หลังจากเวลาผ่านไปไม่นานหลงห่าว บิดาของหลงอี้เทียนก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ คนอื่น ๆ ที่ยืนดูเหตุการณ์ตรงหน้าก็ต่างพากันเผยสีหน้าแปลกประหลาดระคนดีใจ ต่างไม่คาดคิดว่าเด็กหนุ่ม อายุ 15 ปี ที่พวกเขาคิดว่าเป็นเพียงเด็กไม่รู้จักประมาณตนกลับสามารถรักษาอาการป่วยที่อาจจะพูดได้ว่าไม่มีทางรักษา ให้หายกลับมาเป็นปกติได้
อาการของหลงห่าวบิดาของหลงอี้เทียนค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว ร่างกายของเขาถูกเพลิงศักดิ์สิทธิ์ชำระล้างอวัยวะภายในและกระดูกส่วนต่าง ๆ จึงทำให้ร่างกายของเขามีความบริสุทธิ์และเเข็งแกร่งมากขึ้น ร่างกายของเขากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอีกครั้ง พลังระดับดูดซับลมปราณขั้นที่ 8 ในตอนนี้เองก็อยู่ในระดับสุดปลายของขั้นที่ 8 เหลืออีกเพียงนิดเดียวก็จะสามารถทะลวงระดับต่อไปได้ในอีกไม่ช้านี้
นอกจากนั้นใบหน้าที่เคยเหี่ยวเฉาและหมองหม่นก่อนหน้านี้ก็เริ่มค่อย ๆ ฟื้นสภาพกับมาสดใสและเต่งตึงอีกครั้ง ราวกับได้เกิดใหม่ ฉินหยางเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาค่อย ๆ ถอยออกมาจากวงล้อมโดยไม่ให้คนอื่น ๆ รู้ตัวก่อนจะหาช่องทางกระโดดหลบหนีและหายลับไป
สาเหตุที่เขาต้องทำเช่นนี้ นั่นเป็นเพราะเขารู้ดีว่าสิ่งที่เข้าทำไปก่อนหน้ามันก่อให้เกิดคำถามมากมายตามมาอย่างแน่นอนและเขาเองก็ไม่มีความจำเป็นต้องมานั่งอธิบายเรื่องราวเหล่านี้ให้ใครรับรู้ ในเมื่อเขาได้ช่วยเหลือบิดาของหลงอี้เทียนสำเร็จตามความตั้งใจของตนแล้ว จึงตัดสินใจหลบออกมาเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางไปยังป่ามรณะที่เป็นจุดหมายแรกที่แท้จริงของเขา
"ท่านพ่อ..ท่านฟื้นแล้ว...ท่านฟื้นแล้วจริง ๆ "
หลงอี้เทียนที่อยู่ใกล้ ๆ โผเข้าไปกอดบิดาของตนด้วยความตื่นเต้นดีใจก่อนจะหันหน้ามากล่าวขอบคุณแก่ฉินหยาง
"พี่ชายฉินหยางข้าต้องขอบคุณ....เอ๋ พี่ชายฉินหยางหายไปไหนกันแล้ว"
หลงอี้เทียนที่กำลังจะหันหน้ามากล่าวขอบคุณฉินหยางกลับพบว่าฉินหยางได้หายตัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้ เขาได้แต่ทอดถอนใจด้วยความสำนึกในบุญคุณครั้งนี้และเขาได้สาบานกับตัวเองไว้แล้วว่าหากมีโอกาสได้พบกันอีกครั้งแล้วฉินหยางต้องการความช่วยเหลือใด เขายินดีจะช่วยเหลือแม้จะแลกด้วยชีวิตของตนก็ตาม
คนอื่น ๆ ที่เห็นว่าฉินหยางหายตัวไปโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวก็ดูต่างพากันสับสนและไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในความคิดของทุกคนในตอนนี้มีแต่เรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อจนไม่สามารถประมวลผลได้
ด้านของฉินหยางเขาเคลื่อนตัวหลบหลีกสิ่งกีดขวางไปมาได้อย่างคล่องแคล่ว หลังจากที่เขายกระดับพลังมาอยู่ในขั้นดูดซับลมปราณขั้นที่ 5 สมรรถภาพทางร่างกายของเขาก็เหนือกว่ามนุษย์ทั่ว ๆ ไปจนเทียบไม่ติด เขาสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วจนสายตาของคนทั่วไปไม่สามารถมองตามได้ทัน
เขาเคลื่อนที่หลบหลีกการมองเห็นของทหารรับจ้างจนออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลหลงได้สำเร็จก่อนจะมุ่งหน้ากลับไปยังใจกลางเมืองเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางไปยังป่ามรณะเพื่อฝึกฝนและพัฒนาฝีมือตามจุดหมายเดิมที่ได้ตั้งเอาไว้
"จริงสิเด็กน้อยเจ้าเด็กหนุ่มหลงอี้เทียนคนนั้นเองดูท่าจะไม่ธรรมดาเลยล่ะ"
จู่ ๆ เสวี่ยอวี๋ก็พูดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
"เจ้าจะบอกว่าหลงอี้เทียนเองก็เป็นผู้วิเศษงั้นรึ"
ฉินหยางกล่าวถามกลับเหมือนจะเดาความหมายที่เสวี่ยอวี๋จะสื่อออก
"ถูกต้องดูแล้วรากวิญญาณคงจะใกล้ตื่นเต็มที่แล้ว คิดว่าคงอีกไม่นานนี้และข้ารู้สึกได้ว่ารากวิญญาณที่เด็กนั้นครอบครองเองก็คงจะไม่ใช่รากปราณระดับทั่ว ๆ ไป"
เสวี่ยอวี๋กล่าวตอบ
"เช่นนั้นงั้นรึ นั่นก็น่าจะดีแล้ว จริง ๆ แล้วข้าเองรู้สึกถูกชะตากับคน ๆ นี้อยากบอกไม่ถูก ไม่แน่ในอนาคตอาจมีโอกาสได้พบกับอีกก็เป็นได้"
ฉินหยางพูดพร้อมยกยิ้มบาง ๆ ดูราวกับกำลังครุ่นคิดเรื่องราวบางอย่าง
"เอาล่ะ ข้าว่าคงได้เวลาออกเดินทางไปยังป่ามรณะเสียทีข้าจะต้องรีบฝึกฝนและพัฒนาตัวเองให้เร็วขึ้นกว่านี้"
ฉินหยางส่งกระแสเสียงกล่าวกับเสวี่ยอวี๋ด้วยน้ำเสียงจริงจัง
" อื้ม เช่นนั้นก็ออกเดินทางกันเถอะจากนี้ไปป่ามรณะเองค่อนข้างไกลพอสมควร ออกเดินทางเร็วได้ก็เป็นเรื่องที่ดี
เสวี่ยอวี๋กล่าวตอบด้วยการเห็นด้วย หลังจากนั้นทั้งสองก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก ฉินหยางค่อย ๆ เดินเข้าไปในซอยเปลี่ยวไร้ผู้คนแห่งหนึ่งก่อนจะกระโดดขึ้นไปตามหลังคาบ้านเรือนด้วยความรวดเร็ว
ในตอนนี้ฉินหยางได้ยกระดับจนมีพลังอยู่ในระดับดูดซับลมปราณขั้นที่ 5 แต่ฉินหยางนั้นไม่ใช่ระดับดูดซับลมปราณขั้นที่ 5 ทั่ว ๆ ไป พลังปราณที่เขาแผ่ออกมาในตอนนี้อาจจะทียบได้กับขั้นดูดซับลมปราณขั้นที่ 9 หรืออาจจะเทียบเท่าระดับหลอมรวมขั้นที่ 1เลยก็เป็นไปได้ เพราะฉะนั้นการที่เขาจะสามารถกระโดดไปมาบนอาคาร 4-5 ชั้น นั้นไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลยแม้แต่น้อย
ฉินหยางยังคงกระโดดข้ามไปมาบนหลังคาบ้านเรือนจนเวลาผ่านไปไม่นานเขาก็ใกล้จะถึงประตูทางเข้าเมือง ฉินหยางตัดสินใจหลบซ่อนตัวอยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะแอบลักลอบปีนข้ามกำแพงเมืองและหายลับไป
เหตุผลที่เขาต้องทำเช่นนี้นั่นก็เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาหรือเรื่องวุ่นวายเล็กน้อยที่อาจทำให้เขาเสียเวลาในการเดินทางโดยไม่จำเป็น
หลังจากฉินหยางปีนกำแพงและออกมาจากเมืองได้สำเร็จเขาก็เร่งฝีเท้าเดินทางไปตามแผนที่ในทันที
ฉินหยางเร่งฝีเท้าด้วยความเร็วสูงสุดติดต่อกันมา 2 วัน 2 คืน โดยไม่ได้หยุดพัก ตอนนี้เขาเดินทางมาจนเกือบถึงครึ่งทางของจุดหมายแล้ว เขายังคงเร่งฝีเท้าเดินทางอย่างต่อเนื่องจนเข้าสู่วันที่ 4 จนสุดท้ายเขาก็จำเป็นต้องตัดสินใจหยุดพักเนื่องจากเริ่มใกล้ถึงขีดจำกัดของร่างกายของเขาแล้ว แม้ว่าเขาจะเป็นผู้วิเศษที่ไม่จำเป็นต้องกินหรือดื่มเป็นเวลาหายวัน แต่สุดท้ายเขาก็ยังไม่สามารถก้าวข้ามคำว่ามนุษย์ที่มีขีดจำกัดไปได้
ฉินหยางพักฟื้นอยู่ระยะหนึ่งพลังของเขาก็เริ่มฟื้นคืนกลับมาเขาก็เริ่มเร่งฝีเท้าออกเดินทางต่อทันที
2 วันต่อมาเขาเริ่มเข้าใกล้ถนนหลักที่ผู้คนใช้สัญจรไปมา ส่วนมากมักจะเป็นพ่อค้าและทหารรับจ้างที่คอยคุ้มกันขบวนขนส่งสินค้าข้ามไปยังเมืองต่าง ๆ สาเหตุที่ต้องมีทหารรับจ้างคอยคุ้มกัน เนื่องจากว่าเส้นทางเเห่งนี้มักจะมีโจรคอยดักปล้นสินค้าของพ่อค้าอยู่เป็นประจำและยิ่งไปกว่านั้นเส้นทางแห่งนี้เป็นเส้นทางที่ต้องผ่านบริเวณป่ามรณะที่เป็นเป้าหมายการเดินทางของฉินหยางในตอนนี้และเป็นพื้นที่ที่มีสัตว์ดุร้ายอาศัยอยู่จึงมีอยู่หลายครั้งที่สัตว์ป่าดุร้ายจะออกมาจากป่าและล่าคนที่ใช้เส้นทางนี้กินเป็นอาหาร
ฉินหยางทำทีว่าเป็นเด็กชาวบ้านธรรมดา ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปยังเส้นทางที่คนเหล่านั้นใช้สัญจร ด้านหน้าของเขาในตอนนี้มีกลุ่มทหารรับจ้างที่กำลัง เดินตั้งขบวนเป็นวงกลมยืนล้อมเกวียนขนสินค้าสองคันเอาไว้ สายตาสอดส่องบริเวณโดยรอบด้วยความระมัดระวัง ฉินหยางที่เห็นดังนั้นก็จงใจเดินช้า ๆ เพื่อทิ้งระยะห่างจากกลุ่มทหารรับจ้างเพื่อไม่ใช่เกิดความสงสัยและหวาดระแวง
ฉินหยางก้มหน้าก้มตาเดินอยู่ไม่นานจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงแหวกอากาศของบางสิ่งบางอย่าง ก่อนฉอนหยางจะเงยหน้าขึ้นมาและะพบว่าเป็นลูกธนูดอกหนึ่ง
ฉึก!!
เสียงธนูดอกดังกล่าวปักลงตรงกลางศีรษะของชาที่เป็นหนึ่งในทหารรับจ้างอย่างแม่นยำ คนอื่น ๆ ที่เห็นสถานการณ์ตรงหน้าต่างพากันชักอาวุธออกมาเพื่อป้องกันตัว ก่อนจะมีชายคนหนึ่งที่ดูแล้วน่าจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มทหารรับจ้างกลุ่มนี้ตะโกนก้องขึ้น
"พวกโจรบุก ทุกคนเตรียมพร้อมระวังตัว"
ชายที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มทหารรับจ้างพูดไม่ทันจบก็มีห่าฝนลูกธนูเกือบร้อยปรากฏขึ้นในสายตาของทุกคน
"ฟิ้วว ฟิ้วว ฟิ้วววว!!" "ฉึก!! ฉึก!! ฉึก!!"
เสียงลูกธนูกรีดร้องผ่านอากาศก่อนจะปักลงโดนร่างกายส่วนต่าง ๆ ของทหารรับจ้างทำให้กลุ่มทหารรับจ้างหลายคนได้รับบาดเจ็บจากการลอบโจมตีในครั้งนี้ ซึ่งจริง ๆ แล้วฉินหยางเองก็ตกเป็นหนึ่งในเป้าการโจมตีเช่นเดียวกันแต่เข้าสามารถหลบหลีกลูกธนูทุกดอกที่เข้ามาได้อย่างง่ายดายแต่กลุ่มทหารรับจ้างที่ไม่สามารถหลบหลีกได้ต่างพากันร้องระงมด้วยความเจ็บปวด
หลังจากห่าฝนลูกธนูหยุดลงกลุ่มโจรดังกล่าวก็ปรากฏตัวออกมาเพื่อปิดล้อมเส้นทางเอาไว้ด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
ฉินหยางที่เห็นดังนั้นก็ได้แต่สายศีรษะและบ่นกับตัวเองว่า
"ต่อให้เราไม่เดินเข้าไปหาปัญหา แต่บางครั้งปัญหามันก็เดินมาหาเราเองงั้นสินะ...ถ้าเช่นนั้น...."
หลังจากบ่นพึมพำบางอย่างกับตัวเองจบฉินหยางก็เคลื่อนที่ไปมาอย่างรวดเร็วก่อนในเวลาต่อมาจะได้ยินเสียงร้องโหยหวนของกลุ่มโจรดังระงมไปทั่วบริเวณ สร้างความแตกตื่นปนประหลาดใจให้กับกลุ่มทหารรับจ้างที่ยืนอยู่ด้วยใบหน้าตึงเครียด
ไม่นานเสียงร้องโหยหวนของกลุ่มโจรเหล่านั้นก็เงียบหายไป
ฉินหยางในตอนนี้สามารถจัดการกลุ่มชายฉกรรจ์20กว่าคนได้ด้วยคนเดียวอย่างไม่เสียแรงด้วยซ้ำ
หลังจากที่จัดการกลุ่มโจรเสร็จเรียบร้อยฉินหยางก็เร่งฝีเท้าขึ้นอีกครั้งก่อนหายวับไปจากสายตาทิ้งให้กลุ่มทหารยืนมองสถานการณ์ตรงหน้าด้วยสีหน้าตกใจ
"ดะ เด็กหนุ่มคนนั้นเป็นใครกัน ขะ เขาจัดการกลุ่มโจรพวกนี้ได้ด้วยตัวคนเดียวงั้นรึ นั้นมันเป็นไปได้อย่างไร"
หนึ่งในทหารรับจ้างที่เห็นเหตุการณ์กล่าวออกมาด้วยเสียงติด ๆ ขัด ๆ เขายังคงตกตะลึงและไม่อยากเชื่อกับเหตุการณ์ที่เกินขึ้นตรงหน้าจนเขาคิดว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นเพียงความฝันเสียด้วยซ้ำ
ส่วนฉินหยางในตอนนี้เขากำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วจนเกินเป็นภาพติดตาก่อนจะค่อยชะลอความเร็วและหนัดฝีเท้าลงในที่สุด
"เฮ้ออ...เท่านี้คงพอสินะ..คิดจะทำตัวเงียบ ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาแต่บ้างครั้งปัญหามันก็มาหาโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้สินะ"
ฉินหยางบ่นพึมพำออกมาเสียงเบา
"มันเป็นเรื่องปกติ ยิ่งถ้าเป็นในโลกของผู้วิเศษต่อให้เจ้าจะนั่งนิ่งไม่ทำอะไรปัญหาก็อาจจะเข้ามาหาเจ้าเองแม้ว่าเจ้าอาจจะไม่ต้แงการมันก็ตาม"
เสวี่ยอวี๋ที่อยู่ในไข่มุกจิตวิญญาณได้ยินเสียงบ่นพึมพำของฉินหยางจึงเอ่ยเสริมขึ้น
"เอาล่ะ เราใกล้จุดหมายแรกแล้ว ไม่ไกลออกไปจากนี่มากนักข้าสัมผัสได้ถึง กลิ่นอายพลังปราณจากหลายจุดน่าจะเป็นกลิ่นอายพลังปราณของสัตว์วิเศษไม่ผิดแน่"
"งั้นรึ ถ้าเช่นก็รีบไปกันเถอะ"
ฉินหยางกล่าวตอบและรีบเดินทางต่อในทันที ไม่นานเขาก็พบว่าด้านหน้าขอเขามีป่าทึบแห่งหนึ่งตั้งอยู่ มองจากภายนอกพบว่าป่าแห่งนี้เต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ บางต้นมีขนาดสูงจนเกือบจะเทียบเท่าตึก 10 ชั้นเลยก็ว่าได้
ฉินหยางเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีกเล็กน้อย ไม่นานเขาก็ไปถึงเขตบริเวณรอบ ๆ ป่า เขายืนสำรวจอยู่บริเวณนั้นสักพักพบว่าป่าแห่งนี้เป็นป่ารกทึบ มีต้นไม้นานาพันธุ์งอกเงยทั่วทั้งผืนป่า ภายในป่ามีบรรยากาศมืดสลั่วเนื่องจากต้นไม้ใหญ่คอยบดบังแสงแดดที่สอดส่องลงมา ทำให้ดูวังเวงและเงียบสงัดไม่มีแม้แต่เสียงสัตว์ร้องผิดกับที่เขาได้ยินมาจากเสวี่ยอวี๋ว่าป่าเเห่งนี้เต็มไปด้วยสัตว์วิเศษนานาชนิด ฉินหยางใช้ความคิดอยู่สักพักก็เอ่ยถามเสวี่ยอวี๋ด้วยความสงสัย
"ที่นี่งั้นรึป่ามรณะ เหตุใดมันถึงเงียบผิดกับที่ข้าจินตนาการไว้เช่นนี้"
"เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเจ้าอย่าลืมว่าที่นี่คือป่ามรณะสถานที่ที่อยู่อาศัยของสัตว์วิเศษ และที่เจ้าเห็นว่ามันเงียบสงัดเช่นนี้เป็นเพราะพวกมันรับรู้การมาถึงของเจ้าอย่างไรละ"
เสวี่ยอวี๋กล้าวอธิบายก่อนจะพูดต่ว่า
สัตว์วิเศษนั้นมีสัญญาณการรับรู้ที่เฉียบคมมากพวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีการระมัดระวังตัวเองสูง และนอกจากนั้นสัตว์วิเศษบางตัวแข็งแกร่งถึงขั้นสามารถใช้จิตสัมผัสรับรู้ได้เช่นเดียวกับที่เจ้าและข้าสามารถทำได้ เพราะฉะนั้นในระหว่างที่เจ้าเข้าไปในป่าจงใช้จิตสัมผัสแผ่ปกคลุมไว้ตลอดเวลาเพราะไม่เช่นนั้นแล้วเจ้าอาจได้จบชีวิตอยู่ในที่แห่งนี้ก็เป็นได้"
เสวี่ยอวี๋กล่าวเตือนขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ฉินหยางกลืนน้ำลายดังอึกเขาไม่กล้าประมาทอีกต่อไป เขาปล่อยจิตสัมผัสออกมาในรัศมี 3 ลี้รอบตัวเขาทันที
"เจ้าไม่จำเป็นต้องปล่อยจิตสัมผัสออกไปใกล้ถึงเพียงนั้น เจ้าอย่าลืมว่าเจ้าต้องฝึกฝนอยู่ที่นี่อีกนานและสิ่งที่เจ้าต้องทำคือปล่อยจิตสัมออกมาปกคลุมรอบตัวตลอดเวลาเพราะฉะนั้นยิ่งเจ้าแปล่อยจิตสัมผัสออกไปไกลมากเท่าไหร่ เจ้าก็จะยิ่งหมดแรงเร็วขึ้นเท่านั้น ดังนั้นเจ้าควรปล่อยจิตสัมออกมาในระยะ 4-5 จั้งก็เพียงพอแล้ว"
เสวี่ยอวี๋กล่าวแนะนำอีกครั้ง
ฉินหยางพยักหน้าตอบก่อนจะดึงจิตสัมผัสกลับมาเหลือแค่เพียง 4-5 จั้งตามที่เสวี่ยอวี๋กล่าวแนะนำ
หลังจากที่เขาตั้งสติและสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้ว ก็ตัดสินใจก้าวเท้าเข้าไปข้างป่ามรณะในทันที...
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 29
Comments