เปลือกตาของฉินหยางขยับไปมาก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ ภาพที่เขาเห็นยังคงพร่ามัวไม่สามารถมองสิ่งใดได้ชัดเนื่องจากหมดสติไปเป็นเวลานาน ก่อนดวงตาของเขาจะเริ่มค่อย ๆ ปรับสภาพและเริ่มมองเห็นสิ่งรอบข้างเเจ่มชัดขึ้นอย่าง ช้า ๆ เขากลอกดวงตาไปมามองบริเวณโดยรอบก่อนจะจ้องมองไปยังปลายเท้าตัวเองพบว่าตอนนี้ ร่างกายโปร่งใสของเสวี่ยอวี๋กำลังใช้ผ้าทำบางอย่างกับร่างกายของเขาที่กำลังเปลือยเปล่าท่อนบนอยู่
"เฮ้ย!!!...จะ..เจ้าจะทำอะไรข้าหน่ะ.?...ป๊อง!!!
โอ้ยย เจ็บ ๆ ๆ!! "
ฉินหยางสะดุ้งตกใจผละตัวถอยหลังจนหัวโขกเข้ากัยผนังถ้ำอย่างจัง เขาเอามือหนึ่งปิดบังแผงอกของตัวเองไว้ อีกมือก็กุมหัวร้องโอดครวญออกมาด้วยความเจ็บปวด
"เหอะ!! เจ้าตื่นตระหนกอะไรของเจ้ากัน..ข้าน่ะรึจะทำอะไรเจ้า ข้ากำลังดูแลเจ้าอยู่ต่างหากไม่เห็นรึ??"
เสวี่ยกล่าวด้วยสีหน้าระอาเขายังคงปฏิบัติกับฉินหยางเหมือนเดิมดังเช่นวันแรกที่พบกัน ราวกับเรื่องราวก่อนหน้าไม่มีอันใดเกิดขึ้น เขาตัดสินใจที่จะไม่บอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฉินหยางได้รับรู้ เพราะในตอนนี้เขาทำได้แค่เพียงรอเท่านั้น รอวันที่ทุกอย่างจะเป็นไปในทิศทางของมัน หากเขาตัดสินใจบอกถึงตัวตนอีกตัวตนหนึ่งของฉินหยางในอดีต อาจจะทำให้โชคชะตาระหว่างทั้งสองเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้งเพราะเช่นนั้นเขาจึงตัดสินใจรอคอยให้จิตวิญญาณในอดีของฉินหยางหลอมรวมกับร่างจุติของเขาในตอนนี้ด้วยตนเอง
"ดูแลข้า? เจ้างั้นรึ?"
"ถ้าไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใคร? เจ้าคิดว่ามีคนอื่นอยู่ในนี้อีกงั้นรึ?"
น้ำเสียงของเสวี่ยอวี๋ฟังดูประชดประชันเล็กน้อย เขาผละตัวลุกยืนเอามือกอดอกด้วยสีหน้าบึ้งตึง
ฉินหยางเห็นดังนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีเขายันตัวลุกขึ้นก่อนพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนขึ้นกว่าปกติ 3 ส่วน ว่า..
"เอ่อ..เสวี่ยอวี๋..ข้า...ข้าขอขอบคุณที่เจ้าช่วยดูแลข้า ที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้ข้าแค่หยอกเจ้าเล่นเท่านั้น"
"เหอะ..ขอบคุณข้างั้นรึ? แต่ก็เอาเถอะครั้งนี้ข้าจะรับไว้ก็แล้วกัน"
เสวี่ยอวี๋แอบหันหน้าไปอมยิ้มก่อนจะพูดต่อว่า
"เจ้าหายดีแล้วงั้นรึ?
"อื้ม ข้าหายดีแล้ว..แต่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันข้าจำได้ว่าตอนนั้นข้าต่อสู้อยู่กับงูเหลือมเขาเดียวอยู่ และข้าได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก ตอนที่ข้าโดนบอลสายฟ้ายิงใส่ตอนนั้นข้าเองก็คิดว่าคงไม่รอด เป็นเจ้างั้นสินะเสวี่ยอวี๋ที่ช่วยข้าเอาไว้"
ฉินหยางยังคงมีใบหน้างุนงงและไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
"อะ..อื้ม..ข้าเป็นคนช่วยเจ้าไว้เอง ในตอนนั้นเจ้าต่อสู้กับงูเหลือมเขาเดียวที่ยกระดับเป็นสัตว์วิเศษระดับ 2 ชั้นกลาง ทำให้เจ้าตกเป็นรองและการที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าเจ้าฝืนใช้จิตสัมผัสและพลังปราณเกินขีดจำกัด ร่างกายของเจ้าจึงแบกรับภาระไม่ไหวจึงหมดสติไป แต่การที่เจ้าฟื้นขึ้นมาได้เร็วขนาดนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อจริง ๆ ข้านึกว่าเจ้าจะหมดสติไปราว 3 วันเสียด้วยซ้ำ"
เสวี่ยอวี๋พูดเรื่องโกหกปนเรื่องจริงเพื่อปิดบังแต่ความจริงแล้วที่เขารอดออกมาจากการโจมตีของงูเหลือมเขาเดียวเป็นเพราะตัวตนของเขาอีกหนึ่งในอดีตที่หลับไหลอยู่ในร่างกายของเขาตื่นขึ้นมา
"เป็นเช่นนั้นเอง เช่นนั้นข้าต้องขอบคุณเจ้ามาก"
ฉินหยางกล่าวขอบคุณด้วยความทราบซึ้งจากใจ
"เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า เพราะนั่นมันเป็นสิ่งที่ข้าต้องทำอยู่แล้ว"
พูดถึงตรงนี้เสวี่ยก็เงียบไปก่อนจะพูดต่อว่า
"เอาเถอะเจ้าไปพักผ่อนได้แล้วข้าเองก็คงต้องกลับไปฟื้นฟูพลังเช่นเดียวกัน"
โดยไม่รอให้ฉินหยางตอบอันใดร่างของเสวี่ยอวี๋ก็เรืองแสงสว่างวาบก่อนจะหายลับไป
"ดะ..เดี๋ยวก่อนสิ..ข้ายังมีเรื่องอยากจะพูดคุยกับเจ้าอีกสักหน่อย..เสวี่ยอวี๋..."
ฉินหยางส่งกระแสเสียงไปหาเสวี่ยอวี๋แต่ก็ไร้สิ่งใดตอบกลับ เขาส่งกระแสเสียงหาอีก 2-3 รอบแต่เสวี่ยอวี๋ก็ยังคงเงียบเช่นเดิม เขาจึงจำต้องตัดใจก่อนจะเดินหาที่เหมาะ ๆ เพื่อพักผ่อนก่อนจะเริ่มการฝึกฝนในวันรุ่งขึ้น
..................................................
ภายในลูกแก้วจิตวิญญาณ...
ณ พื้นที่ว่างเปล่าที่มีเพียงหมอกขมุกขมัวมุมหนึ่งของลูกแก้วจิตวิญญาณ เกิดเเสงสีขาวสว่างวาบขึ้น ปรากฏเป็นร่างกายโปร่งเเสงของเสวี่ยอวี๋ที่ตอนนี้ใบหน้าของเขาแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มที่ไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่ที่พบกับฉินหยาง
เขาเงยหน้ามองไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง สถานที่ที่ไกลแสนไกล ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตเมื่อประมาณ 1,200 ปีก่อน บนยอดเขาที่สูงเสียดฟ้า พื้นที่โดยรอบมองเห็นเพียงเมฆหมอกสีขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา มีชาย 2 คน กำลังต่อสู้กันอยู่กลางอากาศอย่างดูเดือด คนแรกเป็นชายอายุราว ๆ 25-26 ปี ไว้ผมสีดำขลับยาวสลวยประมาณกลางหลัง บนศีรษะประดับด้วยเครื่องทองคำน้อยชิ้น กลางหน้าผากมีสัญลักษณ์รูปพระอาทิตย์ดูโดดเด่นมาพร้อมกับใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาสีดำที่ส่องประกายแวววาวราวกับดวงดาวท่ามกลางจักรวาลอันมืดมิด หากมองดูดี ๆ จะพบว่าชายคนดังกล่าวมีหน้าเหมือนกะนกับฉินหยางไม่มีผิดเพี้ยน
ส่วนชายอีกคนเขาก็คือเสวี่ยอวี๋แตกต่างกันตรงที่ร่างของเสวี่ยอวี๋ในตอนนี้ดูราวกับมารร้ายผู้กระหายเลือดดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลคู่งามกลายเป็นสีแดงฉาน ใบหน้าโหดเหี้ยมและมีกรงเล็บที่ยาวราวกับสัตว์ร้าย ร่างกายของเขาปล่อยไอหมอกสีดำออกมาหมุนวนรอบร่างกายตลอดเวลาซึ่งหมอกดังกล่าวก็คือปราณทมิฬ ปราณที่มีแต่ผู้วิเศษที่ฝึกวิชามารและเข้าสู่วิถีมารเท่านั้นถึงจะมีได้
ทั้งสองต่อสู้และปล่อยพลังโจมตีกันไปมาเกิดเป็นเสียงดังกึกก้องราวกับจะสั่นคลอนทั้งสวรรค์และนรก พลังที่ทั้งสองครอบครองนับว่าแกร่งเกินจะหาผู้ใดเทียบเคียง แต่ดูเหมือนในตอนนี้เสวี่ยอวี๋จะตกเป็นรองอยู่เล็กน้อย
"เสวี่ยอวี๋เจ้ายอมเเพ้เสียเถิดข้าไม่อยากทำร้ายเจ้า"
เสียงสุขุมของชายที่หน้าเหมือนฉินหยางกล่าวขึ้นเขาดูมีสีหน้าลำบากใจไม่อยากทำร้ายร่างกายเสวี่ยอวี๋อย่างที่พูด
"หุบปาก เจ้าไม่ต้องมาเห็นใจข้า ถ้าอยากจะฆ่าข้าก็รีบเข้ามา"
เสวี่ยอวี๋กล่าวขึ้นเสียงดังกังวานราวกับไม่อยากยอมรับสภาพตรงหน้า
"ผิดแล้ว...ข้าไม่ได้อยากจะฆ่าเจ้า ข้าเพียงอยากช่วยเจ้าเท่านั้น"
ชายหนุ่มหน้าตาคล้ายฉินหยางกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าที่แสดงออกถึงความรักและความเป็นห่วงอย่างแท้จริง
"ช่วยข้า? ฉินลู่หยางเจ้าจะอยากช่วยข้าไปทำไมกัน เจ้าอยากจะช่วยข้าเรื่องอันใด ข้าไม่ได้ต้องการความช่วยเหลืออะไรจากเจ้าทั้งนั้น ที่ข้าเป็นอยู่ในตอนนี้ ข้ามีความสุขสุด ๆ ไปเลยล่ะ ฮ่า ๆ ๆ ๆ "
เสวี่ยอวี๋กล่าวตอบด้วยสีหน้าเย้ยหยันก่อนจะหัวเราะออกมาด้วยเสียงชั่วร้าย7
"มีความสุข? ผิดแล้วเจ้าในตอนนี้กำลังทรมานอยู่ต่างหากล่ะ เพราะฉะนั้นข้าถึงจำเป็นต้องช่วยเจ้า"
"หุบปาก!!! ข้า...ข้ากำลังมีความสุข ข้าพึงพอใจกับสิ่งที่ข้ามีในตอนนี้อย่างเจ้าจะไปเข้าใจข้าได้อย่างไร"
เสวี่ยพูดด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวก่อนจะสร้างผลึกน้ำแข็งอันแหลมคมขึ้นมานับพันโจมตีใสชายที่ชื่อฉินลู่หยางตรงหน้า
ชายชื่อฉินลู่หยางเองเห็นดังนั้นก็ขยับมือสร้างบอลเปลวเพลิงนับพันโจมตีสวนกลับในทันที
ตู้ม!! ตู้มม!! ตู้มม!!
เสียงปะทะกันของทั้งสองดังกึกก้องไปทั่วสวรรค์ชั้นฟ้าอีกครั้ง ทั้งสองปะทะกับกระบวนท่านแล้วกระบวนท่าเล่า วิชาเเล้ววิชาเล่า ทั้งสองยังคงต่อสู้ห้ำหั่นกับอย่างดุเดือด แต่ดูเหมือนทุกครั้งเสวี่ยอวี๋จะตกเป็นรองกว่าในทุก ๆ ครั้ง
ผ่านเข้าสู่วันที่ 7 ที่ทั้งสองต่อสู้กัน
"แฮ่ก..แฮ่ก..แฮ่ก"
เสียงหอบหายใจถี่รัวของเสวี่ยอวี๋ดังขึ้น เส้นผมของเขาในตอนนี้พันกันยุ่งเหยิง เสื้อผ้าบางส่วนขาดหลุดรุ่ยเผยให้เห็นร่างบางที่สภาพดูโรยรายิ่ง
ทางฝั่งของชายชื่อฉินลู่หยางก็มีสภาพสะบักสะบอม เสื้อผ้าขาดวิ่นเล็กน้อยแต่สภาพของเขายังคงดีกว่าเสวี่ยอวี๋อยู่หลายส่วน
"เจ้าพอใจแล้วหรือยัง?"
ชายชื่อฉินลู่หยางกล่าวถามขึ้น
"พอใจ? หึ!! ข้าจะพอใจก็ต่อเมื่อข้าได้ฆ่าเจ้า..แฮ่ก..แฮ่ก"
เสวี่ยอวี๋ตะโกนก้องขึ้นด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ ก่อนจะประกบนิ้วเข้าหากันและระเบิดพลังปราณออกมาอย่างบ้าคลั่งจนเสื้อผ้าของเขาโบกสะบัดอย่างรุนแรง พลังปราณโดยรอบเองก็หมุนวนอย่างบ้าคลั่งก่อนเขาจะตะโกนขึ้นว่า..
"เคล็ดวิชาลับต้องห้าม"
"กลืนกินฟ้าดิน!!!"
ครื้นนนน!!!
เสียงภูเขาลูกใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ทั้งสองยืนอยู่สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น เศษดินเศษหินร่วงกราวลงพื้นราวกับห่าฝน สูงขึ้นไปบนศีรษะของเสวี่ยอวี๋มีวงแหวนเวทย์สีดำขนาดใหญ่ปรากฏออกมาก่อนวงเเหวนดังกล่าวจะสั่นสะเทือนและขยายขนาดออกไปไกลสุดลูกหูลูกตาครอบคลุมพื้นที่ราว 300 ลี้ รอบรัศมีที่เสวี่ยอวี๋ยืนอยู่
ไม่นานพลังปราณในบริเวณที่ถูกวงแหวนเวทย์สีดำทมิฬปกคลุมก็ถูกดูดออกมาอย่างบ้าคลั่ง ต้นไม้ ใบหญ้า หรือแม้แต่พืชสมุนไพรต่าง ๆ ที่มีพลังปราณปะปนอยู่ต่างถูกดูดออกมาจนแห้งเหี่ยวโรยรา พื้นที่โดยรอบรัศมี 300 ลี้ ที่เคยมีป่าไม้พืชพันธุ์งอกเงยเขียวชะอุ่มกลับกลายเป็นเหี่ยวเฉาแห้งแล้งราวกับดินแดนแห่งความตายไปในพริบตา
"อ้ากกกกกกกก!!!"
เสวี่ยอวี๋กรีดร้องคำรามออกมาพลังปราณรอบรัศมีที่วงแหวนเวทย์ปกคลุมหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเขาราวกับน้ำป่าไหลทะลัก หลังจากดูดซับพลังปราณโดยรอบเข้าไปร่างกายของเขาก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ผิวที่เคยขาวเนียนเริ่มกลายเป็นสีน้ำตาลคล้ำ เส้นผมสีขาวราวหิมะแปรเปลี่ยนเป็นหยาบกร้าน แผ่นหลังของเขามีปีกสีดำคล้ายปีกของค้างคาวคู่หนึ่งงอกเงยออกมา นัยตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นแนวตั้งราวกับว่าในตอนนี้เขาไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป เขาเรียกกระบี่น้ำแข็งออกมาถือไว้ที่มือข้างขวา ก่อนจะพุ่งตัวเข้าหาฉินลู่หยางด้วยความรวดเร็ว
"อ้ากกกก ฉินลู่หยางเจ้าตายซะเถอะ!!"
เสียงทุ่มหนักราวกับไม่ใช่เสียงของเสวี่ยอวี๋ร้องตะโกนขึ้น
ฉินลู่หยางที่เห็นสถานการณ์ตรงหน้าเห็นดังนั้นก็ไม่ได้ตื่นตระหนกอันใด เขาตั้งนิ้วชี้แหละกลางไว้บริเวณหน้าอกก่อนจะพูดขึ้นเสียงเบาว่า...
"อาภรณ์เพลิงศักดิ์สิทธิ์"
ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็มีเพลิงลุกโหมขึ้น เปลวเพลิงบางส่วนได้แปรเปลี่ยนเป็นเกราะสีเงินแวววาวปกคลุมทั่วร่างของฉินหยาง เส้นผมสีดำขับของเขาปลิวไสวก่อนจะชี้ชันขึ้นเส้นผมสีดำขลับเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวอย่างรวดเร็ว ก่อนเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ จะลุกท่วมเส้นผมในเวลาต่อมา เขาใช้เพลิงหลอมรวมก่อตัวเป็นกระบี่เล่มหนึ่งก่อนจะเข้าปะทะห้ำหั่นกับเสวี่ยอวี๋ที่กลายร่างเป็นเหมือนปีศาจร้ายไปแล้วในตอนนี้
เคร๊ง!!! เคร๊ง!!! เคร๊ง!!!
ทั้งสองตวัดวาดฟันกระบี่ใส่กันไม่ยั้ง เกิดประกายไฟเเลบแปลบปลาบทุกครั้งที่กระบี่ทั้งสองปะทะกัน
ฉึก!! ฉึก!! ฉึก!!
ฉินลู่หยางหมุนตัวหลบการโจมตีก่อนจะหาช่องว่างตวัดกระบี่ในมือจนร่างกายของเสวี่ยอวี๋จะปรากฏบาดแผลและมีเลือดไหลออกมาเป็นทางยาว
อักกก!!
เสวี่ยอวี๋กระอักเลือดมาซ้ำก่อนจะพุ่งตัวถอยหลังเพื่อเว้นระยะจากฉินลู่หยาง ชายหนุ่มนามฉินลู่หยางเห็นดังนั้นก็ไม่ได้ตามเข้าไปโจมตีต่อหรือแต่อย่างใดเขายังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าสงบนิ่งก่อนจะเปิดปากเอ่ยขึ้นว่า
"ยอมแพ้เสียเถอะและกลับไปกับข้า..หากเจ้ายอมกลับไปข้าจะหาทักวิถีทางเพื่อทำให้เจ้ากลับมาเป็นดังเดิมให้จงได้"
ชายชื่อฉินลู่หยางกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนวอนดูเหมือนเขาจะเจ็บปวดใจไม่น้อยที่ต้องทำให้เสวี่ยอวี๋ได้รับบาดเจ็บ
"หุบปาก...ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า..ตายไปซะ"
เสียงทุ้มต่ำของเสวี่ยอวี๋ตะโกนขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยวก่อนจะพุ่งตัวเข้าหาฉินลู่หยางอีกครั้ง
ฉินลู่หยางได้แต่ถอนหายใจและพูดออกมาเสียงเบาอีกครั้งว่า
"บงกชเพลิงศักดิ์สิทธิ์"
ทันใดมันร่างกายของฉินลู่หยางก็มีดอกบัวที่สร้างขึ้นจากเพลิงศักดิ์สิทธิ์ห่อหุ้มเขาไว้ด้านใน
"อ้ากกกก ตายไปซะ"
เคร๊ง!! ตู้มมม!!!!
เสวี่ยอวี๋ที่ตะโกนก้องและง้างกระบี่ฟันลงไปที่กระบุ่เพลิงกลับโดนดีดสะท้อนการโจมตีทำให้เขากระเด็นออกไปไกลจนชนเข้ากับภูเขาเบื้องล่างจนเกิดเป็นหลุมลึก
อักกกก!!!
ครั้งนี้เสวี่ยอวี๋กระอักเลือดออกคำโต ร่างกายของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดิน เขาพยายามยันตัวลุกขึ้นและร้องคำรามไปทางฉินลู่หยางแต่สิ่งที่เขาเห็นตอนนี้ก็ทำให้สีหน้าของเขาซีดเผือด
"บงกชเพลิงศักดิ์สิทธิ์"
"กลีบบงกชเริงระบำ..."
เสียงของฉินลู่หยางดังสะท้อนไปทั่งบริเวณก่อนดอกบัวเพลิงที่ปกคลุมร่างกายของฉินหยางไว้ข้างในจะเริ่มผลิบานออกและหมุนวนอย่างรวดเร็ว มันปลดปล่อยกลีบดอกบัวที่ลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิงออกมาจนสุดคณานับปกคลุมไปทั่วทั้งท้องฟ้าย้อมให้ท้องฟ้าสว่างจ้าด้วยสีของเปลวเพลิง
"นะ...นี่มัน..."
"ตู้ม ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ!!"
กลีบดอกบัวทั้งหมดพุ่งโจมตีเข้าใส่ร่างของเสวี่ยอวี๋ เกิดเสียงระเบิดดังกึกก้องต่อเนื่องราวกับประทัด เสียงของการระเบิดสามารถได้ยินเสียงไปไกลเกิน 500 ลี้ ภูเขาสูงตระหง่านเบื้องล่างพังลงเหลือเพียงแค่เศษซาก
ตู้ม!! แฮ่ก!! แฮ่ก!! แฮ่ก!!
ร่างของเสวี่ยอวี๋โผล่ออกมาจากเศษซากของภูเขา เขาหายใจหอบหนักร่างกายของเขาถูกอาบย้อมไปด้วยเลือดและเต็มไปด้วยบาดแผล ร่างกายของเขาเริ่มซวนเซก่อนจะทรุดเขาหอบหายใจหนักอยู่กับพื้น เขากระอักเลือดออกมาอีกครั้งหนึ่งและทรุดตัวลงนอนหายใจโรยรินอยู่บนนั้น
ฉินลู่หยางปลดอาภรณ์เพลิงศักดิ์สิทธิ์ออกก่อนจะล่อนตัวลงมาจากฟ้าอย่างช้า ๆ มายืนอยู่ตรงหน้าของเสวี่ยอวี๋ สีหน้าของเขาดูกังวลและเป็นห่วงสภาพของเสวี่ยอวี๋ในตอนนี้ จริง ๆ แล้วเขาไม่อยากจะใช้วิธีรุนแรงเช่นนี้แต่ว่า ขืนปล่อยเสวี่ยอวี๋ไว้นานกว่านี้เขาจะถูกมารปีศาจร้ายกลืนกินและเสียความเป็นตัวของตัวเองไปตลอดการ เขาจึงจำใจต้องใช้วิธีที่รุนแรงเช่นนี้เพื่อนำตัวเสวี่ยอวี๋กลับไปรักษา
"เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง"
ฉินลู่หยางกล่าวถามเสวี่ยอวี๋ออกมาด้วยความเป็นห่วง
แค่ก แค่ก แค่ก
เสวี่ยอวี๋ไม่ได้ตอบกลับสิ่งใด มีเพียงเสียงไอจากการสำลักเลือดตอบกลับมาเท่านั้นและดูเหมือนลมหายใจของเขาจะเริ่มแผ่วจากลงไปเรื่อย ๆ
"เสวี่ยอวี๋เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ไหวหรือไม่"
ฉินลู่หยางมีอาการร้อนรนเขากำลังจะเข้าไปประคองเสวี่ยอวี๋ขึ้นมาเพื่อดูอาการแต่ว่า..
ฉึกกก!!!
ฉินลู่หยางถูกกระบี่น้ำแข็งเสียบทะลุไปอีกด้าน มุมปากของเขามีเลือดไหลซึมออกมา แต่สายตาของเขายังคงมองเสวี่ยกังวลและเป็นห่วง
"ฉะ ฉินลู่หยางเหตุใดเจ้าถึงไม่หลบเล่า"
ดวงตาที่เคยกลายเป็นปีศาจร้ายกลับกลายมาเป็นปกติก่อนจะพูดด้วยเสียงที่เกือบจะกลับมาเป็นปกติและพูดขึ้นด้วยเสียงสะอื้นว่า
"เหตุใดเจ้าถึงไม่หลบกัน ข้ารู้ว่าเจ้ามองเห็นการโจมตีของข้าเมื่อครู่..แล้วทำไมเจ้าถึงไม่หลบ"
เสวี่ยอวี๋น้ำตาไหลออกมาตะโกนถาด้วยความไม่เข้าใจราวกับคนที่โดนแทงเป็นตนไม่ใช่ฉินหยาง
"เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องใส่ใจ เจ้าเป็นอย่างไรบ้างบาดเจ็บมากหรือไม่"
ฉินลู่หยางกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มแม้เขาจะยังคงโดนกระบี่เสียบคาอยู่
"ทำไม..ทำไมกันเล่า..ทำไมเจ้าถึงต้องอยากช่วยเหลือข้าถึงเพียงนี้...ทั้ง ๆ ที่เจ้าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ"
"เรื่องนั้น..."
ฉินลู่หยางหยุดเว้นจังหวะไปสักพักก่อนจะยิ้มและมองไปยังใบหน้าของเสวี่ยด้วยสายตาลึกซึ้ง
"เรื่องนั้น...เพราะว่าข้า...รักเจ้า อย่างไรล่ะ"
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 29
Comments
ฟิวแห่งแสงจันทรายามค่ำคืน☆
อัพอีกนะคับ
2023-08-18
1