บทที่ 10 จดหมายจากใครบางคน
หมอประจำตระกูลเจียงกำลังตรวจชีพจรของคนที่นอนอยู่บนตั่งนอนภายในเรือนซึ่งเคยเป็นเรือนเดิมเมื่อครั้งที่อาศัยอยู่ที่เหลียนฮวาอู้ ภายในห้องกว้างตอนนี้กลับแคบลงไปถนัดตาเมื่อมีบุรุษมากกว่าเจ็ดคนยืนกระจายตัวอยู่ตามจุดต่างๆภายในห้องหมอชราผู้นั้นเลื่อนมือจากข้อมือของเว่ยอู๋เซี่ยนไปแต่ที่หน้าท้องเบาแล้วลืมตาขึ้นมา
"ยินดีด้วยขอรับ คุณชายเว่ยตั้งครรภ์ได้สามถึงสี่ส้ปดาห์แล้ว" หมอชราท่านนั้นเอ่ยกับหานกวงจวินและประมุขเจียง
"ชีพจรคุณชายเว่ยมีความส้บสนเล็กน้อย แต่มิใช่เรื่องไม่ดี พรุ่งนี้ข้าจะให้คนนำยาบำรุงครรภ์มาให้ขอรับ"หมอผู้นั้นออกไปแล้ว ทั้งห้องยังตกอยู่ในความเงียบ รู้สึกยินดีกับข่าวที่พึ่งได้รับแต่ยังคงตกอกตกใจกันอยู่จนมิรู้ว่าจะเอ่ยคำใดออกมา หลานวั่งจีรีบถลาไปหาคนรักที่กำลังลุกขึ้นนั่งโดยไม่สนกฎของสกุลต้องสำรวม
"เว่ยอิง" หลานวั่งจียื่นมือไปกอบกุมมือของคนรักเอาไว้ด้วยความถนุถนอมกลัวว่าอีกฝ่ายจะเจ็บแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม
"หลานจ้าน...ระ..เรากำลังจะมีลูกด้วยกัน เรื่องจริงใช่หรือไม่ข้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหม" เว่ยอิงถามคนรักเพื่อความแน่ใจ ตอนนี้เขามีความสุขมากมีความสุขเสียจนคิดว่าตนนั้นเพียงแค่ฝันไป
"เรื่องจริงสิ"หลานวั่งตอบพร้อมยื่นมือไปเช็ดน้ำตาบนใบหน้าคนรักอย่างอ่อนโยน
"ยินดีด้วยขอรับ หานกวงจวิน ผู้อาวุโสเว่ย" หลานจิ่งอี๋และหลานซือจุยกล่าว
ยินดีให้กับทั้งคู่
"ขอบใจพวกเจ้ามาก เจ้าด้วยเจียงเฉิงหากไม่ได้เจ้าวันนี้ข้าคงวิ่งซนไปทั่วเป็นแน่ ข้าแค่เหม็นอาหารแค่นั้นเจ้าช่างรู้ได้เร็วนัก หากเป็นคนอื่นคงคิดแค่ว่าจมูกข้ามีปัญหาเป็นแน่" เว่ยอู๋เซี่ยนกล่าวขอบคุณเจียงเฉิงที่กำลังมองเขาอยู่เงียบๆ
"ไม่ต้องขอบคุณหรอก ต่อไปนี้แค่ดูแลตัวเองให้ดีก็พอ สุราหนะก็เลิกดื่มได้แล้วมันไม่ดีต่อเด็ก" เจียงเฉิงเอ่ยเสียงดุตามแบบฉบับของตน เว่ยอู๋เซี่ยนส่งยิ้มให้น้องชายจนตาปิด
"ไม่ต้องห่วงข้ามิได้ดื่มสุราจะเป็นเดือนแล้ว เคยคิดอยากดื่มแต่พอได้กลิ่นก็ต้องวางลงสงสัยเจ้าก้อนแป้งนี่คงประท้วงเป็นแน่"เด็กหนุ่มทั้งสี่ที่มองเหตุการณ์อยู่เงียบๆก็ยิ้มออกให้กับการแสดงความรักความเป็นห่วงกันแบบแปลกๆของเว่ยอู๋เซี่ยนและประมุขเจียง อีกคนก็ชอบดุด่าส่วนอีกคนก็ชอบทำตัวให้ถูกต่อว่า ช่างเป็นพี่น้องที่แปลกเสียจริง
"อย่างนี้ข้าก็เป็นพี่ใหญ่ ส่วนอาลู่ก็เป็นพี่รองแล้วนะสิ"จินหลิงเอ่ยอย่างตื่นเต้น
"สามพี่น้องจากสามสกุล ข้าและอาลู่ทายาทของสกุลจินและเจียง และเจ้าก้อนแป้งในท้องท่านน้าใหญ่ทายาทคนแรกของสกุลหลาน นี่ ยิ่งกว่าพี่น้องร่วมสาบานเสียอีก" คำพูดไร้เดียงสาของจินหลิง ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสามและอีกหนึ่งเด็กหนุ่มชะงักทายาทคนแรกของสกุลหลานงั้นหรือ ทุกคนต่างยินดีที่ได้ยินข่าวนี้แม้แต่ตัวเขาเองก็ด้วยที่จะมีน้องชายหลั่งจากที่เขาเป็นน้องเล็กอยู่นาน แต่ทำไมแค่คำว่าทายาทคนแรกของสกุลหลานถึงได้บีบรัดหัวใจเด็กหนุ่มถึงเพียงนี้
"เอาหละ พวกเจ้ากลับเรือนไปได้แล้ว ให้เว่ยอู๋เซี่ยนได้พักผ่อนเสียที" เจียงเฉิงเอ่ยไล่ทุกคนออกจากห้องและสถานการณ์ตรงหน้านี้
"อาลู่วันนี้เจ้าไปนอนกับข้านะ" เจียงเฉิงหันไปบอกลูกชายเมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก ไม่ควรให้เจียงลู่จิวได้อยู่คนเดียวในคืนนี้เจียงเฉิงกำลังเดินตามทุกคนออกจากห้องไป แต่จู่ๆหลานวั่งจีกลับเอ่ยรั้งเขาไวเสียก่อน ใบหนัสวยนไปมองพี่ชายด้วยความสงสัยแต่กลับได้รับการส่ายหน้าเป็นคำตอบ หลานวั่งเดินไปหยิบห่อบางอย่างแล้วยื่นให้กับเจียงเฉิง
"ชยงจ่างฝากมาให้" หลานวั่งจีเอ่ยออกมาในที่สุด
"ประมุขหลานนะหรือฝากของให้ข้า" เจียงเฉิงถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจหลานวั่งจีไม่ตอบคำถามเพียงแค่พยักหน้าให้เท่านั้น
"ขอบคุณ" มือเรียวสั่นเทาเล็กน้อยตอนเอื้มมือไปหยิบห่อผ้าจากมือของหลานวั่งจี แล้วเดินออกจากห้องไปในทันทีเว่ยอู๋เซี่ยนหลี่ตามองคนรักอย่างสงสัย
"มีสิ่งใดที่ข้าควรรู้หรือไม่"
"เรื่องนี้ยังไม่ชัดเจนข้าพูดยังไม่ได้"
เจียงเฉิงเดินกลับมาถึงเรือนนอน เขาพบว่าบุตรชายได้มารอเขาที่เรือนแล้วแสงไฟจากเชิงเทียนด้านในยังคงสว่างสไว เจียงเฉิงเดินตรงไปยังศาลาริมสระบัว เมื่อนั่งลงเรียบร้อยมือเรียวจึงค่อยๆคลี่ห่อผ้าออกมาพบว่าของข้างในเป็นปิ่นหยกสีขาวลวดลายเมฆาขดสวยงามกับจดหมายหนึ่งฉบับมือเรียวหยิบปั่นหยกขึ้นมาสำรวจอย่างละเอียด ปั่นที่น้ำด้วยเนื้อหยกสีขาวลพเอียด ตรงส่วนปลายเป็นลายเมฆาขดกันไปมามีสีฟ้าอ่อนแซมขาวยิ่งยกให้ลวดลายดูเด่นชัดขึ้น เมื่อพิจารณาดูแล้วปั่นหยกนี่น่าจะราคาสูงไม่น้อย หลานซีเฉินมาเอามาให้เขาทำไม
เจียงเฉิงวางปั่นหยกลงอย่างแผ่วเบา แล้วหยิบจดหมายหนึ่งฉบับที่มาพร้อมกับปั่นนี้ มือเรียวสวยที่สวมจื่อเตี้ยนอยู่นั้นค่อยๆคลี่จดหมายออกเพื่ออ่านข้อความข้างใน
' ถึงเจียงหวั่นอิ๋น
ท่านคงแปลกใจที่จู่ๆข้าได้มอบปั่นหยกนี้ให้ท่าน เรื่องราวนี้อาจจะต้องย้อนไปในคราที่ข้าซื้อสิ่งนี้มา ย้อน ไปในตอนที่พวกเราไปปราบฏตสายน้ำที่ตำบลไฉ่อีเมื่อสิบเจ็ดปีที่แล้ว เหตุผลที่ซื้อมันมาก็เพื่อมอบเป็นของขวัญให้ใครสักคน คนที่ข้าพึ่งใจ เห็นปิ่นหยกนี้เมื่อเห็นคราแรกนั้นในหัวของข้ากลับคิดแค่ว่าต้องเหมาะกับเขาคนนั้นเป็นแน่ หากเขาประดับไว้บนผมใบหน้าขาวของเขาคงถูกขับให้สวยขึ้น ไปอีกเท่าตัวแต่ช่างเสียดายยิ่งนักที่ข้านั้นขี้ขลาดเกินกว่าจะมอบสิ่งนี้ให้แก่เขา จนเขากลับท่าเรือไปและอีกสองปีให้หลังข้าก็ได้ข่าวว่าเขามีครอบครัวเสียแล้ว ด้วยความเสียใจและผิดหวังในตนเอง ข้าจึงเก็บสิ่งนี้ไว้จนเวลาล่วงเลยมาถึงสิบเจ็ดปีเขาคนนั้นในตอนนี้เป็นประมุขที่แสนเด็ดเดี่ยวแต่ทว่าข้างในนั้นแสนอ่อนโยนและมีบุตรชายที่เก่งกาจและรูปงาม ชีวิตของเขาช่างสมบูรณ์แบบ และกลายเป็นข้า หลานซีเฉินผู้นี้กลับเข้าไปเป็นจุดด่างพร้อยในชีวิตของคนๆนั้น ข้าได้ทำในสิ่งที่ผิดอย่างมหันต์ เป็นความผิดของข้าที่ปล่อยให้ส่วงเลยมาจนถึงสิบห้าปี สิบห้าปีที่เขาผู้นั้นต้องลำบากเพียงคนเดียวในขณะที่ข้าใช้ชีวิตสุขสบายที่กูซูหลาน ความผิดนี้ของข้าไม่สมควรถูกให้อภัย ชดใช้ทั้งชีวิตก็ไม่อาจพอ แต่ข้าจะขอชดใช้ให้พวกเขาไปทั้งชีวิตเจียงหวั่นอิ๋น เขาคนนั้นเป็นท่านและเป็นท่านทั้งหมดใช่หรือไม่ หากท่านลำบากใจก็มิต้องตอบข้อสงสัยนี้ แต่ข้าอยากให้ท่าน เจียงหวั่นอิ่นอยากให้ท่านรู้ไว้ ไม่ว่าจะสิบเจ็ดปีก่อน สิบห้าปีก่อน หรือตอนนี้ ในใจของหลานซีเฉินมีเพียงแค่ท่านคนเดียวเสมอมา ข้าจักรอเอ่ยความในใจทั้งหมดแก่ท่านที่อวิ่นเซินปู้จื่อฉู่
หลานซีเฉิน '
จดหมายถูกปิดลงพร้อมกับความหนักอึ้งในใจที่ถูกกดทับลงมา เรื่องราวที่เกิดขึ้นมันช่างผิดที่ผิดเวลาไปเสียหมด หากจะถามว่าใครผิด ก็ต้องถามกลับไปว่าใครบ้างที่มิผิด ทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะสิ่งเดียวเท่านั้น คือการไปไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด เจียงเฉิงเอ่ยความในใจแก่หลานซีเฉิน หลานซีเฉินเก็บซ่อนคำว่ารักไว้ไม่กล้าเอ่ยออกมา เจียงเฉิงไม่ยอมเอ่ยวาจาเรื่องเจียงลู่จิวแก่หลานซีเฉิน จนเวลาล่วงเลยมาจนป่านนี้ คนที่น่าสงสารที่สุดคงจะเป็นบุตรชายของพวกเขา ที่ต้องมารับผลการกระทำของบิดาและมารดา
"ฟู่ว~" เจียงเฉิงเป๋าลมออกจากปากจนแก้มนวลพองขึ้น เพื่อไล่น้ำตาให้กลับเข้าไปแต่เหมือนยิ่งห้ามน้ำตาเจ้ากรรมกลับยิ่งต่อต้าน ไหลลงมาเรื่อยๆ ในเมื่อห้ามไม่สำเร็จก็ปล่อยให้มันไหลออกมาจนกว่าจะพอใจ หยาดน้ำแห่งความรู้สึกผิดปะปนไปกับความรู้สึกโล่งใจ รู้สึกผิดที่ปิดเรื่องลูกไว้ทั้งๆที่หลานซีเฉินมีสิทธิ์ที่จะรู้ และโล่งใจในสิ่งที่เคยกังวลมากมายในหัวกลับไม่เป็นอย่างที่คิด
"ถึงเวลาที่เราสองคนจะพูดกันเสียที หลานซีเฉิน"
เจียงเฉิงกลับเข้าไปในเรือนพบว่าบุตรชายของตนนั้นหลับไปแล้ว เขารู้ว่าเจียงลู่จิวสงสัยเรื่องบิดาที่แท้จริง แต่เจียงเฉิงยังไม่อยากบอกความจริงแก่บุตรชายตอนนี้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ จะบอกเด็กหนุ่มไปว่าบิดาเป็นใครในใช่ว่าเรื่องจะจบ เรื่องนี้ช่างละเอียดอ่อนยิ่งนัก จิตใจเด็กหนุ่มในวัยนี้ยังคงเปราะบาง เช่นเดียวกับเขาเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ดังนั้นเขาต้องได้พูดคุยกับหลานซีเฉินอย่างจริงๆจังๆเสียก่อนจะเอ่ยสิ่งใดออกไป
"อาเหนียงขอโทษเจ้า ช่วยรออีกสักนิดหนาลูกรัก" เจียงเฉิงก้มลงไปจุมพิตหน้าผากบุตรชายและผละออกไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เพื่อเข้านอน ตาเฉี่ยวเหลือบไปเห็นถุงหอมของตนบนโต๊ะข้างกระจกนั้นอยู่ผิดที่ไป จึงเดินไปหยิบขึ้นมาดูพบว่าน้ำหนักเบาลงจนน่าตกใจ มือเรียวเปิดดูข้างในด้วยความร้อนรน พบว่าพู่หยกได้หายไปแล้ว คนที่หยิบไปคงไม่พ้นเด็กหนุ่มที่นอนหลับบนตั่งนอนอยู่ตอนนี้
'เอาเถอะ พรุ่งนี้ค่อยถามให้ได้ความ'
.
เช้าวันถัดมาเจียงเฉิงพบว่าตนนั้นพลาดอีกแล้ว เพราะเจียงลู่จิวไม่อยู่ให้สอบถาม หายไปตั้งแต่เช้าพร้อมกับจินหลิง หลานซือจุย และหลานจิ่งอี๋ ทิ้งเพียงจดหมายฉบับเล็กๆไว้ว่า
"ท่านน้า พวกข้าสี่คนจะออกไปเที่ยวเล่นตลาดในชุมชน และตอนเย็นจะไปล่าภูตผีกันต่อ มิต้องให้แม่ครัวทำข้าวเย็นไว้รอ
จินหลิง"
จื่อเตี้ยนในมือเรียวส่งประกายสีม่วงเปี๊ยะปร๊ะออกมาแสดงถึงความโกรธสุดขีดของประมุขสกุลเจียงให้สมฉายาประมุขจอมเกรี้ยวกราด
"เอาน่า เจียงเฉิง อย่าโกรธไปเลย เด็กพวกนี้มีวิชาแกร่งกล้านัก ไม่ได้รับอันตรายเป็นแน่ อีกทั้งอาเยวี่ยนก็ไป ควบคุมเด็กซนพวกนั้นได้แน่นอน" เว่ยอูเซี่ยนกำลังปลอบประโลมน้องชายบุตรธรรมให้ใจเย็นลงระหว่างร่วมมื้ออาหารกันตอนเช้า
"เหอะ!" เจียงเฉิงส่งเสียงเหอะในลำคอเล็กน้อยแล้วทานอาหารเช้าต่อ คอยดูเถอะกลับมาจะลงโทษเสียให้เข็ดเสียทุกคน จะไปที่ใดแทนที่จะบอกกล่าวกันตรงๆแต่นี่กระไรทิ้งแต่จดไว้และพากันหนีออกไป ใช้ได้ที่ไหนกัน
เด็กหนุ่มทั้งสี่นั่งดื่มน้ำชาในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในแถบอวิ่นเมิ่ง พวกเขาหนีออกมาจากเหลียนฮวาอู้ตั้งแต่เช้าตรู่ ที่ต้องหนีออกมาแทนที่จะขออนุญาตดีๆเป็นเพราะหากบอกกล่าวต่อหน้า จินหลิงรู้ดีว่าท่านน้าของตนต้องให้คนตามมาประกบด้วยเป็นแน่พวกเขาแค่อยากเที่ยวเล่นอยากอิสระไม่ต้องอยู่ภายใต้สายตาของใคร
"ซือจุยซยง กับ จิ้งอี๋ซยง พวกท่านเคยเห็นพู่หยกอันนี้หรือไม่"เจียงลู่จิวหยิบพู่หยกที่แอบหยิบมาจากถุงหอมของอาเหนียงเมื่อคืนออกมา
"เห~ ข้าไม่เคยเห็นแฮะ" จิ่งอี๋หยิบไปพิจารณา
"เจ้าหละซือจุย"
"ข้าก็ไม่เคยพบ แต่ดูท่าจะเป็นของหายาก เจ้าไปเอามาจากไหนหรือลู่จิว"หลานซือจุยเอ่ยถาม
"อาจไม่ใช่ของคนสกุลหลานก็ได้" จินหลิงบอก หยกนี่คนทั่วไปก็สามารถมีได้มิใช่แค่คนสกุลหลานที่มี แต่คนสกุลหลานต้องมีทุกคนเป็นสัญลักษณ์หมือนผ้าคาดหน้าผาก
"เจ้าอยากรู้ไปทำไมว่าพวกเขาเคยเห็นรีเปล่า"
"เปล่าขอรับไม่มีอะไร" เจียงลู่จิวบอกปัดแล้วเก็บพู่หยกไว้ในถุงเซียนคุน
"นี่ ข้าไปถามเถ้าแก่มาแล้วแถวนี้ช่วงดึก มีปีศาจที่มีรูปร่างประหลาดออกอาวะวาดทำให้ชาวบ้านตื่นกลั่ว เขาบอกว่าหากคืนนี้เจออีกคงต้องไปขอให้ประมุขเจียงมาช่วยปราบ พวกเราไปกำจัดมันก่อนจะถึงมือท่านน้ากันเถอะ" จินหลิงเอ่ยชวน ทั้งหมดพยักหน้ารับ ปีศาจตนนี้แค่ออกอาละวาดมิมีฤทธิ์เดชมากมายถึงกับคร่าชีวิตใคร คงไม่ยากในการปราบเหมือนเดิม
ตอนดึกของวันนั้นเด็กหนุ่มทั้งสี่ ได้ออกลาดตะเวนตามที่ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าบริเวณใดที่มีปีศาจออกอาละวาด จนมาถึงริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง จึงแบ่งออกเป็นสองฝั่งไปแอบซุ่มรอเจ้าปีศาจนั่นออกมา โดยจินหลิงคู่กับเจียงลู่จิวและศิษย์สกุลหลานอยู่กันอีกฝั่งจากคำบอกเล่าปีศาจตนนนี้มีลำตัวเรียวยาวคล้ายงูยักษ์มีขนปกคลุมทั้งตัวส่วนหัวคล้ายสุนัข และส่วนหางคล้ายปลา เท้าทั้งสี่มีกรงเล็นแหลมคม เจียงลู่จิวคิดว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้น่าจะเกิดจากการทดลองในสายมารและเกิดผิดพลาดจึงได้นำมาปล่อยในที่ที่มีแหล่งน้ำมากมายอย่างอวิ่นเมิ่ง เพราะมันอาศัยอยู่ในน้ำเลยยามไฮ่มาแล้วทางฝั่งสกุลหลานก็เริ่มง่วงหนาวหาวนอนก็ยังไม่มีวี่แววของปีศาจตนนั้น หรือว่าวันนี้พวกเขาจะพลาดเสียแล้ว คิดอะไรเพลินๆอยู่นั้นก็เริ่มได้ยินเสียงน้ำเคลื่อนไหวเหมือนมีอะไรส์กอย่างขยับตัว ทั้งหมดจึงเตรียมพร้อมรับมือ
สิ่งที่เห็นอยู่นั้นคือสัตว์ปีศาจที่พวกเขาตามหาค่อยๆเคลื่อนกายขึ้นสู่พื้นดิน ลมหายใจของมันมีไอออกมาอย่างร้อนละอุ เมื่อให้สัญญาณกันเด็กหนุ่มทั้งสี่จึงโจมตีทันทีเจ้าปีศาจไม่ทันระวังก็ถูกกระบี่ชั้นดีของเหล่าเด็กหนุ่มฟันเสียหลายแผล จากที่ดิ้นไปมาตอนแรกในที่สุดมันก็นอนสงบนิ่งอยู่ที่พื้น หลานจิ่งอี๋เก็บกระบี่เข้าฝัก
"นึกว่าจะเก่งกาจกว่านี้" พร้อมกับเดินเข้าไปสำรวจใกล้ๆ
"จัดการง่ายเกินไปนี่ข้าแอบชุ่มมาตั้งแต่ช่วงเย็นเชียวนะ" หลานจิ่งอี๋พูดบ่นออกมาเจียงลู่จิวกำลังจะเดินเข้ามาสำรวจเช่นก้นกลับเห็นสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น เท้าของมันขยับนิดนิ่งเท่านี้เด็กหนุ่มก็รู้ได้ทันทีว่ามันยังไม่สิ้นฤทธิ์เสียทั้งหมด และมันกำลังจะโจมตีหลานจิ่งอี๋ที่ไม่ทันระวังตัว
"จิ่งอี๋ซยงระวัง!" เจียงลู่จิวเข้าไปประชิดตัวหลานจิ่งอี๋ผลักอีกคนให้พ้นอันตราย หลานซือจุยและจินหลิงมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างตกตะลึงพวกเขาคิดว่ามันตายไปแล้วจึงได้ชะล่าใจ
เจียงลู่จิวใช้ จิ่นเยว่ (ชื่อกระบี่) แทงไปที่หัวใจของมันแช่อยู่แบบนั้นปีศาจร้ายดิ้นไปมาอีกครั้งด้วยความเจ็บปวดเท้าของมันขีดข่วนไปทั่วโชคไม่ดีนักตอนที่เข้ามาช่วยหลานจิ่งอี๋ เจียงลู่จิวโดนมันตะปบเข้าที่แขนบาดเจ็บเล็กน้อย ท้ายที่สุดปีศาจตัวนี้ก็แน่นิ่งหมดลมหายใจจริงๆ เสียที
"จินหลิงเกอช่วยร่ายอาคมคุมทับเจ้าตัวนี้ไว้หน่อย พรุ่งนี้ข้าจะให้อาเตี๋ยส่งคนมาดู ข้ารับรู้ได้ถึงไอมารเล็กน้อยจากเจ้าตัวนี้" เจียงลู่จิวบอกญาติผู้พี่จินหลิงและหลานเวี่ยนจึงช่วยกันร่ายอาคมคุมทับ หลานจิ่งอี๋ที่ยังอยู่ในอาการตกใจ ยิ่งตื่นตกใจกว่าเดิมเมื่อเห็นเลือดสีแดงสดไหลลงมาจากแขนเด็กหนุ่มใน
ชุดอากรณ์สีม่วง "ขะ..แขนเจ้า"
"มิเป็นไรดอกจิ่งอี๋ซยง เจ็บแค่นี้อีกไม่กี่วันก็หาย"เจียงลู่จิวส่งยิ้มให้เพื่อให้อีกคนสบายใจ แต่ในใจหลานจิ่งอี๋นั้นคิดเพียงว่า
'ตาย ต้องตายแน่ๆประมาทเสียจนทำทายาทสกุลเจียงบาดเจ็บ ประมุขเจียงต้องไม่เอาข้าไว้แน่'
100%
...TBC....
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 22
Comments