ก้าวแห่งความสำเร็จผ่านพ้นไปแล้ว ต่อไปนี้เขาจะลองลิ้มรสชาติของความล้มเหลวดูบ้าง แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เขายังคงมุ่งมั่นจะก้าวเดินไปบนเส้นทางสายเดิมที่เต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนามอย่างไม่ท้อและจะก้าวเดินให้มั่นคงยิ่งขึ้นเพื่อให้เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต
เคน ดิศรตั้งปณิธานไว้ในใจ พลางก้าวเท้าเข้าไปในห้องซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ทำงานของเขาแต่ในปัจจุบันกลายเป็นเพียงห้องรกร้างว่างเปล่าที่ใกล้
ข้าวของเครื่องใช้ภายในสำนักงานเก็บรวมไว้เป็น กอง ๆ เพื่อรอการขนย้าย ไม่เหลืออะไรส่อเค้าให้เห็นถึงอดีตที่เคยรุ่งโรจน์เลย พนักงานที่เคยเดินเข้าออกพลุกพล่านก็เหลือแค่สามคนซึ่งเป็นผู้ที่เขาเลือกสรรมาเพื่อส่งมอบภาระบางอย่างให้รับช่วงต่อ
"เป็นยังไงกันบ้างทุกคน ทำใจกันได้แล้วใช่ไหม" เคนกลั้นความขมชื่นส่งเสียงทักทายออกไป ขณะเดินตรงไปยังโต๊ะที่เหลืออยู่เพียงตัวเดียวตรงมุมห้องแล้วทรุดตัวลงนั่ง เก้าอี้นวมนุ่ม ๆ และรอยไหม้บนพื้นผิวโต๊ะไม้ที่เขาเผลอวางบุหรี่ทิ้งไว้เปลี่ยนความคุ้นเคยของเขาให้กลายเป็นความอาวรณ์ เมื่อตระหนักว่าถึงเวลาต้องบอกลามันเเล้ว
หนึ่งหญิงกับสองชายวัยไม่เกินสามสิบปีพากันละมือจากข้าวของที่กำลังเก็บรบรวม เข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะตัวนั้นเพื่อรอฟังคำกล่าวลาอย่างเป็นทางการ
"เอ่อ ผมไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี" เคนเกาหลังใบหู เป็นเอกลักษณ์ ของเขาในยามชัดเชินและคิดอะไรไม่ออก "แต่ผมหวังว่าทุกคนคงเข้าใจปัญหาที่รากำลังผชิญอยู่ เราเคยร่วมงานกันมานาน มีทั้งประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม และล้มเหลวชนิดที่ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันลิกรา บริษัทของเราก็เหมือนกัน มันเดินมาถึงจุดที่ต้องแยกทางกันไปแล้ว"ภาวะขาดสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทเป็นปัญหาใหญ่ที่เคนหมดหนทางแก้ไข สุดท้ายเขาจึงจำเป็นต้องประกาศปิดบริษัทผลิตสารคดีที่เขาสร้างขึ้นมากับมือเมื่อสิบกว่าปีก่อน
นัทเอ่ยขึ้นเป็นคนแรก "แล้ววันนี้พี่เรียกเรามาทำไมครับ"
เคนจับกระแสความคาดหวังบางอย่างในน้ำเสียงคนถามได้ นัท วิริยสกุล หนุ่มหล่อจากตระกูลผู้ดีเก่าผู้มีรสนิยมในการแต่งกายเหมาะสมกับบุคลิก ดูสำอางแต่เอาจริงเอาจัง เเม้จะเพิ่งเข้ามาร่วมงานกับบริษัทได้เพียงสองเดือน แต่ก็แสดงออกให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าเขามีความมุ่งมั่นมากเกินพอดี เหมือนไม่รู้จักทางสายกลาง นัทตั้งเป้าหมายของชีวิตไว้สูงและมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงโดยเร็ว เขาไม่เคยเสียเวลากับเรื่องไร้สาระประเภทหยอกนิดล้อหน่อยกับเพื่อนร่วมงาน บางครั้งคนอื่นจึงมองว่าเขาเป็นคนขาดมนุษย์สัมพันธ์ นั่นไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เพียงแต่มันทำให้วิถีชีวิตของเขาโดดเดี่ยวอ้างว้าง เคนเดาไม่ถูกว่าถ้าชายคนนี้ไปไม่ถึงความฝัน วันนั้นจะเกิดอะไรขึ้น
"พอดีมีงานค้างอยู่ชิ้นหนึ่ง ผมอยากเคลียร์ให้มันจบไปเพื่อไม่ให้เสียชื่อเสียงของบริษัท" ทรงพลเช้าประเด็น "เป็นงานถ่ายสารคดีวิถีชีวิตชนเผ่าที่หมู่บ้านอันดา"
นัททำท่าเหมือนคิดคำนวณตัวเลขในใจ "งั้นก็อีกสิบวันข้างหน้านี้ใช่ไหมครับ"
"แต่เราต้องไปเตรียมงานล่วงหน้าก่อนเจ็ดวัน และต้องทำงานร่วมกับบริษัทผลิตสารคดีของอเมริกา"
"พวกมืออาชีพหรือคะ"ริชหลุดปากออกมาอย่างแปลกใจ "แต่เราเป็นแค่ทีมงานผลิตสารคดีเล็ก ๆ เท่านั้น แล้วทำไมเขาถึงได้..."เคนเดาออกว่าเธอกำลังจะพูดอะไร ริชนาค วานิชกุลเป็นสาวสวยรูปร่างบอบบางเกินกว่าใครจะเชื่อว่าเธอนิยมชมชอบความท้าทายและงานลุยๆแบบผู้ชาย แต่ก็มีอารมณ์อ่อนไหวของผู้หญิงซ่อนอยู่ภายใน ถ้าจี้โดนจุดอ่อนเมื่อไร ก็ได้เรื่องเมื่อนั้น
"ความเป็นมืออาชีพน่ะ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเครื่องมือหรือขนาดของทีมงาน แต่มันอยู่ในตัวของแต่ละคน"เคนจิ้มหน้าอกตนเองด้วยนิ้วหัวแม่มือ "และขึ้นอยู่กับว่าเราจะดึงมันออกมาใช้ได้มากแค่ไหน ต่อให้เก่งขนาดไหน อเมริกาก็ไม่มีวันเข้าใจวัฒนธรรมของที่นี่หรอก เขาเลยต้องการให้เราเข้าไปเป็นตัวเชื่อมตรงจุดนี้ นี่แหละคือหน้าที่ของพวกคุณ"
"แล้วเรื่องภาษาล่ะ"เพชรแทรกขึ้นมา สีหน้าดูเป็นกังวล "เราจะมีปัญหาเรื่องการสื่อสารกับพวกเขาไหม"
เคนนึกขำขณะหันไปมองช่างภาพหนุ่มร่างผอมบางเพชร สกุลตาเป็นคนง่าย ๆ มีบุคลิกการแต่งกายตรงข้ามกับนัททุกอย่าง ผมที่ยาวปรกบ่ามัดรวบไว้ลวก ๆ ด้วยหนังยาง เหนือริมฝีปากมีไรหนวดขึ้นเขียวครึ้มอย่างคนไม่ค่อยใส่ใจดูแลตัวเอง ลูกน้องของเขาคนนี้น่าเป็นห่วงก็ตรงที่เป็นคนชอบโวยวายและติดนิสัยปากไวกว่าความคิด แต่ก็มีความแปลกแยกทางอารมณ์ซ่อนอยู่ด้วย เพชรมักมีอารมณ์ขันที่ไม่ถูกกาลเทศะ แต่ในยามคับขันก็ใช้อารมณ์ขันเอาตัวรอดจากสถานการณ์ได้
"เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง งานนี้เขาคัดมาแต่คนที่พูดภาษาไทยได้" เคนหยิบซองสีขาวสามซองออกมาจากลิ้นชักโต๊ะ แจกจ่ายไปตามรายชื่อที่เขียนอยู่บนหน้าซอง "นี่เป็นหนังสือสัญญากับเช็คค่าจ้างของพวกคุณ ผมถือโอกาสนี้บอกลาทุกคนเลยนะ"
ริชชะงักขณะยื่นมือมารับซองของเธอ"แล้วพี่ไม่ไปหมู่บ้านอันดากับเราหรือคะ"
เคนยักไหล่ การล้มครั้งนี้ทำให้เขาไร้กำลังวังซาจะยืนหยัดอยู่ได้ ถ้าได้พักผ่อนกายใจสักพัก เขาคงมีพลังลุกขึ้นมาต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคอีกครั้งซึ่งแน่นอนว่าคงไม่ใช่ภายในสิบวันนี้หรอก
"ผมขอถอนตัวดีกว่า ผมยังไม่เคยเห็นกับตาเลยว่าหมู่บ้านอันดานั่นจะมีกลุ่มชนเผ่าอาศัยอยู่จริงๆตามที่สื่อบอกหรือป่าว งานนี้ยกให้คนที่เขามีความรู้จะเหมาะกว่า"
"แล้วใครคะ คนที่มีความรู้นั่น"
"ภูมิ..." ทรงพลสะดุดแค่นั้นเมื่อสังเกตเห็นแววสะดุ้งในดวงตาลูกน้องคนสวยดูเหมือนริชจะมีแผลใจที่ยังไม่สมาน "เอ่อ...ผมลืมถามไปคุณมีอะไรขัดข้องหรือเปล่า ถ้าต้องทำงานร่วมกับเขาอีก"
ริชยิ้มฝืด "ก็ดีสิคะฉันเองก็อยากเจอเขามาสองปีแล้ว"
เคนดูออกว่าอารมณ์ของเธอสะดุดตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ริชเป็นผู้หญิงแกร่งที่ไม่เคยก้มหัวยอมสยบให้ใครง่ายๆเธอพร้อมจะเปิดศึกกับใครก็ได้ ถ้าพบว่ามีความไม่ชอบมาพากลซ่อนอยู่เขาจึงได้แต่หวังว่าเธอคงไม่ปล่อยให้อารมณ์ส่วนตัวเข้ามามีอิทธิพลเหนือความรับผิดชอบในหน้าที่การงาน
"งั้นก็เตรียมตัวกันให้พร้อม"เคนประกาศ "นี่อาจเป็นงานชิ้นสุดท้ายของเราก็จริง แต่ขอให้ทุกคนทุ่มเทกันอย่างเต็มที่ ถ้าโชคดีเราอาจจะได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง"
แต่โชคดีไม่มีอีกแล้ว ทรงพลไม่มีโอกาสรู้เลยว่าเขากำลังส่งลูกน้องไปเผชิญหน้ากับความตายที่น่าสยดสยอง
หลังจากได้รับความกระจ่างเรื่องงานชิ้นสุดท้ายริชก็หอบสมบัติส่วนตัวไปโยนใส่ท้ายรถ เธอยอมรับกับตัวเองว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้เธอตกใจไม่น้อยไม่แน่ใจว่าจะมีใครจับพิรุธที่เธอพยายามซ่อนเร้นไว้ได้ไหม จู่ ๆ ก็มีคนเอ่ยชื่อเขาคนนั้นขึ้นมาให้ได้ยินอีกครั้ง ทั้งที่เธอพยายามฝังกลบอดีตไปให้หมด แต่หลายสิ่งหลายอย่างที่หล่อหลอมรวมกันขึ้นมาเป็นคนคนนี้ฝังรากลึกลงในใจจนยากจะลบเลือน ยิ่งได้รู้ว่าจะต้องกลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง เธอก็ยังไม่รู้เลยว่าเมื่อถึงเวลานั้นจะวางตัวต่อกันอย่างไรดี
พอเธอแทรกตัวเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัย นัทก็ตรงเข้ามาหา "วันนี้คุณว่างไหมครับ พอดีเพชรเขาชวนไปหาอะไรกินกันหน่อย"
ริชดูเจตนาของเขาออก รู้ดีว่าช่วงเวลาสองเดือนที่ร่วมงานกันยังน้อยเกินกว่าที่เขาจะกล้าเอ่ยปากขอมีนัดกับเธอตรง ๆ หลังจากที่เคยโดนเธอปฏิเสธไปแล้วครั้งหนึ่ง เขาจึงอาศัยความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างเธอกับเพชรเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ และนี่คงเป็นโอกาสสุดท้ายของเขาแล้วอย่างไรก็ตาม วันนี้ประตูหัวใจของเธอยังไม่พร้อมเปิดต้อนรับใคร
"ตามสบายค่ะ" เธอพยายามสุภาพที่สุดเพื่อถนอมไมตรีของเขา "ฉันกลับไปเตรียมตัวเดินทางดีกว่า"
นัทซ่อนเร้นความผิดหวังไว้ได้อย่างดีเยี่ยม งั้นอีกสามวันเจอกันครับ"
ริชเคลื่อนรถออกไปช้า ๆ ทิ้งนัทให้ยืนละล้าละลังอยู่กลางลานจอดรถเพียงลำพัง เขาแสดงออกอย่างเปิดเผยหลายครั้งหลายหนว่าชอบเธอ อยากอยู่ใกล้ชิดเธอ แต่เธอจะถอยออกมาอยู่ตรงจุดที่เรียกว่าเพื่อนร่วมงาน ไม่ใกล้และไม่ไกลเกินไปกว่านั้น ทั้งที่เขาก็เพียบพร้อมทุกสิ่งสรรพในแบบที่ผู้หญิงทุกคนต้องการ แต่หัวใจของเธอต่างหากที่ยังไม่พร้อมจะมีคนใหม่ และอดไม่ได้ที่จะเอาเขาไปเปรียบกับภูมิ ภาคภพ
แต่เขาคนนั้นกลายเป็นอดีตไปแล้ว ตั้งแต่ย้ายไปทำงานที่กรมประมงจังหวัดหนองคาย เขาก็หายตัวไปเหมือนตายจากกันไม่มีแม้แต่จดหมายหรือโทรศัพที่ติดต่อกลับมาสักครั้ง ทิ้งความสัมพันธ์ที่กำลังไปกันได้ด้วยดีให้ขาดสะบั้นลงอย่างไม่มีเยื่อใย จนทุกวันนี้เธอยังไม่เข้าใจเลยว่าเรื่องราวระหว่างเธอกับเขามันจบลงตรงไหน
"ท่าทางคุณคงไม่เคยโดนสาวปฏิเสธนัดมาก่อนละสิ" เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลัง
นัทหันไปมอง เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเพชรเข้ามายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไรนี่ฉันหม่อลอยถึงขนาดนั้นเซียวหรือ แต่ก็ถือเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้สอบถามอะไรบางอย่าง เพระเพชรกับริชเป็นเพื่อนสนิทที่คบหากันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ไม่เคยมีอะไรที่คนหนึ่งรู้แล้วอีกคนไม่รู้ "เพื่อนร่วมงานของเราอีกคนเป็นใครครับ ดูเหมือนเขาเคยมีประวัติกับที่นี่มากทีเดียว"
เพชรหันไปมองรถของริชที่แล่นออกไปสู่การจราจรบนท้องถนนคล้ายกับจับนัยซ่อนเร้นของคำถามได้ "น้องชายพี่เคน เคยมาช่วยงานอยู่พักหนึ่ง เลยมีโอกาสสร้างตำนานรักกับริช แต่พอย้ายไปเป็นนักวิชาการประมงที่หนองคายก็หายเงียบไปเลย ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาสองคนมีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า"
ตอนที่อดีตนายจ้างหมาด ๆ เอ่ยชื่อนักวิชาการประมงคนนี้ขึ้นมา นัทสังเกตเห็นริชสะดุ้งเหมือนถูกสะกิดแผลใจ ทำให้เขาอยากรู้จักเจ้าของชื่อนี้ให้มากขึ้น "แล้วนิสัยใจคอของเขาเป็นอย่างไรครับ"
"อีกสามวันคุณก็รู้เองละ" เพชรตัดบทเหมือนไม่อยากยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่น "เราไปหาเหล้ากินกันดีกว่า ผมรู้จักร้านบรรยากาศดี ๆ อยู่ร้านหนึ่ง
"ผมกำลังจะชวนคุณอยู่พอดีเลย" นัทตอบตกลงอย่างไม่ลังเล หลังจากเอาชื่อเพชรไปเเอบอ้างเมื่อสักครู่ เขาเหมือนถูกจับได้ไล่ทัน แผนการสร้างความสัมพันธ์จึงล้มเหลวไม่เป็นท่า
ขณะพาเพชรเดินไปที่รถยนต์ของเขา นัทพยายามวาดมโนภาพขึ้นด้วยข้อมูลที่ล้วงมาได้เพียงน้อยนิด แต่ยิ่งได้เห็นภาพของภูมิ ภาคภพ ชัดเจนมากขึ้นเท่าไร ลางสังหรณ์ก็ย้ำเตือนว่าเขากำลังจะพบคู่แข่งคนสำคัญเข้าแล้ว และไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย
ผู้แพ้อย่าเป็นเราเลยนะ เขาภาวนาในใจ เดิมพันครั้งนี้สูงเกินไป
เมื่อคนขับรถตู้ที่เช่ามาหาที่จอดรถได้ ริชก็กระโดดลงไปบิดตัวยึดเส้นยึดสายคลายความเมื่อยล้าจากการเดินทางไกลที่น่าเบื่อหน่าย ก่อนจะหันไปช่วยเพื่อนร่วมงานทั้งสองขนสัมภาระจากท้ายรถตู้ลงมากองบนสนามหญ้าหน้าตึกหลังใหญ่ ตัวหนังสือบนป้ายขนาดใหญ่หน้าตึกหลังนั้นเขียนบอกไว้อย่างชัดเจนว่าที่นี่คือจุดหมายของการเดินทาง ที่ว่าการอำเภออันดา
"นัดพี่ภูมิไว้กี่โมงล่ะ" เพชรร้องถามขณะยกกระเป๋าใบสุดท้ายลงมาจากท้ายรถตู้สีขาว
"บ่ายโมงตรง" นัทดูนาฬิกาข้อมือ "เหลืออีกสิบห้านาที"
งั้นเราไปหาอะไรกินกันก่อนเถอะ ฉันชักหิวแล้ว" ริชบอก
"ไม่รอพี่ภูมิก่อนหรือ" เพชรทักท้วง "อีกสิบห้านาทีเองนะ"
"ไม่ต้องรอให้เสียเวลาหรอก คงอีกนานกว่าเขาจะมา รายนั้นน่ะสายประจำ" ชลดาตอบเสียงเด็ดขาด เธอไม่เคยมั่นใจอะไรมากเท่านี้มาก่อนเลยพอคว้ากระเป๋าขึ้นสะพายบ่าได้ เธอก็ก้าวฉับ ๆ ข้ามไปอีกฟากหนึ่งของถนนก่อนจะชะงักเท้ากึก เบื้องหน้าเธอปรากฎภาพที่น่าพิศวงงุนงง
"อะไรกันนั่น ...
...โปรดติดตามตอนต่อไป...
...serpent king...
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments