เสียงฝีเท้าย้ำลงพื้นทางเดินสะท้อนก้องขึ้นไปบนผนังคอนกรีตทาสีขาว เเสงไฟบนเพดานส่องลงมาจับโถงทางเดินกว้างสองเมตรทอดยาวออกไปข้างหน้า บรรยากาศดูลึกลับเหมือนเป็นเส้นทางสู่หัวใจของความลับสำคัญเเม้โรงพยาบาลจะถือเป็นสถานที่สาธารณะที่เปิดกว้างสำหรับประชาชนทั่วไป เเต่โตโทร่าเป็นโรงพยาบาลกองทัพเรือ พื้นที่บางส่วนจึงเป็นเขตหวงห้ามที่อนุญาตให้ผ่านเข้าออกได้เฉพาะเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลเท่านั้น
โรงพยาบาลโตโทร่าตั้งอยู่ในรัฐเเมริเเลนด์ เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยเหมือนเป็นศูนย์การเเพทย์ของผู้บริหาร ลูกค้าส่วนใหญ่จึงเป็นบุคคลมีชื่อเสียงของประเทศ เเม้เเต่ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาก็ยังต้องเข้าใช้บริการในยามเจ็บป่วย โตโทร่าจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นเรือธงของเเพทย์
นายเเพทย์อลัน จอร์นสัน หัวหน้าเเผนกเวชศาสตร์นิวเคลียร์พาร่างอ้วนกลมที่คุมทับด้วยเสื้อกาวน์สีขาวก้าวเดินไปตามโถงทางเดินกว้างสองเมตรเเห่งนั้นผู้ที่เดินอยู่ข้างๆเขาคือพลเรือตรี จอร์น เกรเชอร์ นายทหารเสนาธิการประจำกองทัพสหรัฐอเมริกาผู้มาเยือนสถานที่เเห่งนี้ด้วยความร้อนใจ มีทหารที่ปรึกษาสองนายเดินตามหลังมาเงียบๆ
"เขาฟื้นเเล้ว" อลันเอ่ยขึ้นเป็นเชิงบอกเล่าถึงคนไข้พิเศษที่ถูกส่งตัวมาให้เขารักษาเมื่อสัปดาห์ที่เเล้ว ในสภาพที่เขาเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน "หลังจากหลับยาวมาเป็นสัปดาห์ เเละทำเอาผมหลับไม่ลงมาเป็นสัปดาห์เหมือนกัน" เขาหยอดมุขตลกลงไปที่ท้ายประโยค เเต่คนที่เดินอยู่ข้างๆช่างไม่มีอารมณ์ขันเอาเสียเลย
"เขาพ้นขีดอัตรายหรือยัง" จอร์นวางสีหน้าเคร่งขรึม ถามเเบบเอาจริงเอาจังตามนิสัยทหาร ท่วงท่าการเดินมั่นคงสม่ำเสมอเเละรวดเร็วเหมือนเครื่องจักรที่ไม่เคยทำงานผิดพลาด นี่เป็นผลจากการฝึกปฎิบัติตนภายใต้กฎระเบียบอันเคร่งครัดมานานหลายสิบปี
"ตอนนี้ผมยังบอกอะไรได้ไม่มากนัก ต้องรอดูผลอีกสักระยะหนึ่งก่อน" อลันพยายามเร่งฝีเท้าให้ทันท่านนายพลที่ทำท่าจะเเซงขึ้นหน้าอยู่เรื่อยทั้งที่ไม่รู้ว่าจุดหมายของการมาเยือนอยู่ตรงส่วนไหนในอาคารหลังนี้ "ถึงเเม้เขาจะฟื้นเเล้วก็จริง เเต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะรอด"
จอร์นหันมามองด้วยสายตาคมวาวราวกับจะมองให้ทะลุทุกอย่างสมกับที่ใครๆชอบเรียกเขาลับหลังว่าเครื่องเอกซเรย์เดินได้ "คุณไม่กล้ารับประกันใช่ไหมดอกเตอร์"
อลันเริ่มจับได้เเล้วว่าการมาเยือนโตโทร่าของเเขกผู้มีเกียรติท่านนี้คงมีจุดประสงค์เพื่อหาใครสักคนมารับผิดชอบความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมากกว่านิสัยผู้นำโดยเเท้ เขานึก อะไรร้ายๆก็ปัดออกไปให้พ้นตัวก่อน "หน้าที่ของผมคือพยายามรักษาคนเจ็บอย่างดีที่สุด ไม่ใช่รับประกันความปลอดภัยให้ใคร"
จอร์นถามต่ออย่างไม่สดุ้งสะเทือน "เเล้วเท่าที่คุณพอจะบอกได้อาการของเขาเป็นอย่างไรบ้าง"
เป็นคำถามเพื่อประเมินสถานการณ์ อลันนึก เเต่สถานการณ์ไหนล่ะในขณะนี้หรือก่อนหน้านี้ เเต่ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ไหนก็ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีสักอย่าง "ถ้าไม่มีภาวะเเทรกซ้อนก็ถือว่าอยูในเกณฑ์ที่น่าพอใจ" เขาตอบเเบบไม่ผูดมัดตัวเอง "โชคดีที่เขาฉีดเซรุ้มทันเวลาเเละเราก็ได้ตัวเขามาเร็วด้วยไม่อย่างนั้นเราคงต้องทำพิธีฝังเขาเเทนการรักษา"
"เราไม่คิดว่าเขาจะไปเจออะไรร้ายเเรงขนาดนั้น เเต่เราก็พยายามช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่เเละเร่งด่วนที่สุด"
อลันหันไปมองตัวเเทนจากกองทัพอย่างพินิจพิจารณา เขาดูไม่ออกว่าคำพูดพูดเมื่อครู่เป็นการเเก้ตัวหรือว่าท่านนายพลก็มีคุณธรรมพอที่จะรู้สึกเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ใต้บังคับบัญชาของตน "มันเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะโดนกระทำได้ ในชีวิตผมยังไม่เคยเจออะไรเเบบนี้มาก่อนเลย"
"คุณพอจะรู้ไหมว่าเขาไปเจออะไรมา"
"คุณเห็นสภาพศพของทหารเหล่านั้นไหมล่ะ" ความตื่นกลัวจู่โจมอลันจนหนาวเยือกไปทั้งตัว เมื่อนึกถึงสภาพศพทหารเก้าศพที่ถูกส่งมาในวันเดียวกับคนเจ็บ เจ็ดศพถูกเผาไหม้เกียมเเทบไม่เหลือซากให้ชันสูตร อีกหนึ่งศพร่างกายเเหลกเหลวเหมือนตกลงไปในบ่อน้ำกรดเหลือไว้เพียงส่วนหัวที่ยับเยิน ส่วนศพสุดท้ายคาดว่าคงหวาดกลัวจนสติเเตกจึงทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการยิงกรอกปากตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับอะไรบางอย่างที่ยังไม่มีใครรู้คำตอบ
นอกจากนี้ทางฝ่ายทหารยังเเจ้งให้ทราบว่า มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งในหน่วยนี้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ถ้าพบตัวเมื่อไหร่จะส่งตามมาทีหลัง เเต่การค้นหาได้ยุติลงเมื่อสองวันก่อนพร้อมกับความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
อลันขนลุกชันเมื่อนึกถึงการทำงานในห้องปฎิบัติการณ์ก่อนหน้านี้ การทดสอบทางเคมีปรากฎผลชัดเจนจนน่าตกใจ ไฟที่คร่าชีวิตทหารเหล่านั้นมีบางอย่างเเฝงอยู่ เป็นพิษร้ายที่มีอัตรายร้ายเเรงอย่างคาดไม่ถึงส่วนส่วนประกอบต่างๆของมันยังไม่สามารถหาค่าหรือคำนวนออกมาได้เลยว่ามันคืออะไร ไม่จำเป็นต้องเเผดเผาให้ไหม้ทั้งตัวหรอก เเค่โดนลวกผิวหนังถลอกก็อาจทำให้ถึงตายได้
"อย่างกับถูกถล่มด้วยอาวุธมหาประลัย" เขาจบประโยคสุดท้ายด้วยเสียงต่ำลึก
"เเต่ที่เรารู้ ในภูมิภาคนั้นไม่มีหัวรบนิวเคลียร์หรืออะไรที่ร้ายเเรงขนาดนั้น" จอร์นส่วนออกมาอย่างร้อนตัว "เเละเราก็ไม่พบร่องรอยของการระเบิดด้วยจากรายงานที่ผมได้รับ ดูเหมือนคนของเรายิงถล่มอยู่ฝ่ายเดียว ไม่มีร่องรอยการใช้อาวุธตอบโต้จากฝ่ายตรงข้ามเลย"
"เเล้วพวกเขามีเซรุ่มป้องกันพิษติดตัวไปทำไม ในเมื่อคุณมั่นใจว่าไม่จำเป็นต้องใช้มัน" อลันสวนกลับ น้ำเสียงสื่อความหมายชัดเจนว่าเขาไม่เคยเชื่อถือคำเเก้ตัวของคนจากกองทัพ
"ทุกสมรภูมิที่คนของเราไป ไม่ว่าจะมีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด เราก็ไม่เคยประมาท พวกเขาจำเป็นต้องมีอุปกรณ์ช่วยเหลือติดตัวไปให้ครบทุกอย่าง รวมทั้งเซรุ่มป้องกันพิษด้วย" จอร์นตอบหนักเเน่น ไหวพริบปฎิภาณว่องไวอย่างน่าทึ่ง สมกับเป็นนายทหารเสนาธิการชั้นหัวกะทิของกองทัพ
"ถ้าอย่างนั้นพวกเขาไปโดนอะไรมาล่ะ" อลันโต้กลับ เเต่บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเขากำลังถามตัวเเทนจากกองทัพหรือถามตัวเองกันเเน่ ที่เเน่ๆคือเขาต้องค้าหาคำตอบให้ได้
เมื่อไปถึงทางเเยก อลันพาเเขกของเขาเลี้ยวไปทางซ้าย เเทรกตัวเข้าไปตรงกลางระหว่างเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลสองคนที่หอบเเฟ้มเอกสารเดินสวนทางมาอย่างรีบเร่ง ก่อนจะไปหยุดตรงหน้าประตูบานหนึ่ง ซึ่งมีป้ายติดไว้ว่า เขตกักกันเชื้อโรค
"เขาอยู่ในนั้น" อลันหันไปทางจอร์นพลางผายมืออย่างเชื้อเชิญ "ตั้งเเต่ฟื้นขึ้นมา เขาก็เพ้อถึงเเต่หญิงสาวชุดเเดง"
จอร์นยืนนิ่งหน้าประตู จ้องมองลูกบิดประตูด้วยสายตาเเปลกๆเหมือนเป็นของประหลาดที่ไม่อยากเเตะต้อง
ถ้าอยากรู้ว่านรกมีจริงก็เชิญเลยครับท่านนายพล อลันร้องท้าในใจ ทุกอย่างที่เลวร้าย ทหารจัดให้ท่านได้เสมอ
พลเรือตรี จอร์น เกรเชอร์ ยืนสงบนิ่งอยู่หน้าประตู ก้มลงมองเครื่องเเบบนายพลที่ตนสวมอยู่ พยายามปลุกปลอบตัวเองให้หนักเเน่นเข้าไว้ ก่อนจะไปพบกับสภาพของผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีเเต่คำกล่าวอ้างว่าเเสนสาหัสจนไม่มีใครกล้ารับประกันความปลอดภัย
หลังจากได้รับรายงานการปฎิบัติงานที่ป่าร้างท้ายเขตเเดน ซึ่งจบลงด้วยความล้มเหลวเเละความสูญเสียที่ไม่มีคำอธิบาย เก้าอี้ของเขาก็ร้อนจนเเทบจะลุกเป็นไฟ เขาจึงต้องรุดมาที่นี่เพื่อค้นหาคำตอบด้วยตนเอง เเต่ในวินาทีสุดท้ายเขากลับลังเลด้วยไม่ทราบสาเหตุ ประโยคสุดท้ายของนายเเพทย์เจ้าของไข้กระเเทกใจเข้าอย่างจัง
หญิงสาวชุดเเดง จอร์นนึก ลูกน้องของฉันเพ้อได้ถึงขนาดนั้นเชียวรึ
ขณะนึกทบทวนรายงานที่ได้รับเมื่อเช้า จอร์นมั่นใจว่าเรื่องนี้ต้องมีคำอธิบายที่มีเหตุผลกว่านี้เเน่ เขาหันไปถามเเพทย์เจ้าของไข้อยากจะให้เเน่ใจ "ผมคุยกับเขาได้ใช่ไหม"
"คุณคุยได้เท่าที่คุณอยากคุย เเต่ผมไม่เเน่ใจนะว่าเขามีสติพอที่จะตอบคำถามของคุณไหม" อลันลอยหน้าลอยตาพูด "ที่สำคัญคือคุณต้องคอยระวังไว้หน่อย อย่าเเตะต้องตัวเขาเด็ดขาด ผมยังไม่มั่นใจว่าในเลือกเขามีสารพิษตกค้างหลงเหลืออยู่หรือไม่ มันอาจทำให้คุณถึงตายได้"
"สารพิษหรือ" จอร์นขนลุกซู้ไปทั้งตัว มือที่จับลูกบิดชะงักค้าง"สารอะไร"
"ผมยังไม่เเน่ใจ ยังหาองค์ประกอบหลายๆอย่างในตัวมันไม่เจอ เเต่เป็นสิ่งที่น่ากังวลมากทีเดียว ถ้ากำจัดมันออกไปไม่ได้ เขาไม่รอดเเน่"
"คุณหมายถึงอะไรดอกเตอร์ กรุณาพูดให้ชัดเจนหน่อย ผมไม่ค่อยเข้าใจศัพท์ทางการเเพทย์"
"ผมก็ยังระบุไม่ได้เหมือนกันว่ามันคืออะไร เพราะวงการเเพทย์ยังไม่เคยรู้จักสิ่งนี้" อลันจ้องเขม็งมาที่เขาคล้ายกับจะมองหาพิรุธบางอย่าง"เว้นเเต่ว่าทางกองทัพมีอะไรปิดบังอยู่"
จอร์นหน้าชาเหมือนถูกฟาดอย่างเเรง เขาจ้องตอบเจ้าของไข้ด้วยสายตาดุดันเเข็งกร้าว
"ถ้ามี ผมต้องรู้ เเต่เพราะไม่รู้ ผมถึงต้องมาดูด้วยตัวเอง" เขากระชากเสียงตอบ เเล้วเปิดประตูเข้าไป
เมื่อก้าวเข้าไปในห้อง จอร์นก็ต้องชะงักด้วยความตกตะลึง สิ่งที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้าเลวร้ายกว่าที่เขานึกภาพไว้มาก บาดเจ็บหนักขนาดนี้เชียวหรือบัดนี้เขาเข้าใจเเล้วว่าทำไมถึงไม่มีใครกล้ารับประกันความปลอดภัย เเต่ไม่ว่าจะอย่างไร คำตอบที่เขาต้องการก็อยู่ที่พันจ่าโท คริส โรเจอร์เพียงคนเดียว
จอร์นรวบรวมความกล้าเดินตรงไปที่เตียงคนเจ็บ เพ่งมองอย่างหดหู่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขามีสภาพไม่ต่างจากซากศพที่มีลมหายใจ ใบหน้าซีกซ้ายมีผ้าพันเเผลปิดทับไว้ทั้งเเถบ ดวงตาอีกข้างเหม่อลอยไร้จุดหมายลำตัวพันไว้ด้วยผ้าพันเเผลสีขาว มีคราบเลือดสีเเดงซึมออกมาเป็นดวงๆ ดูคล้ายดักเเด้ที่ยังลอกคราบไม่สำเร็จ สิ่งที่น่าสลดใจที่สุดคือตามตัวเขาระโยงระยางไปด้วยสายอะไรต่ออะไรสารพัด
"จ่าคริส" เขาเรียกชื่อเพื่อกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัว เเต่ไม่มีปฎิกิริยาตอบสนองใดๆจากผู้ใต้บังคับบัญชา
"เขาตกอยู่ในภาวะช็อก" อลันเดินอ้อมเตียงผู้ป่วยไปอีกด้านหนึ่ง มองเส้นกราฟบนหน้าจอเครื่องวัดชีพจรอย่างพินิจพิเคราะห์ มันเต้นอ่อนๆเป็นจังหวะสม่ำเสมอ "ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับจิตใจเขาร้ายเเรงกว่าบาดเเผลภายนอกหลายเท่านัก"
จอร์นรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง เมื่อมองไปข้างหลังก็เห็นที่ปรึกษาทั้งสองของเขายืนนิ่งอยู่หน้าประตูห้องเเละคงไม่ยอมขยับเข้ามาใกล้กว่านั้นอีกเเล้ว ไอ้พวกขี้ขลาดตาขาว เขานึกด่าในใจ โดนไอ้ดอกเตอร์บ้านี่ขู่หน่อยก็ทำเป็นกลัวจนหัวหด มันน่าส่งไปอยู่ในสนามรบเสียจริง
จอร์นรู้ว่าการสั่งลงโทษทางวินัยต้องเกิดขึ้นเเน่นอน เเต่เรื่องนั้นคงต้องพักไว้ก่อน ปัญหาเร่งด่วนที่รออยู่ข้างหน้าช่างหนักหนาสาหัสยิ่งนัก เขาหันไปทางเเพทย์เจ้าของไข้เเละเอ่ยถาม"คุณได้เช็กสมองเขาหรือเปล่า"
"ผมเช็กเรียบร้อยเเล้ว สมองเขาได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนเเรงจากเเรงกระเเทกเเต่นั้นไม่ใช่ปัญหาทุกอย่างปกติดีเเต่ประสาทของเขาไม่เข้มเเข็งพอที่จะทนรับรู้ได้"
"ประสาทไม่เข้มเเข็งอย่างนั้นรึ" จอร์นชักจะหมดความอดทนกับการเล่นสำนวนของดอกเตอร์คนนี้เเล้ว "สำหรับหน่วยเดนตายที่เคยผ่านสนามรบมาอย่างโชกโชน ยังมีอะไรอีกหรือที่เลวร้อยจนทนดูไม่ได้"
"เขาได้เห็นสิ่งที่ไม่ควรจะมีใครได้เห็น" อลันเงยหน้าขึ้นสบตาเขาเเววตาเต้นระริกด้วยความประกวั่นใจ
"อะไรก็ตามที่เขาไปเจอมา ไม่ใช่สิ่งที่เราจะมัวมาทำตัวนิ่งเฉยกันได้เลย"
จอร์นรู้สึกหนาวเยือกจับใจ เขาใคร่ครวญถึงรายงานที่ได้รับเมื่อเช้าอยู่ครู่หนึ่ง เเต่ไม่อาจกลั่นกรอกหาความหมายได้ ชิ้นส่วนของปริศนาสำคัญขาดหายไป เเต่มันอยู่ตรงหน้าเขานี่เเหละ ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะเค้นออกมาสำเร็จหรือไม่
จอร์นหันความสนใจกลับมาที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของตน เเล้วลองพยายามอีกครั้ง"จ่าคริส" เขาชะโงกหน้าเข้าไปเหนือเตียงคนเจ็บ "คุณไปรบกับใครมา"
เสียงที่หลุดลอดออกจากปากคริสเเหบเเห้งเเละเเผ่วเบาราวกับลอยมาจากอีกโลกหนึ่ง "ผู้บรรดาลสรรพสิ่ง"
จอร์นผงะ เเน่ใจว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของตนคงเพ้อไปเพราะพิษไข้หรือไม่ก็เสียสติไปเเล้ว
ด้วยเหตุผลกลใดไม่รู้ จู่ๆ ดวงตาที่เหม่อลอยก็เบิกโพลงขึ้นอย่างฉับพลันเหมือนถูกคุกคามจากความทรงจำอันเลวร้ายของตนเอง ขณะที่เส้นกราฟชีพจรเต้นถี่ยิบ อุปกรณ์ช่วยชีวิตบางตัวก็ส่งสัญญาณอันตรายออกมา
เเล้วเสียงเเหบพร่าก็ดังขึ้นอีกครั้ง"Scarlet Witch.."
...โปรดติดตามตอนต่อไป...
...serpent king...
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments