ้าค่ะ ตรงนี้เลยนะเจ้าคะ เด็ก ๆ รับแขกหน่อยเร็ว!!" ยืนตะลึงความงดงามไม่นานก็มีหญิงวัยกลางคนถือผ้าเช็ดหน้าโบกไปมา สีปากฉูดฉาดเสียงแหลมบาดแก้วหูคนฟัง ตรงมายังพวกเขาสามคนพร้อมเชิญนั่งโต๊ะตัวที่สามารถมองเห็นการร่ายรำของนางคณิกาได้ชัดเจน ก่อนการแสดงอีกรอบจะเริ่มแม่นางน้อยดั่งบุปผาหลากสีสันก็พากันมานั่งเกยตักคนละสองฟาก
เสื้อผ้าเนื้อบางเบาทว่ารัดดันทรวงอกขึ้นเป็นร่องเนินอวบถูไถบริเวณต้นแขนของประมุขน้อยพลางรินสุราป้อนถึงปาก ดวงตากลมเบิกโพลงด้วยความหฤหรรษ์ที่ไม่เคยพบเจอ หญิงสาวเอาอกเอาใจนวดไปตามบ่าไหล่ที่แบกเจ้าเด็กเทพมาให้คลายปวดล้าฝีมือแม่นางปากแดงดีไม่น้อยจนฮวาเหลียงเกือบเอนหลังซบดรุณีหมอนวดคนนี้เสียแล้วติดที่ว่ามีสายตาสองคู่จ้องเขม็งมายังเขาราวจะแล่เนื้อเถือหนัง
หมิงกวงชิงยังเด็กจึงไม่ค่อยมีแม่นางคนไหนเกาะแกะเป็นพิเศษนัก แต่เจียวจิ้นนี่สิบุปผางามถึงขนาดล้อมหน้าล้อมหลังแย่งกันป้อนสุราชั้นดีจนเจ้าตัวตัดรำคาญโดยการเปลี่ยนสายตาเป็นแข็งกร้าวทำให้นางคณิกาเกิดอาการสั่นกลัวกระทั่งลุกไปเอาใจโต๊ะอื่น
"ท่านอาจารย์ ศิษย์อยากกลับจวนแล้ว"
"เดี๋ยวสิ อาจารย์ยังไม่ได้ดูการแสดงอีกชุดนึงเลย" หมิงกวงชิงทำท่าจะลุกขึ้นแต่ก็ถูกรั้งให้นั่งลงเช่นเดิม ดวงตาเป็นประกายเงางามสะกดให้เด็กหนุ่มยอมแพ้นั่งรอดูการร่ายรำชุดต่อไปแต่โดยดี
กลุ่มหญิงสาวแน่งน้อยตัวอ่อนช้อยโหนผ้าสีแดงลงมายังใจกลางซูเมิ่ง รอยยิ้มประดับใบหน้าหวานทำลายหินผาอ่อนระทวย สะบัดชายผ้าเย้ายวนคนนั้นทีคนนี้ที บ้างก็จับผ้ามาดอมดมบ้างก็ไหลตามโฉมสะคราญ มัวเมารสสุราไม่สู้มัวเมาอิสตรี มองดูแล้วเหมือนคนบ้าที่วิ่งตามภาพหลอน
กริ๊ง
เสียงกระดิ่งหยุดตรงหน้าซ่างกวนฮวาเหลียง หญิงสาวโดดเด่นจากกลุ่มบุปผางามของค่ำคืนนี้ นางกรีดกรายนิ้วเรียวลูบไล้กรอบหน้าของประมุขน้อยที่จดจ่อกับการลิ้มรสน้ำเมา ทั้งหมิงกวงชิงและเจียวจิ้นต่างคิ้วขมวดนั่งกอดอกท่าเดียวกันมองคนที่เริ่มหูแดงลามถึงต้นคอเพราะสุราที่ใครต่างพูดว่าชั้นดี
"ข้าเลือกคุณชายรูปงามท่านนี้ เยวียนเอ๋อร์ขอป้อนสุราท่านด้วยปากของข้า" บุรุษน้อยใหญ่ส่งเสียงโห่ร้องเสียดายที่ตนไม่ถูกเยวียนเอ๋อร์แม่นางผู้เลอโฉมและแพงที่สุดในหอซูเมิ่งเลือก ประมุขน้อยอ้ำอึ้งทำตัวไม่ถูกเปลือกตาหยาดเยิ้มก็แทบจะปิดมีเพียงหูที่สามารถรับรู้เรื่องราวได้ มือเรียวบางรั้งคอฮวาเหลียงให้รับสุราจากปากสีชาดของนาง รสฝาดอมเปรี้ยวบางคราก็ออกรสหวานละมุนทั่วโพรงปากไหลลงสู่ลำคอจนร้อนวูบวาบ
เพล้ง!
นางรินสุราลงจอกที่สองไม่ทันได้ยกดื่มก็ถูกมือของเด็กหนุ่มปัดกระเด็นกระจัดกระจายเต็มพื้นโต๊ะ หมิงกวงชิงจ้องดวงตาหวาดหวั่นนั้นเย็นยะเยือก หลบสายตาไปเจอเจียวจิ้นอีกด้านร่างแน่งน้อยก็วิ่งพรวดหนีหายเข้าไปในห้องเก็บตัวของพวกนาง
"พาท่านอาจารย์กลับกันเถิดขอรับ" หมิงกวงชิงหันไปเอ่ยกับเจียวจิ้นที่พยักหน้าส่ง ๆ
ประมุขน้อยดื่มไปไม่กี่จอกก็โงนเงนนั่งไม่ติดพื้น เลื้อยไหลไปตามขอบโต๊ะ แก้มเนียนพาดบนแขนขึ้นสีแดงระเรื่อเหมือนคนจับไข้ เส้นผมสีเงินยุ่งเหยิงจากการขยี้ไปมาคลายความเวียนศีรษะของเจ้าตัว สุราแดนมนุษย์พิศดารกว่าแดนมารเห็นทีจะเป็นเรื่องจริง พวกมนุษย์มักชอบบ้าบิ่นไม่น้อยหน้าไปกว่าเผ่ามารแต่ก็ไม่คิดว่าจะชอบของแรงเช่นนี้ ฮวาเหลียงเหมือนโดนพิษจู่โจมไม่สามารถประคองสติได้เลย
"เจียวจิ้น อุ้ม" โลกหมุนเร็วเกินไปเขาเดินกลับเองไม่ได้แน่ สองมือชูขึ้นร้องเรียกนามที่แท้จริงของคนสนิท เจียวจิ้นถอนหายใจหนักก่อนจะช้อนตัวเจ้านายเมาหัวทิ่มแนบอก แขนเรียวโอบรอบคอตามสัญชาตญาณ ขณะหมิงกวงชิงคอยระวังอยู่ด้านข้างป้องกันสาวงามที่พร้อมพุ่งเข้ามาประชิดตัวพวกเขาทั้งสาม
ขายังไม่ก้าวออกจากธรณีประตูผู้ติดตามของจวนเสนาบดีคนหนึ่งก็รีบรายงานข่าวที่ได้รับมาจากเบื้องบน
"คุณชาย บุปผาในสวนท้ายวังเบ่งบานแล้ว ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านเข้าวังไปเดินชมเป็นเพื่อนพระองค์"
...- บทที่3 -...
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 5
Comments