ทางไปต่อ

ผมจัดการเก็บไฟฉายใส่เป้หลังจากตรวจเช็คว่ามันไม่ได้เจ๊งไปเพราะถูกน้ำซึมเข้าวงจรแต่อย่างใด ก่อนที่จะยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาเพื่อเช็คเวลา แล้วก็ต้องพบกับความแปลกประหลาดที่ยังคงดำเนินต่อไปบนข้อมือของผม ขณะนี้เข็มนาฬิกามันได้หมุนย้อนกลับไปที่เวลาห้าโมงห้านาทีแล้ว จากห้องที่พวกเราจากมานั้นมันก็ไม่น่าจะไกลจากประตูห้องนี้เกินสิบห้านาทีเลยนี่นา นั่นหมายความว่าพวกเราได้ใช้เวลาไปตั้งครึ่งชั่วโมงกว่ากับการเดินฝ่ามฤตยูมนุษย์ปลิงโหดแห่งหนองน้ำปริศนาเพื่อที่จะผ่านเข้าห้องนี้เลยเชียวหรือ ไม่อยากจะเชื่อเลย...ผมคิด แล้วความรู้สึกไม่สบายใจบางอย่างก็ก่อตัวขึ้นมาอย่างเงียบๆ เกี่ยวกับการเดินถอยหลังของเข็มนาฬิกาทั้งสามนี่แหละ แต่ผมก็ยังบอกไม่ได้ว่ามันคืออะไรกันแน่ ได้แต่ภาวนาขออย่าให้ความรู้สึกนั้นเด่นชัดขึ้นมาจนกลายเป็นจริงขึ้นมาได้เลย...

แต่เดี๋ยวก่อน! ผมต้องไม่ควรจะมาภาวนาอะไรในตอนนี้สิ...แย่แล้ว! นี่ผมเผลอภาวนาในใจไปเรียบร้อยแล้วเหรอเนี่ย...ให้ตายเถอะ! ทำไมถึงไม่ฉุกคิดบ้างนะว่า เวลาที่ผมเริ่มจะภาวนาอะไรสักอย่างว่าขอให้มันเกิดขึ้นหรืออย่าได้เกิดขึ้นเลยนั้น ทุกคำภาวนาของผมมันมักจะมีผลออกมาในฝั่งตรงกันข้ามอยู่เสมอเลย "เป็นอะไรไปอีกแล้วล่ะเจ้าคะ...พ่อเจ้าประคุณทูนหัว" ลินดาส่งเสียงแปร๋นมาแซะ ผมเงยหน้าขึ้นมองหน้าเธอก็เห็นว่าเธอยืนเกาะแขนล่ำของคุณราเมศแน่นพลางส่งสายตาจิกกัดเข้าใส่ผม ส่วนนายแรมโบ้ราเมศก็วุ่นอยู่กับการพยายามแกะมือปลาหมึกออกไม่ได้หยุดหย่อน แหม...คู่นี้มันช่างสมกันยังกะกิ่งหนาดใบตำแยจริงๆ เลย "นี่เราจะพูดดีใส่กันไม่ได้เลยใช่มั้ยเนี่ย...แซะตลอด" ผมพูดอย่างเซ็งๆ พร้อมกับถอนใจและจ้องตาเธอตอบอย่างไม่ย่อท้อต่อความจิกกัดของเธอ

ก่อนที่จะมีใครพูดอะไรขึ้นมาอีกเพื่อสานต่อสงครามน้ำลายระหว่างผมกับเธอ "ทุกคน" เสียงลุงมานะร้องเรียกขึ้นจากโถงทางเดินที่ทอดลึกเข้าไป เราทั้งสามคนหันมองไปเกือบจะพร้อมกัน ก็พบว่าเขากำลังเดินก้มๆ เงยๆ ด้วยท่าทางเหมือนจะกำลังสำรวจอะไรบางอย่างบนพื้น โดยมีสาวน้อยมีนาผู้เป็นลูกสาวเดินตามไม่ห่าง "มาดูอะไรนี่สิ" ชายวัยเลยกลางคนกวักมือเรียกหย็อยๆ ผมและคุณราเมศหันกลับมองหน้ากันพร้อมสีหน้าบอกความประหลาดใจเบอร์สิบ ก่อนที่ผมจะผละเดินตรงไปหาเขา ปล่อยให้นายแรมโบ้ราเมศใช้ความพยายามอันยิ่งยวดแกะหนวดปลาหมึกลินดาออกจากแขนต่อไปอยู่ตรงนี้แหละ "มีอะไรครับลุง" ผมเอ่ยถามเมื่อเดินมาถึงตรงที่เขากับลูกยืนอยู่ ชายวัยเลยกลางคนไม่ได้พูดตอบอะไรแต่กลับชี้นิ้วไปตามพื้น

"คุณคิดว่านี่มันเป็นรอยอะไร คุณโนเนม" ลุงมานะถาม ผมรู้สึกหงุดหงิดตะขิดตะขวงใจกับชื่อที่เขาใช้เรียกผมเสียเหลือเกิน แต่ก็จนปัญญาจะหาชื่อที่แท้จริงมาให้เขาเรียกได้ จึงจำเป็นต้องกล้ำกลืนฝืนทนกับชื่อพิลึกนี่ไปพลางๆ ก่อน และเมื่อผมมองตามก็พบว่าบนพื้นมีคราบอะไรบางอย่างที่ดูเหนียวๆ หนืดๆ เปียกๆ เป็นทางยาวเข้าไปตามพื้นโถงทางเดินที่ทอดลึกเข้าไปร่วมๆ ห้าสิบฟุตก่อนที่จะลับหายไปตรงหัวมุมที่เลี้ยวไปทางขวา เหมือนเป็นร่องรอยการเคลื่อนที่ของสัตว์จำพวกทากที่มักจะทิ้งรอยเมือกเอาไว้เบื้องหลังเสมอตลอดทางที่มันผ่านไป สำหรับรอยนี้...ดูจากขนาดรอยของมันแล้ว ถ้ามันเป็นรอยของทากจริงล่ะก็ มันจะต้องตัวมหึมามะหึ้มต้าขนาดไหนวะเนี่ย...ผมละจินตนาการไม่ถูกเลยจริงๆ

"เชี่ย...นี่มันรอยคราบอะไรอีกวะเนี่ย!" นายแรมโบ้ราเมศอุทาน ผมเหลือบมองไปที่เขาก็เห็นว่าเขาประสบความสำเร็จในการแกะหนวดปลาหมึกลินดาออกจากแขนได้เสียที เฮ่อ...ดีใจด้วยนะพ่อหนวดเฟิ้ม "คงไม่ใช่รอยของตัวอะไรข้างนอกนั่นหรอกนะคะ คุณราเมศ!" ลินดาพูดเสียงสั่นขณะที่เธอเดินตามหลังเขามาติดๆ พลางยื่นมือพยายามมาไขว่คว้าหาที่เกาะบนแขนของเขาอีกแล้ว "ไม่น่าจะใช่หรอก...เจ้านั่นมันใช้ขาเดิน แต่นี่มันดูเหมือนจะเป็นรอยเลื้อยของตัวอะไรก็ไม่รู้" คุณราเมศตอบพร้อมกับเบี่ยงตัวหลบหนีการเกาะกุมของยัยมือปลาหมึกลินดาไปทางลุงมานะได้อย่างหวุดหวิดเฉียดฉิว ทิ้งให้ยัยลินดายืนเก้อทำหน้าเจื่อนและมองตามแขนล่ำตาละห้อย "ท่าทางจะเป็นอะไรที่ตัวใหญ่มากเลยนะคะเนี่ย" มีนาตั้งข้อสังเกต "คุณคิดว่ามันเป็นรอยตัวอะไรคะ" อยู่ๆ เธอก็หันมาถามความเห็นเอากับผมที่กำลังยืนทำหน้ายุ่งเหยิงเพราะยังมูฟออนจากเรื่องร่างก็อปปี้พวกนั้นผสมปนเปกับเรื่องเวลาที่เดินกลับหลังไม่เสร็จซะที แล้วนี่ก็ยังจะมีเรื่องใหม่เข้ามาให้คิดเพิ่มอีก ทำเอาสมองของผมแบลงค์ไปเลย

"คุณโนเนมคะ?!" เธอสะกิดเมื่อเห็นว่าผมยังคงนิ่งเงียบ "หือ...เอ่อ ครับ...ว่าไงนะ?" ผมสะดุ้งนิดหน่อยก่อนจะหันไปถามเธอ "หนูถามว่ารอยนี่มันน่าจะเป็นรอยตัวอะไร... คุณโอเคมั้ยคะเนี่ย?" เธอตอบและถามกลับด้วยสีหน้าเป็นห่วงและกังวลพลางมองหน้าผม "อ๋อ...เอ่อ ไม่รู้สิ อาจจะเป็นพวกเอ่อ...ทาก หรืออะไรทำนองนั้นมั้ง" ผมตอบส่งๆ ไปงั้นๆ ก็คนมันคิดคำตอบไม่ทันจะให้ทำไงได้ล่ะ "ถ้ามันเป็นทากจริงอย่างที่คุณว่าล่ะก็ มันคงเป็นมากที่ตัวเท่ารถมินิคูเปอร์เลยแหละ" นายล่ำราเมศว่า ผมหันไปทางเขาก็ทันได้เห็นอาการแอบมองบนและยอมจำนนอย่างเซ็งเป็ดเสลดติดคออันเนื่องมาจากการที่หนีมือปลาหมึกของยัยลินดาไปไม่พ้นซะจนได้

"หรือว่าเราต้องเดินตามรอยคราบนี้ไปงั้นมั้ย บางทีไอ้ตัวเจ้าของรอยนี่มันอาจจะกำลังบอกใบ้ให้ทางเราอยู่ก็ได้นะ" ลุงมานะออกความเห็นอย่างพยายามมองโลกในแง่ดี แต่ลินดาก็โพล่งขึ้นมาขัดคอ "บอกใบ้ให้เราเดินตามไปให้มันเขมือบสิไม่ว่า ใครจะไปก็ไปเถอะ หนูไม่เอาด้วยหรอกค่ะลุง" เธอพูดพร้อมทำหน้าแสยงสยองพองขน "นั่นสิ...มันจะดีหรือคะพ่อ เราไม่รู้ว่ามันจะพาเราไปถึงไหนนะคะ" มีนาสนับสนุนคำพูดของลินดาพลางลูบแขนของตัวเองไปมาทำท่าบอกว่าเธอกำลังขนลุกขนชันกับสิ่งที่คนเป็นพ่อพูด และถ้าหากจะมีใครถามความเห็นของผมในตอนนี้ล่ะก็ ต้องขอบอกเลยว่าคราวนี้ผมเห็นด้วยกับยัยลินดาล่ะ มีอย่างที่ไหน...จะให้เดินตามรอยตัวอะไรก็ไม่รู้เพื่อให้มันพาไปที่ไหนก็ไม่รู้เนี่ยนะ...ไม่เข้าท่าหรอกมั้ง "นั่นสิ...เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่มันเป็นรอยของตัวอะไรกันแน่ ถ้าเกิดมันนำทางเราเข้าไปกลางดงของพวกมันล่ะ จะไม่ต้องเสร็จมะก้องด้องกันยกโขยงนี่เลยเรอะ" ผมออกความเห็นบ้าง และก็ได้การสนับสนุนอย่างล้นหลามจากสองสาวที่แข่งกันพยักหน้างึกงักเห็นด้วย

"ก็อาจจะต้องเป็นอย่างนั้นก็ได้นะ เราไม่รู้จริงๆ นั่นแหละว่ามันจะนำเราไปไหน แต่ถึงเราจะยืนเถียงกันจนคอปูดคอโป่งจนตายกันไปข้างนึงก็เถอะนะ ถ้าเรายังจะไปกันต่อล่ะก็ ยังไงๆ เราจำเป็นจะต้องเดินไปทางนั้นกันอยู่ดีไม่ใช่รึไง ถ้าเผื่อว่าใครจะไม่ทันสังเกตว่ามันเป็นเส้นทางเดียวที่เรามีในตอนนี้น่ะ" คุณล่ำราเมศพูดขึ้นบ้าง ถึงเขาจะเป็นคนพูดอย่างนั้นออกมาจากปากของเขาเอง แต่ผมก็เห็นว่าเขาก็ดูเป็นกังวลกับสิ่งที่ตัวเองพูดอยู่ไม่น้อยเลย แต่ก็แน่ล่ะ...มันก็มีเหตุมีผลที่ทำให้ผมจำเป็นจะต้องคิดและคล้อยตามไปกับสิ่งที่เขาพูดอย่างไม่มีทางเลือก "เออ...นั่นสินะ บางทีมันอาจจะไม่เลวร้ายเบอร์ใหญ่ขนาดนั้นก็ได้นี่ ไม่ว่าจะยังไงเราก็คงต้องไปกันต่ออยู่ดีล่ะ" ผมพูด "จะบ้าเหรอ! คุณจะให้พวกเราตามรอยนี่ไปเจอตัวอะไรก็ไม่รู้งั้นเหรอ" เป็นไปตามโผเป๊ะ ยัยลินดาอดรนทนที่จะไม่โวยวายไม่ได้จริงๆ ด้วย "ไม่เอานะคะคุณราเมศ" เธอหันไปจบประโยคที่ต้องการจะพูดลงที่นายล่ำราเมศ ผมรู้สึกว่าน้ำเสียงของเธอมีแววฉอเลาะและออดอ้อนแฝงอยู่ด้วยยังไงก็ไม่รู้

"นี่...ผมจะบอกอะไรให้อย่างนะ ผมเองก็ไม่ได้ชอบความคิดนี้เลย แต่คุณจะไม่คิดสักหน่อยเหรอว่า ที่เขาพูดมามันถูกต้องที่สุดสำหรับตอนนี้แล้วนะ ก็เห็นอยู่ว่าเรามีแต่ทางนี้ทางเดียวเท่านั้นที่ให้ไปต่อกันได้ เลิกงู่งี่ซะทีเถอะน่า นอกเสียจากว่าคุณจะมีทางอื่นให้พวกเราเลือก ไม่อย่างนั้นก็ติดแหง็กแห้งตายกันอยู่ข้างล่างนี่แหละ จะเอางั้นไหมล่ะ" ผมก็อดไม่ได้ที่จะเหวี่ยงใส่เธออย่างทันควันด้วยคำพูดยาวเหยียด เฮ่อ...คิดดูอีกทีผมนี่ก็ปากจัดเหมือนกันเนอะ แต่ก็นะ...เธอกับผมมันก็ขนมผสมน้ำยาดีๆ นี่เองแหละว้า

"เอาล่ะๆ...เรามาว่ากันด้วยเหตุและผลกันดีกว่า อย่าใช้อารมณ์กันนักเลย" ลุงมานะเอ่ยปรามขึ้น "ผมก็เห็นด้วยกับคุณราเมศนะ เราจำเป็นต้องเสี่ยงเดินตามรอยนี่ไปกันแล้วล่ะ คงจะไม่มีใครอยากจะติดอยู่ที่นี่ตลอดไปหรอกใช่ไหม" เขาพูดอย่างใจเย็นพลางมองหน้าคนอื่นๆ ทีละคน รวมทั้งผมด้วย "แต่ว่า..." ลินดายังคงพยายามจะทัดทานอย่างเต็มที่ เธอทำดวงตากลมโตสั่นระริกน้ำตาปริ่มทำท่าจะเอ่อท้นจะล้นออกมาจากขอบตา แต่ก็ไม่ยักกะร่วงลงมาซะทีเหมือนตัวการ์ตูนตาโตที่กำลังจะร้องไห้งั้นแหละ "ถึงจะไม่ชอบใจนัก แต่หนูเห็นก็ด้วยค่ะ เราต้องยอมเสี่ยงกันแล้วนะคะพี่ลิน เรากลับไปที่ห้องเดิมนั่นอีกไม่ได้แล้ว และเราก็จะปักหลักอยู่ที่นี่ไม่ได้เหมือนกันนะคะ" มีนาพูด ทำให้ลินดาตกอยู่ในสภาพเบิ๊ดคำสิเว่าได้แต่ทำหน้ายุ่งยากใจมองค้อนคนนั้นทีคนนี้ทีอย่างจะขอความเห็นใจ "เป็นอันว่าคะแนนโหวตสี่ต่อหนึ่งสินะ" นายราเมศสรุปแบบรวบรัดตัดความ แต่สำหรับผมแล้วนี่มันคือการตัดรำคาญดีๆ นี่เอง ลินดาหันขวับไปมองหน้าเขานิ่งด้วยดวงตากลมโตที่สั่นระริกอีกแล้ว สีหน้าของเธอบอกว่าผิดหวังอย่างแรง แต่สิ่งที่เธอทำได้ในตอนนี้ก็คือกลั้นน้ำตาและทำท่ากระเง้ากระงอดงอนตุปัดตุป่องเหมือนเด็กที่ถูกขัดใจแต่ก็ยังคงเกาะเกี่ยวมือหนวดปลาหมึกของเธอไว้กับแขนของเขาอย่างเหนียวแน่น มันจะอะไรกันนักกันหนากับแขนนายล่ำราเมศวะเนี่ย!... ผมจินตนาการไม่ออกเลยว่าเขาจะต้องทนรู้สึกรำไยเบอร์แรงส์มวากขนาดไหนกันนะ

"ว่าแต่...กระสุนปืนของพวกคุณยังเหลืออีกกี่นัดล่ะ" ลุงมานะเอ่ยถามขึ้น "เมื่อตะกี้สาดใส่เจ้านั่นไปสามนัด ก็เหลืออยู่อีกหก ถ้ามันจะไม่มีนัดไหนที่เกิดจะขัดลำกล้องขึ้นมาล่ะนะ" ผมตอบพร้อมกับดึงเอาเหยี่ยวทะเลทรายออกมาตรวจเช็คให้แน่ใจอีกครั้ง "ส่วนปืนของคุณยังไม่ได้ใช้เลยนี่ใช่ไหม คุณราเมศ" คราวนี้เขาหันไปถามคุณล่ำหนวดเฟิ้มที่กำลังยุ่งอยู่กับการแกะมือปลาหมึกลินดาออกจากแขนอีกแล้ว...ไม่รู้จักจบจักสิ้นเสียทีอะไรอย่างนั้น "ครับ ยังอยู่ครบทุกเม็ดดีอยู่ เอ่อ...ผมว่านะ" ก็ยังดีนะที่เขายังอุตส่าห์สละเวลาเงยหน้าขึ้นมาตอบ "ลิน...ลิน ปล่อยมือก่อนเถอะ ผมขอเช็คกระสุนปืนก่อน...โอเคเนอะ" ถึงกับต้องใช้มุขขอร้องแบบสุภาพที่สุดในชีวิตกันเลยทีเดียว แต่มันได้ผลแฮะ...ลินดายอมคลายมือหนวดปลาหมึกถอยออกมายืนหน้าหักเป็นจวักตักแกงและกอดอกแน่นอยู่ข้างๆ กันกับสาวน้อยมีนาจนได้ในชั่วอึดใจต่อมา

"โอเค...ถ้างั้นเราก็มีกระสุนอยู่ทั้งหมด 13 นัดเองเหรอ...อืม" ลุงมานะพูดพลางเกาคางช้าๆ "เราต้องการอาวุธเพิ่มสินะ..." เขาขยับแว่นให้เข้าที่ทั้งที่มันก็อยู่ในที่ของมันดีอยู่แล้วทำหน้าเคร่งครุ่นคิดใคร่ครวญ "แต่เราจะไปหามันได้จากที่ไหนล่ะคะพ่อ" มีนาถามขึ้น "เอาน่ะ...ยังไงตอนนี้ผมว่าเรามาเริ่มหาทางออกจากที่นี่กันก่อนเถอะ ระหว่างทางเราก็น่าจะเจออะไรที่ใช้ได้บ้างสิน่ะ เอาแต่พูดกันอยู่ตรงนี้ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก...ว่ามั้ย" คุณราเมศสรุปรวบรัดตัดความ ถึงผมจะคิดว่ามันไม่ใช่ความคิดที่เข้าท่านักก็เถอะนะ...แต่การไปตายเอาดาบหน้าคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับสถานการณ์บังคับอย่างนี้

และแล้วขบวนเดินทางก็ถูกรีเซ็ตขึ้นมาอีกครั้ง แต่งตำแหน่งหลักๆ ก็ยิ่งคงเหมือนเดิม จะต่างกันก็ตรงที่ขาดเด็กหนุ่มหน้าปรุเพียงคนเดียวเท่านั้นและผมก็ภาวนาว่าอย่าให้ต้องมีใครต้องหายไปจากขบวนอีกเลย ทางเดินที่ผมเดินนำหน้ามานี้มันเดินได้สบายๆ เพราะมีแสงสว่างจากหลอดไส้แรงเทียนต่ำติดเพดานไปจนสุดทาง ได้แต่หวังว่าจะมีแสงไฟส่องสว่างอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าพวกเราจะหาทางออกเจอก็แล้วกัน

รอยคราบเมือกที่พื้นนั่นพาพวกเราเดินลึกเข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับที่แสงสว่างจากหลอดไส้แรงเทียนต่ำบนเพดานก็เริ่มมีปัญหาติดๆ ดับๆ ถี่ขึ้นเรื่อยๆ ในทุกฝีก้าวเช่นกัน จนกระทั่งมันดับสนิทไม่ติดขึ้นมาอีกเลย "ว๊าย! ทำไมไฟดับล่ะ!" ไม่บอกก็คงจะรู้ว่าใครที่กรี้ดออกมาดังลั่นทันทีแสงจากหลอดไฟดวงสุดท้ายดับสนิทจนมืดปิ๊ดปี๋ลง ลินดาผวาเข้ากอดข้างหลังผมด้วยความตกใจกลัวแล้วเอาบักแตงโมของเธอมาทิ่มหลังผมเข้าเต็มเปา "เฮ้ย! คุณเอาอะไรมาทิ่มหลังผมน่ะ" ผมร้องอย่างตื่นตัวพร้อมกับดึงตัวเองออกห่างด้วยความตกใจ "ทำอะไรสักอย่างได้มั้ย มันมืด...ฉันมองไม่เห็น!" เมื่อลินดาโวยวายอย่างสก๊อยสติแตกอยู่ใกล้หูอย่างนี้ทำให้ผมต้องรีบงัดเอาไฟฉายออกมาใช้อีกครั้งเช่นเดียวกับคนอื่นที่ก็รีบเอาโทรศัพท์ออกมาเปิดไฟส่องทาง "โชคดีที่ไฟฉายไม่พังไปซะก่อนตอนว่ายน้ำข้ามมานะเนี่ย" ผมพูดกับตัวเองเบาๆ แล้วก็อดจะสงสัยไม่ได้ว่าพวกเขาข้าน้ำกันมาอีท่าไหนกันนะ มือถือถึงได้ไม่เปียกน้ำจนช็อตจนเจ๊งแถมยังงัดออกมาใช้ไฟฉายต่อได้อีกอย่างนี้ สงสัยจะเป็นรุ่นกันน้ำได้ละมั้ง...ผมสรุปเอาเอง "ทำไมไฟถึงต้องดับด้วยล่ะเนี่ย บ้าจริง!" ยัยสก๊อยรุ่นป้าสบถแต่สีหน้าท่าทางบอกว่านางโล่งใจเมื่อได้แสงสว่างกลับคืนมา "อยากรู้เหรอ จะลองถามหลอดไฟหลอดนั้นดูป่ะล่ะ" ผมพูดพลางส่องไฟฉายไปที่หลอดไฟบนเพดานเหนือหัว ลินดาทำหน้าตึงเปรี๊ยะและทำปากพูดไม่มีเสียงให้ผมอ่านได้ประมาณว่า "อวนทีน" พร้อมกับฟาดหางตาใส่ผมยังกับว่าที่ไฟฟ้าดับนี่เป็นความผิดของผมงั้นแหละ

พวกเราเดินมาถึงสุดทางเดินตรง เพื่อมาเจอเข้ากับทางแยกซ้ายขวา ทำให้ผมต้องหยุดชะงักพักเท้าลงเพื่อให้มีเวลาคิดพลางสาดแสงไฟไปทั้งซ้ายและขวา รอยเมือกนั่นเลี้ยวไปทางขวามือเข้าไปสู่ทางเดินในความมืดแสนจะตึ๊ดตื๋อเพราะไม่ได้มีหลอดไฟส่องสว่างให้อีกต่อไปแล้ว การที่แสงไฟฟ้าดับมืดไปหมดอย่างนี้มันก็ทำเอาผมอกหักดังเป๊าะพอกึ่มๆ เพราะดันไปหวังไว้เสียมากมายว่าความสว่างไสวจะอยู่กับเราไปตลอดทางน่ะสิ ส่วนทางแยกด้านซ้ายมือนั้นเป็นทางสั้นๆ ที่ทอดไปจรดขั้นบันไดมืดๆ ซึ่งทอดขึ้นไปสู่ความมืดสนิทเช่นกันของชั้นข้างบน

จะเป็นเพราะผมหยุดเดินอย่างปุบปับไปหน่อย หรือว่านางมัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดินตามจนเพลินเกินเบอร์ไปก็ไม่รู้ ที่ทำให้ลินดาชนเข้ากับแผ่นหลังของผมเข้าอย่างจัง แถมยังเอาบักแตงโมมาทิ่มด้วยอีกเป็นคำรบสอง "อุ๊บ! อีตาบ้า! จะหยุดเดินก็ไม่บอกสักคำ!" เธอตะแว๊ดตะแหวํต่อว่าเสียงเขียวพร้อมกับทุบกำปั้นลงบนกลางหลังผมอย่างแรงดังอั้ก! "ทุกคน...เอ่อ" ผมเอ่ยขึ้นพลางมองไปทางซ้ายทีขวาทีอย่างตัดสินใจไม่ถูกว่าจะไปทางไหนต่อดี "บ้าจริง!... มันมีทางแยกซ้ายด้วยเหรอเนี่ย ทำไมผมถึงไม่เห็นมันล่ะ" คุณราเมศเดินแซงสองพ่อลูกขึ้นมายืนเกาหัวแกรกๆ คู่กับผมพลางส่องไฟฉายมือถือไปซ้ายขวาสลับกันไปมาด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง และทุกคนก็น่าจะเดาออกนะว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับเขา...ก็มือปลาหมึกลินดาเลื้อยเข้าใส่แขนล่ำของเขาทันทีไงล่ะ! "แล้วเราจะเอาไงต่อคะคุณราเมศ... ว่าไงยะพ่อคนเก่ง...เอาไงต่อ" ประโยคหลังเธอหันมาพูดแซะผม สองมาตรฐานชัดๆ เลยยัยสก๊อยย้อยสวาทตัวแม่เอ๊ย "ไม่รู้สิ เห็นรอยนี่มันเลี้ยวไปทางขวา ไม่คิดว่ามันจะเป็นสามแยกปากหมาแบบนี้ด้วยนี่" ผมพูดพลางส่องไฟฉายไล่ตามรอยบนพื้นไป

"บันไดนั่น!...ทางขึ้นไปชั้นบนแน่ๆ เลยค่ะ!" มีนาอุทานขึ้นอย่างตื่นเต้นดีอกดีใจ "ก็แหง๋ละสิ...แต่มันก็ดูแปลกๆ นะว่าไหม ถ้าบันไดนั่นจะเป็นทางออก แล้วทำไม่เจ้าของรอยนี้ถึงไม่ไปทางนั้นล่ะ" ผมพูด "อ๋อ...ผมรู้...มั้ย บางทีมันอาจจะยังไม่อยากออกตอนนี้ก็ได้ล่ะมั้ง...ใครจะไปรู้" นายล่ำราเมศตอบเหมือนจะประชดทำไมเนี่ย "แต่ถ้าจะว่าทางนี้เป็นทางออกมันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะอย่าลืมว่าตอนนี้พวกเราอยู่ลึกลงมาตั้ง -59 ชั้นนะ อยู่ใต้ดินลึกขนาดนี้มันจะเป็นทางออกไปได้ยังไงล่ะ...ว่ามั้ย" ลุงมานะให้ความเห็นบ้าง "แล้วมันจะสำคัญยังไงคะ ก็พวกเรากำลังหาทางขึ้นไปข้างบนกันอยู่ไม่ใช่รึไง นี่ไงล่ะคะ...บันไดค่ะคุณ นอกเสียจากว่าจะมีคนเห็นเป็นสไลเดอร์น่ะ" ลินดาสอดขึ้นแถมตบท้ายด้วยการแซะใครต่อใครแบบกราดยิง แต่ดันมาจบประโยคตอนที่ส่งสายตาเชือดเฉือนมาที่ผมได้ไงฟะเนี่ย! โถ๊ะ!...กิ่งหนาดใบตำแยคู่นี้มันพอกันจริงๆ ด้วยวุ้ย! ผมย่นคิ้วแต่หน้าตึงจ้องตาตอบกลับไปพลางส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับผู้หญิงคนนี้จนไม่อยากจะต่อปากต่อคำด้วยอีกแล้ว

"เราไม่มีใครสักคนที่รู้ว่าไอ้รอยนี่มันคือรอยตัวอะไรและมันจะพาเราไปเจอกับอะไรด้วย แต่เรื่องบ้าๆ ที่เกิดอยู่นี้บางทีอาจจะไม่ต้องใช้เหตุผลใดๆ มาอธิบายให้ยุ่งยากก็ได้นะ เราอาจจะต้องใช้แค่สัญชาตญาณการเอาตัวรอดด้วยซ้ำไป บางทีทางที่เราจะเลือกอาจจะเป็นเส้นทางที่ตัวอะไรนั่นใช้กลับรัง หรืออาจจะเป็นเส้นทางตรงไปหาประตูทางออกเลยก็เป็นไปได้" ลุงมานะพูดพลางกอดอกและเกาคางอย่างใช้ความคิดพร้อมกับสองเท้าที่เริ่มเดินกลับไปกลับมา กระจกแว่นตาของเขาสะท้อนแสงไฟฉายวาบวิ๊ง ทำให้เขากลายร่างจากโนบิตะรุ่นคุณปู่ไปเป็นนักสืบจิ๋วโคนันรุ่นคุณตาไปในทันที

"และ...ถึงแม้ว่าบันไดนี่ดูจะเป็นทางที่จะพาเราขึ้นไปข้างบนได้ก็จริงอยู่ แต่เราก็ไม่มีใครรู้อีกนั่นแหละว่าข้างบนนั้นจะมีทางออกจากตึกนี้ให้เรารีเปล่า แทนที่จะมีประตูให้เราออกไปมันอาจจะยิ่งพาเราไต่ขึ้นสูงเรื่อยๆ แบบไม่มีที่สิ้นสุดก็ได้ หรือไม่ก็มีอะไรที่เราไม่อยากจะเจอรอพวกเราอยู่บนนั้นก็เป็นไปได้ทั้งนั้น อย่าลืมนะว่าสิ่งต่างๆ ที่พวกเรากำลังเผชิญกับมันอยู่นี้ มันเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดทั่วไปในธรรมชาติปกติทั้งนั้นเลยนะ ดังนั้นก็เป็นไปได้ว่าบันไดนั่นอาจจะกลายเป็นสิ่งล่อลวงให้เราหลงทางไปก็เป็นได้ ว่าไหมล่ะ" เขาหยุดพักเว้นวรรคพักหายใจพร้อมกับหยุดเดินไปเดินมาในแบบที่น่ามึนหัวได้เสียที พลางมองหน้าพวกเราแบบเรียงตัวทำนองขอความเห็น แต่คนที่เหลือก็ทำได้แค่ยืนอึ้งกิมกี่ไม่มีความเห็นที่จะหยิบยื่นให้กันทั่วหน้า โดยเฉพาะผมนี่แหละที่มึนตึ๊บกับสิ่งที่เขาพูดจนเกือบจะแบลงค์เป็นรอบที่สองเลยทีเดียว

เวลาผ่านไปราวครึ่งนาทีที่พวกเราพากันนิ่งงัน ผมเชื่อว่าแต่ละคนก็กำลังคิดใคร่ครวญต่อคำพูดของลุงมานะอยู่เช่นเดียวกันกับผม "งั้นเราจะเอาไงต่อดีล่ะ จะตามรอยนั่นไปต่อหรือจะเสี่ยงขึ้นไปชั้นบน" ในที่สุดนายราเมศผู้ยอมจำนนต่อมือหนวดปลาหมึกลินดาก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้น และเขาก็กำลังมองมาที่ผมอย่างเจาะจงยังกับว่าผมจะต้องมีคำตอบพร้อมที่จะให้เขางั้นแหละ "เอ่อ...ไม่รู้สิ" ผมยักไหล่น้อยๆ "แต่ถ้าให้ผมเลือกล่ะก็ ผมว่าเราน่าจะเดินตามรอยนี่ไปนะ คิดดูสิว่าข้างในนี้มันไม่น่าจะมีแหล่งอาหารของตัวอะไรก็ตามที่เป็นเจ้าของรอยนี่หรอก...ว่ามั้ย และถ้าทางนี้พามันออกไปหาอาหารข้างนอกได้ นั่นก็น่าจะทำให้เราเจอทางออกก็ได้นะ" ผมออกความเห็น "นายจะบ้าหรอ! ความจำเสื่อมรึเปล่าน่ะ อย่าลืมสิว่าเราร่วงลงมาจากข้างบนนั่นนะ ถ้าจะออกจากที่นี่เราก็ต้องขึ้นบันไดกลับขึ้นไปสิ คิดอะไรของนายเนี่ย! ไม่เข้าท่าเลยสักนิด ให้ตามรอยตัวอะไรก็ไม่รู้ไปเนี่ยนะ" ลินดาตะแง๊วๆ เสียงแหลมปรี้ดขัดขึ้นมาทันที "ใช่เซ่! ผมอาจจะบ้าไปแล้วจริงๆ ก็ได้ แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ที่นี่ เราคาดเดาอะไรไม่ได้สักอย่างเลยนะ" ผมเถียงด้วยอาการหน้าตึงเต็มคาราเบลอันเกิดจากความฉุนติดจมูกเป็นเหตุ

"ก็นั่นน่ะสิ เราคาดเดาไม่ได้ แล้วนายจะรู้ได้ไงว่าเราจะไม่เดินไปให้ตัวอะไรนั่นมันจับกินน่ะ ถ้าจะต้องตามรอยมันไปโผล่อยู่กลางดงของพวกมันล่ะ นายจะรับผิดชอบยังไง" หญิงสาวตั้งคอตรงเถียงกลับจนเอ็นปูด "แล้วคุณล่ะ แน่ใจได้ไงว่าบันไดนี่จะไม่พาเราไปเจออะไรที่ไม่มีใครอยากเจอน่ะ" ผมก็ไม่ยอมแพ้เหมือนกันนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับยัยย้อยสวาทปากตะไกรนี่ ถ้าผมยอมล่ะก็นะ...เรียกผมว่าหมาได้เลยเถอะ "พอกันที! ทั้งคู่นั่นแหละ จะเถียงกันยันชาติหน้าเลยรึไง!" นายแรมโบ้ราเมศปั้นหน้ายักษ์แล้วตีระฆังหมดยกอย่างแรงด้วยการตวาดเสียงดังยังกับฟ้าผ่าจนหนวดกระดิก เขาก็คงจะอัดอั้นจนเต็มคาราเบลแล้วเหมือนกัน ทำเอาทั้งผมและลินดารีบหุบปากกันอย่างไว "เลิกทะเลาะกันแล้วมาโหวตกันดีกว่ามั้ยคะ" มีนาเสนอแนะ

ในที่สุดพวกเราก็ได้ข้อสรุปอย่างไม่เป็นเอกฉันท์ ด้วยคะแนนเสียงสามต่อสอง มีเพียงคนเดียวที่ยกมือเห็นด้วยกับผมที่ยืนยันให้เดินตามรอยประหลาดนั้นไปก็คือสาวน้อยมีนา แต่ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าเธอยกมือโหวตให้ผมนั้นมันเป็นเพราะความสงสารที่ไม่มีใครเอาด้วยกับผมสักคนเลยล่ะเนี่ย แต่ก็เอาเถอะ ถึงยังไงตอนนี้ผมก็ต้องกลับมาทำหน้าที่ถือปืนปีนบันไดนำหน้าอีกเหมือนเดิมจนได้แล้วล่ะนะ และก็เช่นเคย...ผมจำเป็นต้องใช้ไฟฉายส่องนำทางอีกครั้ง ทำไมน่ะหรือ...ก็เพราะ บันไดนี้กลับมาอยู่ในดาร์กโหมดอีกแล้วน่ะสิ

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!