ดิโอเปอเรเตอร์2: ทางออก
ผมไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรและเมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆ...ที่นี่มันโคตรน่ากลัวชะมัดเลย ผมตื่นขึ้นมาและพบว่ากำลังนอนคว่ำหน้าอยู่เพียงคนเดียวบนพื้นปูนที่เย็นเฉียบตรงกลางระเบียงทางเดินท่ามกลางความมืดทึบทึมบนตึกที่ดูคล้ายกับว่าจะเป็นแฟลตหรืออพาร์ทเม้นท์ที่ไหนสักแห่ง ความคิดแวบแรกที่ผ่านเข้ามาในหัวของผมก็คือ นี่มันคงจะเป็นความฝันและเป็นฝันที่กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นที่ยังไม่อาจรู้ได้ว่าจะต้องเจอกับอะไรต่อไปแน่ๆ เลย บ้าจริง...ทำไมต้องเริ่มต้นความฝันน่ากลัวอะไรเบอร์นี้ด้วยวะ ผมคิดพลางยันร่างที่อ่อนระโหยกระปกกระเปลี้ยลุกขึ้นนั่ง หัวที่มึนตื้บของผมมันหนักอึ้งเหมือนมีใครแอบมาแงะกะโหลกเอาก้อนสมองออกไปแล้วยัดลูกตุ้มเหล็กใส่เข้ามาแทนงั้นแหละ
ผมสะบัดหัวไล่ความมึนงงและเผลอใช้มือทั้งสองข้างประคองหัวเอาไว้ ด้วยเกรงว่ามันจะทำให้คอหักพับไปด้วยน้ำหนักมหาศาลของมันเสียก่อน จากนั้นก็เริ่มสำรวจดูตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ก็ไม่พบความรู้สึกว่าเจ็บปวดที่ตรงไหนของร่างกายนอกจากไอ้หัวที่มันเอาแต่จะปวดตุ๊บๆ นี่แหละ ก่อนจะก้มมองนาฬิกาข้อมือแบบอนาล็อกเรืองแสงที่ผมชอบใส่ติดตัวไว้ตลอดเวลา มันบอกผมว่าขณะนี้เวลาหกโมงตรงเผงแล้ว เดี๋ยวนะ!...ผมฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ หกโมงงั้นเหรอ?...แล้วมันหกโมงเช้าหรือหกโมงเย็นล่ะเนี่ย ตามปกติเวลาหกโมงไม่ว่าจะเข้าหรือเย็น มันก็ไม่ได้มืดตึ๊ดตื๋ออย่างนี้เสียหน่อย ต่อให้เป็นกลางหน้าหนาวก็เหอะ ผมหันมองไปรอบๆ ด้วยครับงุนงง พร้อมกันนั้นความหวาดหวั่นก็ก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ
อยู่ๆ แสงสว่างสีเหลืองอ่อนก็สว่างขึ้นมาแบบปุบปับฉับพลันจากห้องที่อยู่ถัดไปจากที่ผมนั่งมึนอยู่ไปประมาณสองห้อง มันสว่างออกมาจากประตูห้องที่เปิดอ้าอยู่เพียงหนึ่งเดียวนั้นทางด้านขวามือ ถึงการปรากฎของมันจะแปลกประหลาดไปหน่อยก็เถอะ แต่แสงนั่นทำให้ผมพอที่จะมองเห็นสภาพรอบตัวได้บ้างแม้จะไม่ชัดเจนอะไรนัก แต่มันก็ทำให้ใจชื้นขึ้นมาได้บ้างที่อย่างน้อยก็ไม่ต้องมะงุมมะงาหราอยู่ในความมืดโดยไม่รู้ทิศทางอีกต่อไป พอผมขยับลุกขึ้นยืนได้แล้วก็หันมาสำรวจสารรูปตัวเองในความสลัวอีกครั้ง มองเห็นตัวเองในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนที่น่าจะเป็นสีซีดและรองเท้าที่น่าจะหนังกลับสีน้ำตาลเข้มหรือไม่ก็สีดำที่สวมใส่อยู่ก็ยังดูดีไม่มีรอยฉีกขาดแต่อย่างใด แต่ทำไมผมถึงได้รู้สึกไม่คุ้นเคยกับสไตล์การแต่งตัวแบบนี้เลยสักนิด เอาจริงๆ นะ...ผมจำไม่ได้ว่าผมมีเสื้อผ้าแบบนี้ในตู้เสื้อผ้าตั้งแต่เมื่อไหร่ และหยิบมันมาสวมใส่อีตอนไหน ผมสาบานอย่างจริงจังให้เลยก็ได้ว่านี่มันไม่ใช่สไตล์การแต่งตัวของผมแน่ๆ เอ๊ะ!?...หรือว่าใช่หว่า? อยู่ๆ ก็เกิดไม่แน่ใจตัวเองขึ้นมาซะงั้น...มันยังไงกันวะเนี่ย ผมเหลียวมองไปรอบตัวอีกครั้ง บรรยากาศของที่นี่มันดูมืดทึบมัวซัวขมุกขมัวจนน่าอึดอัด นอกจากแสงไฟสีเหงอ่อนของหลอดไส้แรงเทียนต่ำสาดออกมาจากห้องนั้นแล้วก็ไม่มีแสงอื่นใดให้มองเห็นอีกเลย...แม้แต่แสงสว่างจากข้าวในหัวใจของผมเอง ผมเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าทางด้านขวามือของผมเป็นช่องบันไดทางลงสู่ชั้นล่างได้อีก แต่มันก็มืดมิดไม่ชวนเชิญให้เดินลงไปสำรวจเลยสักนิดเดียว จู่ๆ ผมก็มีความรู้สึกกลัวบันไดนั่นขึ้นมาอย่างจับจิตจับใจ และรู้สึกเย็นสันหลังวาบสะท้านไปถึงไหนๆ จนต้องรีบเบือนหน้าหนีไปมองรอบๆ ตัวแทน
บริเวณโถงทางเดินทั้งด้านหน้าด้านหลังของผมนั้น มีข้าวของที่ถูกทุบทำลายจนพังยับระเกะระกะเต็มไปหมด ทั้งโต๊ะเก้าอี้ที่ล้มระเนระนาด เครื่องเรือนที่แตกหัก ถังขยะที่ตะเคงโค่โล่เทกระจาดทำให้เศษขยะหกออกมาเกลื่อนพื้น แม้กระทั่งกระถางต้นไม้ก็ยังอุส่าห์แตกเละเทะไม่มีชิ้นดีไปกับเขาด้วย สภาพเหมือนกับว่าที่นี่เคยเป็นแดนมิกสัญยีที่เพิ่งจะเกิดเหตุโกลาหลผู้คนหนีตายกันอลหม่านไปหมาดๆ อย่างนั้นแหละ มันดูสมจริงเกินกว่าจะเป็นแค่ความฝันไปไหมเนี่ย แล้วนี่คนอื่นๆ หายไปไหนกันหมดนะ
ทันใดนั้น สัมผัสของผมก็เริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งที่ผมไม่เคยจะทำใจให้คุ้นชินกับมันได้เลยอย่างเด่นชัด ทำไม...ที่นี่มันถึง...เงียบจัง! ผมคิดมาถึงตรงนี้ ฉับพลันนั่นเองที่ทำให้โสตประสาทของผมสะดุดเข้ากับเสียงของความเงียบเข้าอย่างแรง! เงียบจนเกินไป มันเป็นความเงียบที่แท้ทรู เงียบบริสุทธิ์แสนสงัดปราศจากเสียงแปลกปลอมอื่นใดเข้าทาแทรกสักเอาะสักแอะ จนผมได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นอยู่ในอก ทุกจุดชีพจร ผมคิดว่าได้ยินแม้กระทั่งเสียงเลือดที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของผมเองด้วยซ้ำ และหัวใจในช่องอกมันก็เริ่มเพิ่มจังหวะรัวกระหน่ำแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนดังสนั่นเหมือนกลองเพลที่หลวงพี่ตัวตึงประจำวัดเกิดมันส์ในอารมณ์แล้วตีเป็นจังหวะสามช่ามาล่ะเหวยขึ้นมาทันทีทันใด ในขณะที่เสียงลมหายใจที่ถี่กระชั้นค่อยๆ แทรกเข้ามาพร้อมกับการจู่โจมของเซเดทโฟเบีย ใช่แล้ว... ผมเป็นโรคกลัวความเงียบทุกระดับมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ผมต้องพยายามจัดการสถานที่อยู่อาศัยของของผมให้ต้องมีเสียงอึกทึกอยู่เสมอจนเพื่อนบ้านระอากันไปทั้งซอย จะทำไงได้ล่ะ...มันเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ผมใช้ชีวิตเพียงลำพังของผมต่อไปได้โดยที่ไม่เสียสติหรือช็อคตายไปเสียก่อนเพราะความหวาดกลัวสุดขีดจากการที่ถูกความเงียบเล่นงานเข้าน่ะสิ
อารมณ์ตื่นกลัวของผมทะยานขึ้นอย่างไม่อาจหักห้ามได้ ผมทำได้แค่หันรีหันขวางอยู่กับที่อย่างคนที่ทำอะไรไม่ถูก มือและเท้าเริ่มเย็นเฉียบแต่กลับเปียกชุ่มไปหมด เหงื่อกาฬเริ่มผุดพราวเต็มบนหน้าผากแผ่นหลัง จั๊กแร้และขาหนีบจนชื้นไปหมดแล้ว ท้องไส้ปั่นป่วนมวนหนุนและเริ่มจะหายใจติดขัด ผมแน่ใจว่าตอนนี้ใบหน้าของผมต้องขาวซีดยิ่งกว่าไก่ต้มค้างคืนแน่นอน เกิดอะไรขึ้นวะ! ที่นี่ที่ไหน... แล้วตูข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงล่ะฟะเนี่ย!? ตกลงว่านี่มันเป็นความฝันหรือเรื่องจริงกันแน่ฟะ! คำถามนับร้อยนับพันผุดขึ้นในสมองและกระเด้งกระดอนสะท้อนกลับไปกลับมาอย่างสับสนอลหม่านอยู่ในหัว...แต่มันก็ไร้ซึ่งคำตอบใดๆ กลับมาทั้งสิ้น
แต่แล้ว...คงจะเป็นจิตใต้สำนึกของผมเองที่มันตวาดลั่นใส่เสียงดังอย่างกับฟ้าผ่า 'หยุดนะ!.... ใจเย็นๆ และตั้งสติเดี๋ยวนี้เลย ไอ้...!!!' ผมคิดมาถึงตรงนี้แล้วก็ต้องสะดุดกึก เอ๊ะ!...ผมชื่ออะไรวะ! อะไรกันเนี่ย...นี่ผมจำชื่อตัวเองไม่ได้! เป็นไปได้ไง...ถึงจะเป็นในความฝันก็เถอะ ผมก็ไม่ควรจะลืมชื่อตัวเองไปได้นี่นา เกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่! ผมพยายามนึกชื่อตัวเองเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก สมองของผมคงจะพังหรือไม่ก็กลายเป็นลูกตุ้มเหล็กไปแล้วจริงๆ ล่ะมั้งเนี่ย แต่การที่จิตใต้สำนึกตวาดเอาเมื่อครู่นี้มันก็ดูจะได้ผลเกินคาด เสียงกัมปนาทที่ดังขึ้นมาจากตรงไหนสักตรงในก้นบึ้งที่ลึกสุดหยั่งนั้น มันมีอำนาจมากพอที่จะทำให้ผมรู้สึกตัวและพยายามดิ้นรนเพื่อจะกลับมาควบคุมตัวเองให้ได้อีกครั้งโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมตัดสินใจลืมเรื่องชื่อเสียงเรียงนามของตัวเองไปก่อน แล้วยืนนิ่งหลับตานิ่งสูดหายใจเข้าลึกสุดปอด แล้วผ่อนออกช้าๆ นับหนึ่งถึงสิบซ้ำไปซ้ำมาอย่างที่เคยฝึกรับมือกับความกลัวชนิดนี้มาก่อนแล้วหลายครั้งในตอนที่บังเอิญไปเจอมันเข้าแบบไม่ทันตั้งตัว ราวห้านาทีต่อมา...ผมก็สามารถเรียกสติกลับคืนมาได้นิดหน่อย แม้จะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของสติก็ตาม แต่ก็มากพอที่ผมจะใช้มันต่อกรกับความกลัวในหัวใจได้บ้าง จากนั้นผมจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้ง พยายามบังคับขาตัวเองไม่ให้สั่นก่อนจะเริ่มก้าวเท้าตรงไปข้างหน้า เข้าหาแสงสว่างเดียวที่มีอยู่เพื่อตามหาความรู้สึกปลอดภัยที่เผ่นแน่บกระเจิดกระเจิงหายไปเพราะความหวาดกลัวของตัวเอง
เท่าที่สังเกตุเห็นในตอนนี้ โถงทางเดินตรงที่ผมกำลังเดินขาสั่นอยู่นี่น่าจะเป็นชั้นบนสุดแล้ว เพราะมีเพียงบันไดทอดลงไปสู่ความดำมืดข้างล่างนั่น ไม่มีชั้นบนให้ไต่ขึ้นไปอีก นั่นหมายความว่าตึกนี้ไม่มีดาดฟ้าให้ขึ้นไปยืนชิลสูดโอโซนอันแสนสดชื่นได้สินะ ผมไม่รู้เลยว่าตึกนี้มันสูงกี่ชั้น แม้จะลองชะโงกมองข้ามราวระเบียงปูนสูงระดับลิ้นปี่ออกไปดู แต่ก็ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืด ความมืดที่ไม่ปกติ มันมืดเหมือนผืนพรมสีดำสนิทปูทาบทับเอาไว้ ไม่มีแสงใดๆ จากทิวทัศน์เบื้องล่างนั่นเลยแม้แต่น้อย เรียกได้ว่าทัศนวิสัยติดลบไปหลายเบอร์กันเลยทีเดียว แล้วความสงสัยที่คาใจมาตั้งแต่ต้นก็หวนกลับมาชวนให้คิดอีกครั้ง ตอนนี้เพิ่งจะหกโมงเท่านั้น แต่ทำไมมันถึงได้มืดได้ขนาดนี้ล่ะเนี่ย หรือว่านาฬิกาของผมมันจะเจ๊งกะบ๊งไปแล้วล่ะกระมัง คิดได้ดังนั้นจึงยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูอีกทีเพื่อความแน่ใจ เข็มวินาทีมันก็ยังคงกระดิกติ๊กๆ ไปข้างหน้าเป็นปกติดีอยู่นี่นา ตกลงว่าผมก็ยังหาคำตอบไม่เจออยู่ดีว่าตอนนี้มันเป็นหกโมงตอนเช้าหรือตอนเย็นกันแน่ "บ้าจริง!" ผมสบถใส่นาฬิกา
ผมลองยื่นหัวออกนอกราวระเบียงอีกครั้งเพื่อแหงนมองท้องฟ้าก็พบว่า ถึงแม้ว่ามันจะมืดไม่ต่างกันกับข้างล่างนั่น แต่มันกลับยังคงมีดวงจันทร์เสี้ยวสีเหมือนจะย้อมด้วยเลือดแดงฉานแขวนอยู่บนนั้นกับแสงของดวงดาวอีกสองสามดวงที่กะพริบวิบวับเหมือนกับกำลังเย้ยหยันผมอยู่ในที หรือผมจะคิดไปเองว่ามันเป็นอย่างนั้นก็ได้ซะล่ะมัง ว่าแต่...ดวงจันทร์อะไรจะมาแขวนอยู่กลางฟ้าในเวลาหกโมงอย่างนี้ฟะ!...ยูโรป้าเหรอ!? ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสนแฮะ ผมผละจากตรงที่ยืนงงอยู่ตรงนี้เข้าไปหาแสงสว่างจากห้องที่เปิดอยู่นั้นอย่างรวดเร็ว เพราะไม่อยากปล่อยให้ตัวเองอยู่ในความมืดสลัวที่น่าหวาดระแวงนี้นานมากไปกว่านี้แล้ว ด้วยความเร็วขนาดนี้มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าผมได้กลายร่างเป็นแมลงตัวจ้อยที่กำลังถูกแสงไฟล่อลวงให้บินเข้าไปติดกับของอะไรบางอย่างยังไงยังงั้นเลย
ข้าวของที่ล้มระเนระนาดจากภายในห้องล้นทะลักออกมาขวางทางเข้าระเกะระกะเต็มไปหมด ผมพยายามใช้เท้าเขี่ยๆ เพื่อเปิดทางจนเข้ามาถึงกรอบประตูจนได้ ก่อนที่จะลองยื่นหน้าเข้าไปกวาดตามองไปทั่ว สภาพภายในนั้นมันก็เละเทะไม่ต่างอะไรกับข้างนอกเลย มีไฟฉายขนาดใหญ่ใช้ถ่าน D สามก้อนที่พวกรปภชอบใช้กันตกอยู่หนึ่งกระบอกอยู่ที่ปลายเท้าของผมพอดิบพอดี จึงก้มลงเก็บมันขึ้นมาลองเปิดปิดดู เยี่ยมเลย...มันยังใช้งานได้ดี แถมยังไฟแรงเหมือนพร้อมจะแทงตาใครๆ ให้บอดสนิทไปทันทีที่ถูกสาดแสงเข้าใส่ราวกับเพิ่งจะเปลี่ยนถ่านใหม่มาเสียด้วย... ผมคิด แต่ก่อนที่จะเข้าไปสำรวจภายในห้องนี้ ผมตัดสินใจที่จะเดินไปสำรวจระเบียงทางเดินในความมืดสลัวนั่นเสียก่อนน่าจะดีกว่า ถือโอกาสทดสอบไฟฉายที่เพิ่งได้มานี่ด้วยเลย เผื่อว่าจะเจอทางออกไปจากที่ที่ชวนขนลุกนี้ได้ คิดได้ดังนั้นผมก็เปิดสวิตช์ไฟฉายแล้วหันไปเริ่มการสำรวจ เริ่มจากทางด้านซ้ายมือก่อนเลย
นั่นทำให้ผมพบว่า ห้องอื่นๆ ที่อยู่ถัดไปอีกห้าห้องนั้นถูกปิดสนิทและลูกบิดถูกล็อกจากข้างใน หลังจากเดินสำรวจไปจนสุดปีกตึกก็พบว่ามีประตูโครงเหล็กสนิมเกาะเขรอะที่ถูกคล้องโซ่เส้นโตและล็อกเอาไว้ด้วยแม่กุญแจตัวเกือบเท่ากำปั้นของนักมวยรุ่นเฮฟวี่เวตอย่างแน่นหนา ปิดกั้นระหว่างผมกับบันไดหนีไฟที่ติดอยู่กับผนังนอกตัวตึกนั่น ผมลองจับมันเขย่าแรงๆ พร้อมกระชากดูแต่ก็ไม่ได้ทำให้มันสะทกสะท้านแล้วหลุดออกมาได้แต่อย่างใด ผมถอนใจเฮือกเบ้อเริ่มก่อนจะเดินย้อนกลับไปสำรวจปีกตึกฝั่งตรงข้าม โดยที่พยายามที่จะทำเป็นไม่สนใจบันไดอันมืดมิดตรงกลางตึกนั่น เพราะผมก็บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงได้รู้สึกไม่ดีกับมันได้ถึงขั้นไม่แม้แต่จะอยากเหลือบตามองอย่างนี้
แล้วมันก็เป็นไปตามที่ผมได้คาดเอาไว้ ห้องทั้งหกทางฝั่งนี้ก็ถูกล็อกจากด้านในเหมือนกัน ที่สุดทางเดินของปีกตึกฝั่งนี้ก็มีประตูโครงเหล็กคล้องโซ่ล็อคกุญแจแน่นหนาเช่นกัน บ้าเอ๊ย...แบบนี้ถ้าเกิดไฟไหม้ลุกขึ้นพรึบพรั่บขึ้นมามาล่ะก็ มีหวังได้โดนครอกตายกลายเป็นไก่ย่างถูกเผากันยกชั้นแน่ๆ เลย...ผมคิด มันต้องมีลูกกุญแจสำหรับไขทั้งประตูทางหนีไฟนี่และประตูห้องพวกนั้นสิ ใช่แล้ว...ผมต้องหากุญแจมาเปิดประตูห้องที่ปิดล็อกพวกนั้นดู เผื่อว่าจะเจออะไรที่พอจะเป็นประโยชน์กับผมบ้าง หรือจะให้ดีกว่านั้น...บางทีผมอาจจะเจอลูกกุญแจสำหรับเปิดประตูเหล็กบันไดหนีไฟนี่ได้ เพื่อที่ผมจะได้ไม่ต้องเดินลงบันไดที่น่ากลัวตรงกลางตึกนั่นเพื่อไปหาทางออกจากที่นี่ข้างล่างนั่นก็ได้ หรืออย่างน้อยๆ ก็อะไรก็ได้ที่จะให้คำตอบกับผมได้ว่าไอ้ตึกบ้าๆ นี่มันคืออะไรและเกิดอะไรขึ้นกันแน่...แต่จะไปหาที่ไหนล่ะ เออ...ก็ไม่แน่นะ มันอาจจะถูกเก็บไว้ในห้องที่เปิดไฟไว้นั่นก็ได้
สรุปว่าข้างบนนี้ไม่มีทางให้ลงไปข้างล่างได้เลยนอกจากบันไดหลักที่มืดตื้อตรงกลางตึกเท่านั้น และสิ่งที่ผมสงสัยอีกอย่างก็คือ ตึกนี้มันก็ดูท่าน่าจะสูงอยู่ไม่น้อยเลย แต่ทำไมไม่มีลิฟต์ฟะ! ถ้านี่มันเป็นความฝันล่ะก็... ทำไมถึงไม่ปวดฉี่แล้วสะดุ้งตื่นไปเข้าห้องน้ำเหมือนทุกทีที่เคยเป็นมาซะทีล่ะเนี่ย ผมล่ะอยากจะออกไปจากที่นี่ใจจะขาดเสียให้ได้ในตอนนี้เลย ก็ใครมันจะไปอยากจะติดแหง็กอยู่ในตึกมืดๆ และเงียบยิ่งกว่าป่าช้าอย่างนี้ล่ะ
ทันทีที่ผมแวบไปคิดถึงความเงียบสงัดที่อยู่รอบตัว ไอ้เจ้าอาการเซเดทโฟเบียก็กระโจนเข้ามาจู่โจมผมทันทีเหมือนกับว่ามันตั้งท่ารอทีอยู่ก่อนแล้ว ไอ้แอสโฮลเอ๊ย! อุตส่าห์เบนความสนใจตัวเองออกไปจดจ่ออยู่กับเรื่องอื่นได้แล้วเชียว ถึงแม้เรื่องอื่นที่ว่านี่มันจะไม่มีอะไรให้น่าจดจ่อเลยสักนิดก็เหอะ ผมรีบหลับตาตั้งสติสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วเริ่มนับหนึ่งถึงสิบอย่างช้าๆ อยู่ตั้งสิบกว่ารอบ กว่าที่พอจะกลับมาควบคุมตัวเองได้อีกครั้ง ก่อนจะเริ่มออกเดินกลับไปตามทางเดิม แต่ถึงจะบอกว่าพอจะควบคุมตัวเองได้แล้วอย่างนั้นก็เถอะ ผมก็ยังเดินขาสั่นเหมือนคนเป็นสันนิบาตลูกนกก็ไม่ปาน จนกระทั่ง...
ไม่รู้ว่าพระเจ้าหรือปิศาจตนไหนที่ดลบันดาลให้ผมเดินมาหยุดยืนที่เชิงบันไดกลางตึกแล้วสาดแสงไฟฉายลงลงไปในความดำมืดข้างล่างนั่นจนได้ ทั้งที่รู้สึกกลัวจนแทบจะหยุดหายใจไปเสียในบัดนาวอย่างนี้ สิ่งที่ผมเห็น...มันมีเพียงความมืดที่น่าขนลุกครอบคลุมอยู่โดยเฉพาะส่วนที่ต้องเลี้ยวลงไปขั้นบันไดชุดต่อไปที่ต่ำกว่านั่น แม้ไฟฉายในมือจะให้แสงสว่างที่เต็มคาราเบลเพียงใดก็ตาม แต่ผมก็ไม่คิดว่ามันจะช่วยให้ความปอดแหกของผมลดน้อยถอยลงไปได้เลยแม้สักกระผีก
ถึงกระนั้น ท่ามกลางความหวาดกลัวจนขี้ขึ้นไปอัดแน่นอยู่เต็มขมองนั้นเอง ในใจของผมมันก็ดันเกิดความคิดพิเรนแทรกขึ้นมาว่าทำไมถึงไม่ลงไปดูข้างล่างให้มันรู้แล้วรู้แรดไปเลยล่ะ แสงไฟก็มีอยู่ในมือแล้ว ถึงจะต้องฝืนทนต่อสู้กับความปอดแหกอย่างหนักหน่วงไปสักหน่อยก็เถอะ ผมอาจจะเจอทางออกไปจากที่นี่โดยไม่ต้องเสียเวลาไปค้นหาลูกกุญแจที่ไม่รู้ว่าจะมีอยู่หรือเปล่านั่น หรือไม่ก็อาจจะเจอกับใครๆ ที่ยังอยู่ในตึกนี้เหมือนกับผมก็เป็นได้นะ ใครจะรู้...ใช่มั้ย 'เออ...ถ้าจะคิดใหญ่เบอร์นี้แล้วก็ลงไปเลยสิฟะ!...จะรออะไร!?' ผมยุส่งตัวเอง แต่ทว่าความมืดข้างล่างนั่นมันก็ไม่ได้เย้ายวนใจหรือดึงดูดให้เดินลงไปหาเลยสักนิด ผมลังเลอยู่ครู่ใหญ่ก่อนตัดสินใจก้าวเท้าลงไปเหยียบบันไดขั้นแรกอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่แล้วก็ต้องชะงักแล้วรีบดึงเท้ากลับขึ้นมาอย่างรวดเร็วเพราะเสียงขู่คำรามต่ำๆ ในลำคอของอะไรบางอย่างดังขึ้นมาจากข้างล่างนั่น "กรรรรร!"
"เชี่ย!" ผมเผลอสบถตาเบิกกว้างจ้องมองไปในความมืดข้างล่างนั่นเขม็งพลางถอยหลังกรูดๆ ไปหาแสงสว่างเดียวที่มีอยู่อย่างขวัญหนีดีฝ่อ ความกล้าบ้าบิ่นที่คอยยุส่งเมื่อครู่เปิดตูดโกยแนบไปไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้ และเพราะไม่ได้มองทางผมจึงสะดุดเข้ากับสตูลไม้ที่ล้มขวางทางอยู่ ทำให้หงายายเงิบล้มลงไปกองกับพื้นหน้าห้อง ไฟฉายหลุดมือกระเด็นเข้าไปข้างในห้อง และท้ายทอยของผมก็กระแทกเข้ากับอะไรบางอย่างที่ผมมองไม่เห็นเล่นเอามึนเกือบสลบเลยทีเดียว เมื่อกี้มันเสียงอะไรวะ! ผมถามตัวเองในใจอย่างแพนิคสุดชีวิต เสียงนั่นมันฟังดู้หมือวเหมือนกับสัตว์ขนาดใหญ่ที่ส่งเสียงขู่เพื่อข่มขวัญเหยื่อของมัน ไม่ว่ามันจะเป็นตัวอะไรก็ตาม ผมแน่ใจว่ามันไม่ใช่มิตรที่เอื้ออาทรต่อสุขภาพและพลานามัยของผมอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เสียงของมันเงียบไปแล้วและก็ยังไม่มีสัญญาณใดๆ ที่จะบอกว่ามันจะไต่ขึ้นบันไดมาตามหาผม หรือว่ามันอาจจะกำลังซุ่มรอให้ผมเดินกลับลงไปหามัน หรือไม่ก็กำลังย่อตัวนิ่งตั้งท่าเตรียมตัวกระโจนขึ้นมาขย้ำคอผมอยู่ก็เป็นได้
คิดได้ดังนั้นผมก็ลนลานลุกขึ้นก่อนจะพยายามทั้งเตะทั้งเขี่ยข้าวของที่เกลื่อนกลาดเต็มวงกบประตูออกไปให้พ้นทางอย่างเร็วที่สุด ก่อนจะผลุบเข้าไปในห้องพร้อมกับคว้าลูกบิดปิดตามหลังแล้วล็อกทันที รู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยถ้าเจ้าตัวอะไรที่ทำเสียงชวนผวานั่นจะบุกเข้ามาล่ะก็ ผมก็น่าจะยังพอมีเวลาได้เตรียมตัวรับมือบ้าง แต่เพื่อความแน่ใจผมจึงลองเอาหูแนบประตูอยู่อีกเป็นครู่ใหญ่ ฉี่...ความเงียบบรรจงกระซิบเสียงเข้ามาในรูหูของผม โดยที่ไม่มีเสียงอะไรแปลกปลอมอย่างอื่นแทรกเข้ามาปะปนเลยสักนิด มันคงไม่ตามขึ้นมาหรอกน่ะไอ้ เอ่อ...กูชื่ออะไรวะ! บ้าไปแล้ว...จะเรียกชื่อตัวเองก็ดันจำไม่ได้อีก บัดซบครบวงจรจริงๆ! ก็ไม่รู้ว่าที่คิดแบบนั้นมันจะเป็นแค่การปลอบใจตัวเองหรือเปล่า แต่มันก็ทำให้ผมตัดสินใจหันกลับมาสนใจกวาดตามองดูสภาพภายในห้องก็แล้วกันเหอะ โห...เละยิ่งกว่าโจ๊กที่ต้มซ้ำไปซ้ำมาสักร้อยรอบซะอีกแน่ะ ดูๆ ไปแล้วก็ให้รู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก นี่ถ้าไม่นับเรื่องความเสียหายของเฟอร์นิเจอร์แล้ว มันก็รกรุงรังเกือบจะไม่ต่างอะไรกับห้องนอนของผมเลยแหละ
ภายใต้แสงสีเหลืองสลัวของหลอดไส้แรงเทียนต่ำนั้น ตุ๊กตาฮัลโหลคิตตี้น้อยใหญ่หลายสิบตัวนอนตายกระจัดกระแจด เอ่อ...กรุณาอย่าผวนคำล่ะ!...อยู่ทั่วไปบนพื้น และหนึ่งในนั้นก็มีตุ๊กตาลูกเทพนอนขาชี้เพดานเด่จนกระโปรงสีชมพูเปิดอ้าซ่ารวมอยู่ด้วย ฟูกที่นอนถูกทึ้งเอาวัสดุภายในออกมากระจุยกระจายเกลื่อนไปหมด ผ้าปูที่นอนลายคิตตี้สีชมพูถูกกระชากออกมากองข้างเตียง แต่ไหงหมอนและหมอนข้างที่ก็เป็นคิตตี้สีชมพูเข้าชุดกันทำไมมันถึงได้ระเห็จไปกองอยู่ที่มุมห้องนู่นซะล่ะ ตู้เสื้อผ้าแบบน็อกดาวน์ล้มตะแคงประตูตู้พังยับ เสื้อผ้ากองมหึมาทะลักออกมากองเต็มพื้นรวมทั้งยกทรงและกางเกงในสีชมพูลายคิตตี้แบบผู้หญิงด้วย โต๊ะเครื่องแป้งและเก้าอี้กระจายเกลื่อนไปหมด โทรทัศน์จอแบน 42 นิ้วหน้าจอแตกร้าว เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ก็อยู่ในสภาพเละเทะชนิดที่ช่างซ่อมมุกคนบนโลกใบนี้ต่างพากันให้คำแนะนำว่า...ส่งเข้าศูนย์แยกขยะอิเล็กทรอนิคส์เถอะนะขุ่นเพ่...กันทั่วหน้าอย่างแน่นอนที่สุด จะมีเพียงแต่ตู้เย็นสีครามแบบประตูเดียวเท่านั้นที่ยังตั้งอยู่ตามที่มันควรจะเป็นที่ตรงมุมข้างประตูที่เปิดออกไปยังระเบียงด้านหลังห้องนั่น
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 26
Comments