เจ้าบรู๊ค

พวกเราสามหนุ่มกับหนึ่งหมาเข้ามายืนเรียงหน้ากระดานมองดูสภาพของเส้นทางที่จะต้องไปกันต่อหลังจากที่ประตูถูกปิดลง มันเป็นโถงทางเดินที่ทอดยาวเข้าไปด้านในเหมือนๆ กับที่ผ่านมา เพียงแต่มันอยู่ในบรรยากาศมืดสลัวของคบเพลิงติดผนังที่สว่างเป็นช่วงห่างๆ กันไปตลอดทาง แบบเดียวกับที่ผมเคยเห็นในหนังฝรั่งย้อนยุค จะผิดกันก็ตรงที่ผนังทั้งสองด้านเป็นอิฐถือปูนเปลือยดูชื้นแฉะเปียกชุ่มอยู่ตลอดเวลา แถมยังเขียวปื๋อไปด้วยตะไคร่และหญ้ามอส ซึ่งผมไม่เข้าใจว่าพวกมันสามารถเจริญเติบโตได้ยังไงในที่ที่มืดขนาดนี้ ส่วนด้านบนนั้นเป็นผืนพรมแห่งความดำมืดที่มืดสนิทจนมองไม่เห็นเพดาน อากาศของที่นี่มันทั้งเย็นจัดและเปียกชื้น จนน่าจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดไอน้ำสีขาวหนาแน่นลอยอยู่เหนือพื้นสูงขึ้นเกือบระดับเอวของผมจนไม่อาจมองเห็นพื้นใต้ฝ่าเท้าที่เราเหยียบยืนอยู่นี่ได้ มันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่ท่ากลางเมฆหมอกบนฟากฟ้าในยามค่ำคืนยังไงยังงั้น

"ให้ตาย! นี่เราอยู่ใต้ห้องเช่าของผมจริงเหรอวะเนี่ย!" คุณราเมศอุทานเบๆ เมื่อพวกเราเริ่มออกเดินฝ่าไอหมอกเข้าไป ผมลองสาดแสงไฟฉายส่องตรงไปที่พื้นข้างหน้าเผื่อว่าจะมีอะไรที่อาจจะเป็นอันตรายซึ่งเราอาจจะเดินไปสะดุดเอาได้ แต่ลำแสงไฟฉายก็ถูกไอหมอกบดบังละดูดซับเอาไว้จนไม่สามารถทะลุผ่านลงไปถึงพื้นได้เลย "อะไรของแม่งวะเนี่ย!...ไม่อยากจะเชื่อเลย" ผมอุทานใส่ความแปลกประหลาดนั้นเบาๆ "ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วล่ะคุณ" ลุงมานะพูดบ้าง เขาดึงแว่นตาโนบิตะออกและพยายามเช็ดไอน้ำที่เกาะกระจกแว่นตาของเขาด้วยชายเสื้อ ก่อนจะสวมกลับเข้าที่เดิม "มันไม่มีเหตุผลเลย...มันเกิดขึ้นได้ยังไงวะ บ้าไปแล้ว!" คุณราเมศพึมพำงึมงำคล้ายจะพูดกับตัวเองแต่ดันทำเสียงดังไปหน่อย "นี่คุณยังจะพยายามหาคำอธิบายกับเรื่องพวกนี้กันอยู่อีกงั้นเหรอ" ลุงมานะพูดขัดคอขึ้น แต่ดูเหมือนว่าพี่ล่ำราเมศจะมัวสนใจกับสภาพแวดล้อมที่พิลึกกึกกือเสียมากกว่า จนไม่สนใจในคำพูดของชายวัยเฉียดสว.สักนิด "ในนี้อากาศเย็นชะมัดเลย ผมว่าเรารีบไปกันดีกว่า" ผมพูดพร้อมกับเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นนำหน้าขบวนเพื่อจะทำหน้าที่เป็นคนนำทาง

แต่แล้วจู่ๆ ไฟฉายของผมก็เกิดอาการติดๆ ดับๆ ก่อนที่มันจะดับวูบและมืดสนิทลงไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย "อ้าว...เฮ้ย!" ผมร้องพลางกระแทกมันเข้ากับส้นมือ "เวรแล้วมั้ยล่ะ...พังซะแล้ว บ้าจริง!" ผมสบถแล้วถอนใจอย่างเซ็งจัด "มันคงเป็นเพราะความชื้นที่สูงเกินไปล่ะมั้ง" ลุงมานะออกความเห็น "มันเกี่ยวกันเหรอลุง...ถามจริง?" ผมหันไปถามเขาพลางขยับกระเป๋าเป้มาเปิดออกเพื่อจะยัดไฟฉายเจ๊งกะบ๊งเก็บเข้าไป ชายวัยเฉียดแซยิดยักไหล่พลางถอดแว่นตาออกมาเช็ดอีกครั้ง "ไม่รู้สิ...ผมก็พูดไปเรื่อยเปื่อยแหละ แต่จะยังไงก็เหอะ...ถ้ามันจะเจ๊งไปแล้วอย่างนั้น คุณคงต้องควรจะภาวนาแล้วล่ะนะว่าเราจะไม่ต้องได้ใช้มันอีกต่อไปน่ะ" เขาพูดก่อนจะสวมแว่นเข้าที่ก่อนจะผละเดินตะลุยหมอกไปถอดเอาคบเพลิงบนผนังอันที่อยู่ใกล้พวกเราที่สุดออกจากที่ของมันมาถือไว้แล้วใช้มันส่องนำทางให้พวกเราเดินต่อ

กลายเป็นว่าผมถูกลุงมานะแย่งซีนไปเป็นที่เรียบร้อย เขาถือคบเพลิงเดินนำพวกเราเดินฝ่าเข้าไปอย่างช้าๆ แต่ชัวร์ว่าจะไม่สะดุดหรือตกลงไปในอะไรที่เรามองไม่เห็นข้างใต้หมอกหงอยๆ นี่เข้าให้ ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าว่าทุกครั้งที่เราเดินผ่านคบไฟแต่ละอัน ทางข้างหน้าที่เราตรงเข้าไปมันก็ดูเหมือนจะยืดออกไปได้อีกเรื่อยๆ ทำให้รู้สึกว่าเดินไปไม่ถึงไหนเสียที แต่ก็ยังดีหน่อยที่ยิ่งพวกเราเดินมาไกลเท่าไหร่ ไอหมอกนั่นก็ดูเหมือนจะค่อยๆ เบาบางจางลงอย่างน่าแปลกประหลาดในทุกอย่างที่ก้าวเดินไป ถ้าไม่ใช่เพราะคิดไปเอง ผมต้องบอกว่ามันกำลังเคลื่อนตัวเลื่อนไหลสวนทาวผ่านตัวพวกเราไปทางด้านหลัง จนในที่สุดผมก็มองเห็นพื้นได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ๋ว ปรากฏว่ามันเป็นเพียงพื้นคอนกรีตขัดมันธรรมดาซึ่งไม่รู้ว่ามันจะเข้ากันได้ยังไงกับผนังอิฐเปลือยที่เต็มไปด้วยหญ้ามอสและกอเฟิร์นเล็กๆ พวกนั้นอีตรงไหน...ใครเป็นเดกเคอเรเตอร์ฟะเนี่ย?!

"นาฬิกาของคุณ...ยังเดินดีอยู่รึเปล่า" อยู่ดีๆ ลุงมานะก็หันมาถามผมพร้อมกับชะลอฝีเท้าลง ท่าทางเหมือนกับเพิ่งจะนึกอะไรบางอย่างได้หลังจากที่พวกเราเดินกับอย่างเงียบๆ มาราวๆ เกือบสิบนาที นั่นทำให้ผมเร่งฝีเท้าขึ้นมาเดินตีคู่กับเขาได้ทันก่อนจะเหลือบตามองหน้าเขาอย่างสงสัยจนรู้สึกถึงหัวคิ้วที่ปูดเป็นปมบนหน้าผากของตัวเอง แต่ก็ยกนาฬิกาขึ้นมาดูตามคำขอของเขาแต่โดยดีแล้วก็ต้องแปลกใจหนักเข้าไปอีก "โห...อะไรเนี่ย!?" ผมอุทาน "นี่เวลาผ่านไปเร็วขนาดนี้เลยเหรอ จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ดูมันยังเพิ่งจะสี่โมงห้านาทีอยู่นี่นา แต่ตอนนี้มันถอยกลับมาที่บ่ายสองแล้ว!" อาจจะฟังดูแปลกๆ พิลึกกึกกือไปหน่อย แต่นั่นมันเป็นเพราะว่าเวลาบนข้อมือของผมมันกำลังเดินถอยหลังอยู่ไง...ถ้าเผื่อยังมีคนที่จำได้น่ะนะ สีหน้าของลุงมานะฉายแวววิตกกังวลขึ้นมา "ถ้ามันเป็นอย่างที่ผมคิด ผมว่าพวกเราเหลือเวลาอีกไม่มากที่จะหาทางออกไปจากที่นี่แล้วล่ะ" ชายวัยเฉียดแซยิดพูดน้ำเสียงเหมือนกำลังหนักใจ และมันปล่อยความตื่นตระหนกตัวโตเท่าตึกโฉบเข้ามาเกาะกุมหัวใจของผมโดยที่ไม่อาจปัดป้องหรือหลบเลี่ยงได้เลย "อะไรนะ!...ลุงคิดว่าอะไรอยู่เหรอ?!" ผมถามเสียงตื่นพลางจ้องหน้าเขาเขม็ง "ผมคิดว่าต่อจากนี้ไป เราคงจะต้องใส่ใจกับนาฬิกาข้อมือของคุณกันอย่างจริงจังแล้วน่ะสิ" เขาตอบเสียงเครียด

"ลองคิดถึงหมายเลขประตูแต่ละบานที่เราเปิดขึ้นมานั่นสิ ถ้ามันมีความสัมพันธ์ระหว่างเวลากับระดับชั้นล่ะ นั่นมันจะหมายความว่าประตูทุกบานที่เราเปิด มันจะเป็นการนับถอยหลังอย่างเดียวกันกับเวลาของนาฬิกาของคุณหนือเปล่า ถ้ามันเป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ ล่ะก็นะ จากประตูหมายเลข -59 ขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้เราอยู่ในชั้นที่ -33 แล้ว นั่นอาจจะหมายความว่า เราจะต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อนที่เข็มนาฬิกาจะชี้ไปที่ 0.00 นาฬิกาซึ่งก็คือเลขสิบสองเท่านั้น เป็นไปได้ว่าเราเหลือเวลาอีกไม่ถึงสองชั่วโมงสำหรับการหาทางออกให้เจอ" ลุงมานะร่ายยาวแบบร็วปรื๋อไม่มีช่องว่างให้ใครสอดแทรกขึ้นกลางคันได้เลย "แล้วมันจะเป็นไง ถ้าเราหาทางออกไปได้ไม่ทันเวลา" นายแรมโบ้ราเมศถามขึ้นมาจนทางด้านหลัง "อย่าบอกนะว่า!..." เขาพูดค้างไว้แค่นั้นเพราะลุงมานะชิงแทรกตอบขึ้นเสียก่อน "พวกเราก็จะถูกความมืดนั่นกลืนกินและหายไปตลอดกาลน่ะสิ" คำพูดของชายวัยเฉียดแซยิดทำเอาผมเย็นสันหลังวาบ อดที่จะหันกลับไปมองข้างหลังอย่างตื่นตระหนกไม่ได้ ด้วยเกิดเกรงว่าความมืดมิดนั่นจะทะลุผ่านประตูตามหลังเข้ามา แต่สิ่งที่ผมเห็นก็มีเพียงแค่ร่างล่ำบึ๊กของคุณราเมศที่เดินทำหน้าหนวดเคร่งเครียดตามหลังมาไม่ห่างเพื่อทำหน้าที่เป็นคนระวังหลังให้พวกเรา

ทันใดนั้นเอง ผมก็ต้องสะดุ้งโหยงกับเสียงหอนอันเยือยกเย็นและโหยหวนที่ดังกังวานขึ้นกะทันหัน มาจากโถงทางเดินด้านไกลที่เราทิ้งมันไว้ข้างหลัง มันทำให้ผมเกิดความรู้สึกถึงขนบนหัวที่พากันลุกเกรียวขึ้นอีกแล้ว และหัวใจเจ้ากรรมดันไพล่นึกไปถึงหนังผีไทยที่ไม่ว่ายังไงก็ต้องมีหมาหอนนำหน้าขบวนผีมาก่อนอยู่เสมอขึ้นมาโดยอัตโนมัติ "บรู๊ค!...แกจะหอนทำมะ..." คุณราเมศที่ก็คงจะสะดุ้งเหมือนๆ กับผมหันขวับกลับไปตวาดเสียงดัง แต่กลับต้องชะงักค้างอยู่กลางอากาศและทำเสียงหายไปในลำคอของตัวเอง เผมมองเลยร่างล่ำบึ้กของเขาไปบ้างซึ่งมันก็ทำให้ผมต้องชะงักกึกตามไปด้วย ตอนนี้โถงทางเดินมืดเกือบจะสนิทไปแล้ว เพราะคบเพลิงตามรายทางได้ดับไปกันหมดตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ไอหมอกหนาที่ปกคลุมเหนือพื้นก็จางหายไปหมดสิ้นเหมือนกับว่าไม่เคยมีอยู่มาก่อน และที่สำคัญ... เสียงหอนนั่นก็ดังมาจากจุดที่มืดที่สุดตรงด้านไกลนั่นเสียด้วยสิ "ผมว่าพวกคุณอย่าส่งเสียงดังแบบนั้นจะดีกว่านะ... ขอร้องล่ะ!" ลุงมานะพูดขึ้นด้วยเสียงกระซิบกระซาบ จากนั้นเราทั้งสามคนก็มองหน้ากันไปมาอย่างไม่รู้จะถามอะไรใครดี

แต่แล้วจู่ๆ เสียงหอนนั่นก็หยุดลงไปเสียดื้อๆ แต่เปลี่ยนเป็นเสียงขู่กรรโชกขึ้นมาแทน "กรรรร! แฮ่...กรรรร!" มันทำให้ผมนึกไปถึงเสียงที่ผมเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้...จากที่ไหนกันนะ?! ใช่แล้ว!... มันเป็นเสียงขู่แบบเดียวกับตอนที่หยุดผมในตอนที่คิดจะก้าวลงบันไดในตอนแรกไม่ผิดแน่ หัวใจของผมเริ่มเต้นระส่ำอย่างไม่เป็นจังหวะขึ้นมาทันทีเมื่อคิดถึงว่าเจ้าของเสียงขู่นั่นน่าจะเป็น... "บรู๊ค! นั่นแกใช่มั้ย!?" คุณราเมศตะโกนถามออกไปและขัดจังหวะความคิดสุดสะพรึงชวนแพนิกของผม "คุณ!...จะบ้ารึไง! ไปกระตุ้นมันทำไม!" ผมครางปากคอสั่นอย่างหวาดผวา

อยู่ๆ คบไฟตามรายทางก็กลับลุกติดพรึ่บขึ้นมาพร้อมๆ กันทั้งแถบ แสงสว่างแบบสลัวๆ นั่นเผยให้เห็นร่างขนปุยของเจ้าโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ที่ผมคุ้นตายืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น ต่างกันแค่ว่าตอนนี้ตัวของมันขยายใหญ่โตจนเกือบจะเท่าวัวอเมริกันบรามันที่ใหญ่ที่สุดไปแล้ว! มันยืนในท่าเหมือนกับหมาป่าเตรียมจู่โจมเหยื่อ และเหยื่อที่ว่านั่นก็ไม่น่าจะพ้นพวกเราล่ะสิเนอะ พร้อมกันนั้นมันก็ส่งเสียงขู่ไม่หยุดหย่อน และดูเหมือนว่าจะมีไอหมอกสีขาวจางๆ ล่องลอยหมุนวนอยู่รอบๆ ตัวของมันด้วย "แกเป็นอะไรไปน่ะบรู๊ค!" นายล่ำราเมศหลุดตะโกนถามออกไปอีก ผมหันขวับไปมองหน้าเขาทันที "คุณจะบ้าเรอะ! ตัวบักเอ้บขนาดนั้นยังจะเห็นเป็นเจ้าบรู๊คได้อีกเนอะ!" นายล่ำราเมศหันมาสบตาผมแว่บหนึ่ง สีหน้าของเขาก็ดูจะสับสนอยู่ไม่น้อย "ผมว่าท่าไม่ดีแล้วนะ!" ลุงมานะกระซิบพูดกับผม ซึ่งผมเองก็เห็นดีเห็นงามตามไปด้วยเต็มร้อยเแถมบวกให้อีกหนึ่งเปอเซ็นต์ไปเลยด้วยเอ้า "เอาไงดีลุง..." ผมกระซิบขอความเห็น แต่ยังไม่ทันที่ลุงมานะจะได้ตอบอะไรกลับมา บางอย่างที่ผิดปกติก็เกิดขึ้นกับเจ้าหมาที่เคยหน้ายิ้มนั่น!

ดูเหมือนว่าร่างของเจ้าบรู๊คยังขยายใหญ่ขึ้นไปได้อีก และก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จากหมาตัวเท่าวัวพันธุ์ตอนนี้ตัวของมันน้องๆ ช้างพังวัยรุ่นเข้าไปแล้ว แต่ที่น่าตื่นตะลึงยิ่งกว่านั้นก็คือ มีอีกสองหัวค่อยๆ งอกขึ้นมาขนาบข้างหัวเดิมของมัน นัยน์ตาทั้งหกนั่นสะท้อนแสงคบไฟเปล่งประกายรัศมีอำมหิตสีแดงแป๊ด เขี้ยวแหลมเปี๊ยบงอกออกมาเต็มปากจนล้นออกมาอย่างไม่เป็นระเบียบ น้ำลายเป็นเมือกข้นที่ดูเหนียวหนึบไหลหยดยืดลงพื้นติ๋งๆ นองอยู่บนพื้นดูน่าหยะแหยง นั่นเองที่ทำให้ผมเกิดนึกรู้ได้ถึงที่มาของรอยคราบเมือกบนพื้นที่พวกเราเห็นตั้งแต่ตอนชั้นข้างล่างนั่นขึ้นมาได้อย่างปัจจุบันทันด่วน ขนที่หนานุ่มปุกปุยก็กลับหดสั้นลงและหายเข้าไปในผิวหนังของมันจนกลายเป็นหมาหนังกลับผิวสีเทาอมเขียวที่ถูกปกคลุมไปด้วยไอหมอกสีขาวซึ่งระเหยออกมาจากผิวหนังทั่วทั้งตัวของมันและโรยตัวลงสู่พื้น สี่ขาของมันเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อดูทรงพลังและหางที่เป็นพวงขนฟูก็เปลี่ยนไปกลายเป็นแส้ขนาดใหญ่มหีมาที่มีหนามแหลมคมงอกออกมาที่ส่วนปลายคล้ายกับหางไดโนเสาสเตโกซอรัสแต่ดูอันตรายกว่าเป็นร้อยเท่า ในที่สุดมันก็เริ่มขยับเท้าอันใหญ่โตของมันเคลื่อนที่ตรงมาหาพวกเราทั้งสามปุ่มสามปมที่ยังยืนตะลึงงันอยู่กับที่ไม่มีใครมีสติพอที่จะคิดขยับตัวหนีเลยสักคน

แล้วก็เป็นลุงมานะโนบิตะคุงก็เป็นคนได้สติกลับคืนมาก่อนใครเพื่อน เขากระชากแขนผมจากทางด้านหลังอย่างแรงจนแทบจะหลุดติดมือเขาไปเพราะเรี่ยวแรงมหาศาลที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมาจากผู้ชายตัวเล็กแถมวัยเฉียดสว.อย่างเขาได้ "ไปกันเร็วเข้า! นั่นมันไม่ใช่หมาของพวกคุณอีกแล้ว!" ลุงมานะเลิกทำเสียงกระซิบแล้วเปลี่ยนมาตะโกนลั่นเต็มคาราเบลใส่หน้าผมแทน "เดี๋ยวก่อน...ทำไมมันถึงเดินช้าอย่างนั้นล่ะ!?" พี่ล่ำราเมศที่ยังคงจับจ้องอยู่กับหมาสามหัวที่เริ่มคืบคลานมานั่น โถพ่อคุณ...ยังอุตส่าห์มีกะใจจะตั้งข้อสังเกตุอยู่อีกเนอะ "ใช่เวลาจะมาสงสัยมั้ยเนี่ย! ไปเร็ว!" ผมคว้าต้นแขนล่ำบึ้กของเขาแล้วออกแรงกระชาก หวังจะให้เขาหันตัวกลับมาและตามผมไปจากที่ตรงนี้ แต่มันก็เหมือนกับฉุดรถถังด้วยจักรยานแม่บ้านนั่นแหละ กลายเป็นผมเองที่ถูกแรงฝืนกระชากตัวให้หันกลับและเสียหลักเซไปชนกับขุ่นพี่ยักษ์ปักหลั่นเข้าอย่างจัง นั่นทำให้ผมต้องมองกลับไปที่สิ่งที่กำลังคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ เรื่อยๆ นั่น จริงของพี่ล่ำเขาแฮะ...ถึงแม้ตอนนี้มันจะตัวใหญ่โตมโหระทึกอย่างนั้นก็เถอะ แต่ทำไมวิธีการเดินของมันดูไม่เหมือนการเดินแบบปกติของหมาเลย การเคลื่อนไหวของมันดูกระตุกฉึกยึกยักยังไงพิกลเหมือนหมายักษ์ที่เริ่มทำกายภาพบำบัดยังงั้นแหละ และมันก็ดูไม่น่าจะตามมางับอะไรพวกเราได้ทันเลย แม้ว่าเราจะเดินฉุยฉายแบบชิลๆ เรื่อยเปื่อยก็เถอะ

แต่ทว่า...สิ่งที่เห็นมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดเสมอไปหรอก เมื่อหัวหมาอันใหญ่โตและดูมหำโหดทั้งสามของมันเกิดอาการขยับยักย้ายส่ายไปมาในอากาศแบบแปลกๆ พิกล ก่อนที่จะลอยตัวขึ้นในอากาศเพราะลำคอของมันที่กำลังยืดยาวออกจากตัว และก็ยังคงยาวขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกันนั้น ไอหมอกสีขาวที่โรยตัวแทรกออกมาจากผิวหนังของมันก็พลันเปลี่ยนเป็นสีเทาที่เข้มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเมื่อผมกระพริบตาไปแค่ครั้งเดียวเท่านั้น มันก็เปลี่ยนเป็นหมอกสีดำสนิทที่ม้วนตัวเป็นเกลียวหมุนวนอย่างบ้าคลั่งอยู่รอบๆ ตัวของมัน อึดใจต่อมาหัวหมาทั้งสามก็ลดระดับลงมาลอยอยู่เหนือพื้นก่อนที่จะบ่ายหน้าพุ่งตรงมาทางที่พวกเราที่เอาแต่ยืนบื้อใบ้ตะลึงตึงๆ อยู่อย่างรวดเร็ว

"วิ่ง!" คุณราเมศแหกปากสั่งเสียงดังลั่น ผมรีบหันกลับและออกตัววิ่งทันทีไม่รอให้ต้องร้องสั้่งเป็นซ้ำสองตามหลังลุงมานะที่ออกวิ่งลิ่วยังกับนักวิ่งถือคบเพลิงโอลิมปิกนำหน้าไปก่อนแล้วหลายช่วงตัว เปลวไฟจากคบเพลิงสะบัดเปลวลู่มาข้างหลังจนน่ากลัวว่ามันจะไปติดผมบนหัวเข้าไม่นาทีใดก็นาทีหนึ่งเสียให้ได้ "ไปๆๆ เร็วขึ้นอีก! ระวังไข่คุณด้วย!" พี่ล่ำราเมศเร่งเร้า ถึงจะตื่นระทึกแค่ไหนก็เหอะ แต่ผมก็อดใจที่จะหันหลังกลับไปมองข้างหลังไม่ได้เลย และสิ่งที่ผมเห็นก็คือ...หัวหมาทั้งสามกำลังยืดคอไล่ตามหลังพวกเรามานั้นกำลังพยายามที่จะงับก้นของพี่ล่ำของเราแบบหวิดๆ จะงับได้อยู่หลายครั้ง โดยที่ตัวของมันแทบจะไม่ได้มีการขยับตามมาเลยด้วยซ้ำ "อย่ามาห่วงไข่ผมเลย!...เอาไข่คุณให้รอดก่อนเถอะ!" ผมตะโกนตอบ แต่จะว่าไปมันก็เป็นอะไรที่น่าทึ่งมากเลยนะ ที่คนตัวใหญ่อย่างเขายังคงสามารถบิดตูดหลบหลีกคมเขี้ยวขอพวกมันได้เสียทุกครั้งอย่างหวุดหวิดแบบนั้นน่ะ

แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เมื่อผมหันหน้ากลับมาเพื่อจะตั้งใจอาราธนาหลวงพ่อโกยให้เพิ่มความศักดิ์สิทธ์ยิ่งขึ้นนั้นเอง ผมก็สะดุดเท้าตัวเองจนถลาหัวคะมำไปข้างหน้าก่อนจะล้มลงกลิ้งหลุนๆ ไปบนพื้นคอนกรีตที่เปียกชื้นและเย็นเฉียบ ทำให้พี่ล่ำราเมศที่วิ่งตามติดตูดผมมาเบรกไม่ทัน แต่เขาก็ยังคงมีสติและโชว์สกิลเทพหลบหลีกสิ่งกีดขวางที่คล่องแคล่วมากพอที่จะกระโดดตัวลอยข้ามหัวผมไปโดยไม่ชนและล้มกลิ้งตามมาทับผมจนแบนแต๊ดแต๋ไปเสียก่อน ผมลนลานพลิกตัวกลับมาจ๊ะเอ๋เข้ากับหัวมหึมาทั้งสามหัวที่ยื่นมาแสยะใส่หน้าผมแบบพอดิบพอดี มันเลิกไล่งับก้นพี่ล่ำของเราไปแล้วแต่หันมาสนใจในตัวผมแทนซะแล้ว!

แสงจากคบเพลิงที่อยู่ใกล้ๆ เผยให้เห็นหัวที่น่าเกลียดน่ากลัวของมันได้อย่างเต็มตา ดวงตาแดงก่ำของเจ้าหัวกลางจ้องเขม็งเข้ามาในตาของผม พร้อมกับส่งกลิ่นสาบสางเหมือนกลิ่นซากเนื้อเน่าเผาไฟอันแสนจะน่าสะอิดสะเอียนของมันพุ่งเข้าปะทะหน้าผมอย่างจังทำให้ผมต้องกลั้นหายใจแทบไม่ทัน แต่ถึงกระนั้นผมก็ไม่อาจจะเบือนหน้าหนีไปจากมันได้ จำเป็นต้องจ้องหน้าที่แสยะยิ้มอวดฟันแหลมคมของมันอย่างไม่เต็มใจ ปล่อยให้มันทำน้ำลายที่เป็นเมือกเหนียวหนืดยืดหยดติ๋งลงบนต้นขาของผมพร้อมกับส่งเสียงขู่ในลำคอ ส่วนที่เหลืออีกสองหัวกำลังทำจมูกฟุดฟิดสูดดมไปทั่วตัวของผมไม่เว้นแม้กระทั่งเป้ากางเกงก่อนจะพ่นลมหายใจออกทิ้ง เย้ยยยย!...กลิ่นมันแรงส์ขนาดนั้นเชียวเลยเหรอวะ!

แล้วผมก็โล่งใจไปหนึ่งเปราะที่ไอ้หัวที่ดมเป้าผมอยู่นั้นมันค่อยๆ เลื่อนจมูกของมันขึ้นมาที่หน้าท้องก่อนที่จะมาหยุดพ่นลมหายใจแรงๆ อย่างที่กลางหน้าอกของผมจนต้องกลั้นหายใจเพราะกลิ่นเหม็นที่เกินคนจะทนทานได้นั้นแทงเข้ามาในรูจมูกผมอย่างจัง นั่นทำให้อีกสองหัวพลอยหันมาสนใจวัตถุที่แขวนอยู่ที่คอของผมด้วยเช่นกัน หนึ่งในสามหัวนั่นส่งเสียงครืดคราดในลำคอก่อนที่พวกมันจะพากันผงะและหดหัวถอยออกห่างจากผมไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับว่าพวกมันเจอสิ่งที่พวกมันเกลียดและกลัวเข้าให้อย่างงั้นแหละ แล้วก็อยู่ๆ อีกนั่นแหละ...คบเพลิงติดผนังตรงที่ร่างของมันยืนอยู่ก็พากันดับวูบลงไปอีกครั้งเหมือนกับเป็นใจที่จะช่วยอำพรางกายให้พวกมันหดถอยเข้าไปในความมืดสลัวของโถงทางเดินได้อย่างเนียนๆ งั้นแหละ

ท่าทีแปลกประหลาดของมันทำเอาผมอดที่จะย่นคิ้วชนกันด้วยความแปลกใจไม่ได้ ในขณะที่ตาจ้องมองอยู่ที่หัวหมาหน้าแสยะทั้งสามตลอดเวลานั้น มือผมก็คลำไปบนหน้าอกของตัวเองเพื่อหาคำตอบว่าอะไรที่ทำให้พวกมันยอมถอยไปง่ายดายอย่างนั้น แล้วผมก็สัมผัสเข้ากับแผ่นโลหะเล็กๆ ที่ห้อยอยู่ที่กลางอก...มันคือป้ายด็อกแท็กที่แขวนอยู่กับสร้อยที่ห้อยคอผมอยู่ และมันก็เคยแขวนอยู่ที่คอของเจ้าบรู๊คตอนที่ผมได้เจอมันครั้งแรกที่ข้างบนนั้นนั่นเอง "หรือว่า..." ผมรีบถอดสร้อยคอออกมาถือไว้ก่อนจะตะกายพาตัวเองลุกขึ้นยืน

ที่ในมุมมืดที่พวกมันเพิ่งถอยร่นหายเข้าไปนั้น อยู่ๆ ก็ปรากฎดวงตาสีแดงเป็นประกายเจิดจ้าหกดวงสว่างวาบโดดเด่นขึ้นท่ามกลางความมืด แน่นอนว่าจะเป็นอะไรอื่นใดไปไม่ได้เลยนอกจากหัวหมาหน้าสยองทั้งสามนั่นแหละ แสงนั่นก็คงเป็นดวงตาของพวกมันนั่นเอง กำลังลอยขึ้นๆ ลงๆ อยู่ในความมืดอย่างช้าๆ แล้วคบเพลิงก็สว่างพรึ่บขึ้นมาอีกครั้ง เผยให้เห็นหน้าแสยะสุดสยองบนคออันยาวยืดของสามหัวหมาที่ทำท่าเหมือนกำลังเตรียมตัวจะพุ่งเข้าใส่ผมอีกครั้งเสียด้วย ทำเอาเส้นเอ็นของผมกระตุกตื่นและยื่นสร้อยคอด็อกแท็กไปข้างหน้าสุดแขนโดยอัตโนมัติ มันได้ผล! พวกมันชะงักกึกแล้วหดคอถอยหลังเข้าไปในความมืดจนเหลือแต่ดวงตาสีแดงวาวโรจน์หกดวงเปล่งแสงอยู่อีกครั้ง "เฮ้! พวกคุณไม่เป็นไรใช่ไหม...ไปกันเถอะ! เร็วเข้า" ลุงมานะตะโกนเรียกมาจากทางด้านหลังที่ไกลๆ "พวกคุณเห็นไหม...มันถอยไปแล้ว! มันกลัวด็อกแท็กนี่ล่ะ! ยังกับผีกลัวพระเครื่องเลย...ดูดิ!" ผมเหลียวไปตะโกนบอกอย่างลิงโลดดีใจ แต่กลับเห็นหน้าตาตื่นตระหนกสุดขีดของพี่ล่ำราเมศ เขากำลังชี้โบ๊ชี้เบ๊สวนทางสายตาของผมและทำปากพะเงิบพะงาบอย่างคนพูดไม่ออก "อะไร!" ผมถามพร้อมกับหันกลับไปมอง

ลูกไฟสีน้ำเงินสามดวงลอยพุ่งออกมาจากจุดที่หัวหมาหน้าแสยะทั้งสามหดหายเข้าไป มันหมุนคว้างควงสว่านตรงเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็วจนผมตั้งตัวไม่ทัน ลูกไฟนั่นพุ่งเข้าชนที่กลางอกของผมเข้าเต็มรัก ก่อนที่มันจะกระเด้งกระดอนออกแล้วฟุ้งกระจายเป็นเส้นใยสีเงินจากนั้นก็กลับมารวมตัวกันอีกตามเดิม น่าแปลกก็ตรง...แทนที่มันจะเป็นเพียงกลุ่มพลังงานที่ไร้น้ำหนักอย่างคลื่นเสียงหรือไมโครเวฟอะไรทำนองนั้น แต่มันกลับเหมือนวัตถุมีมวลขนาดใหญ่พุ่งชนผมจนผงะหงายและล้มลงขาชี้เด่ขึ้นฟ้า จนทำให้สร้อยคอด็อกแท็กที่ถืออยู่ปลิวหวือกระเด็นหลุดมือไปทางไหนแล้วก็ไม่รู้ "ฉิบหายแล้ว!" ผมแหกปากร้องลั่นเมื่อยักแย่ยักยันลุกขึ้นมาได้แต่ก็กลับก้นจ้ำดบ้าลงไปอีก เมื่อเห็นลูกไฟทั้งสามดวงลอยฉวัดเฉวียนอยู่กลางอากาศตรงปลายเท้าของผมเหมือนกำลังชื่นชมกับผลงานของพวกมันเอง แต่ที่น่าตื่นผวายิ่งกว่าก็คือ หัวหมาหน้าแสยะทั้งสามหัวนั่นกำลังยื่นกลับออกมาจากเงามืดและตรงเข้ามาหาผมอีกครั้งแล้ว

"ไม่ใช่เวลาจะมัวนั่งงงเป็นไอ้งั่งอยู่นะเฟ้ย! ไปเร็ว!" เสียงคุณราเมศดังขึ้นพร้อมกับที่คอเสื้อด้านหลังของผมถูกแรงกระชากลากให้ก้นถูไปบนพื้นเปียกๆ เป็นระยะทางสั้นๆ ก่อนที่จะปล่อยให้ผมพลิกตัวลุกขึ้นเองแล้วออกวิ่งตามตูดพี่ล่ำราเมศไปติดๆ "มาเร็วเข้า! บันไดอยู่ทางนี้!" เสียงลุงมานะตะโกนดังมาจากทางด้านไกลสุดของโถงทางเดิน เมื่อผมมองตามเสียงของเขาไปก็เห็นว่าเขายืนถือคบเพลิงอยู่ที่เชิงบันไดเวียนสูงลิ่วหมุนเป็นเกลียววนขึ้นไปสู่เบื้องบน ตั้งอยู่ตรงกลางเกือบจะติดกำแพงทึบตันที่ปลายสุดของโถงทางเดิน แถมยังเป็นบันไดที่ไม่มีราวกั้นทำให้ดูน่ากลัวจะพลัดตกลงมาหัวบุบตายเสียก่อนที่จะโดนหัวหมาพวกนี้ฟัดเอาด้วยสิ

ลุงมานะก็ดูเหมือนจะลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจเริ่มปีนบันไดเวียนมรณะนั่นขึ้นไป พี่ล่ำราเมศที่วิ่งตูดแป้นนำหน้าผมอยู่สี่ห้าก้าวก็รีบปีนตามขึ้นไปทันทีเมื่อวิ่งไปถึง อึดใจต่อมาผมก็วิ่งมาถึงเชิงบันไดเวียนจนได้ แต่ก็อดจะเหลียวหลังกลับไปมองไม่ได้อีกตามเคย สามหัวหมาหน้าแสยะนั่นลอยตามหลังมาลิ่วๆ ปล่อยน้ำลายเหนียวไหลยืดย้อยหกลงพื้นเป็นทางยาวเอาไว้ตามทาง และถ้าหากตาของผมไม่ได้ฝาดไปแล้วล่ะก็ สาบานได้ว่าผมเห็นเงาร่างของคนในดวงแสงสีเงินยวงโปร่งแสงทั้งสามดวงที่ทะยานลิ่วนำหน้าหัวหมาทั้งสามเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็วนั่น หนึ่งในนั้นผมจำได้แม่น ให้ดิ้นตายเถอะ! นั่นมัน...ยัยสก๊อยย้อยสวาทรุ่นป้าคนนั้น...ลินดา!

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!