ฉินหยางมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความรู้สึกไร้พลังเขาได้สาบานกับตนเองไว้อย่างหนักแน่นว่าเขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นเพื่อไม่ให้ใครสามารถมาทำให้คนที่เขารักต้องเจ็บปวดได้อีก
หลังจากฉินหยางยืนนิ่งมองเหตุการณ์การระเบิดอยู่ไม่นานเขาก็หันหลังวิ่งหลบหนีออกมาจากสถานที่แห่งนั้นมุ่งตรงไปยังอีกทิศทางหนึ่ง เวลาผ่านไป 1 ก้านธูปฉินหยางยังคงวิ่งต่อไปเรื่อย ๆ โดยใช้เส้นทางป่าที่มีต้นไม้คอยบดบังสายตาเนื่องจากเขาเกรงว่าอาจจะยังมีชายชุดคลุมดำสะกดรอยตามมาอยู่
ส่วนทางด้านของเสวี่ยอวี๋ที่พักรักษาตัวอยู่ในไข่มุกจิตวิญญาณเองก็คอยใช้จิตสัมผัสกวาดมองโดยรอบในรัศมี 2 ลี้ รอบตัวฉินหยาง พวกเขาทั้งสองเดินทางติดต่อกันเป็นเวลา 1 วันเต็ม สถานการณ์ที่ผ่านมายังคงปกติ ไม่พบวี่เเววการสะกดรอยตามล่าของชายชุดคลุมดำเหล่านั้นดังที่กังวล
ฉินหยางวิ่งต่อเนื่องไปอีกราว 2-3 ชั่วยาม เขาก็มาหยุดฝีเท้าลงที่บริเวณป่าแห่งหนึ่งซึ่งเป็นป่าที่มีต้นไม้เล็กใหญ่งอกเงยอุดมสมบูรณ์ เขาหันมองซ้ายขวาเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ปลอดภัยก็ผ่อนลมหายใจออกมายาว ๆ เฮือกหนึ่งด้วยความโล่งอก
เนื่องจากว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาต้องคอยระมัดระวังรอบตัวตลอดเวลาจึงทำให้ร่างกายเกิดความนึงเครียด
ฉินหยางนั่งพักลงที่ต้นไม้ต้นหนึ่งก่อนจะนำถุงน้ำที่เหน็บอยู่ข้างเอวออกมาดื่มดับกระหายพร้อมนำแผนที่ออกมาสำรวจดู พบว่าตอนนี้เขาอยู่ไกลจากป่ามรณะซึ่งเป็นเป้าหมายแรกของการเดินทางออกไปไกลพอสมควร หลังจากมองดูแผนที่โดยละเอียดก็พบว่าใกล้ ๆ นี้มีเมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่งตั้งอยู่ทั้งสองจึงมีการเปลี่ยนแผนเดินทางไปยังเมืองดังกล่าวก่อนจะหาทางไปยังป่ามรณะอีกครั้ง
ฉินหยางใช้เวลาอีกราว 2 วัน ก็เดินทางมาจนถึงยังบริเวณด้านหน้าทางเข้าเมือง โดยเมืองแห่งนี้มีชื่อว่าเมือง เฉินตู่ ในตอนนี้เขาอยู่ห่างจากตัวเมืองไม่มากนัก มองเห็นชาวบ้านพ่อค้าและนักเดินทางต่างพากันยืนต่อแถวเพื่อรอเดินทางเข้าเมือง ไม่นานก็มีชาย 2 คนสวมชุดทหารเดินออกมาก่อนจะตรวจตราและอนุญาตให้คนที่มาต่อแถวเดินเข้าเมืองไปทีละคน
ผ่านไปราวหนึ่งกาน้ำชาก็ถึงตาของฉินหยางทหารทั้งสองจ้องมองฉินหยาง ก่อนจะถามคำถามสองสามข้อก่อนจะปล่อยให้ฉินหยางเข้าเมืองไป
หลังจากที่เข้ามาในตัวเมืองได้แล้วฉินหยางมองไปรอบ ๆ พบว่าเมืองเเห่งนี้เป็นเมืองที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่บ้านเรือนดูสะอาดตา มีการจัดระเบียบการสร้างตึกได้เป็นอย่างดี หลังจากมองสำรวจบริเวณโดยรอบได้สักพักเขาก็เดินทางไปตามถนนเส้นหลักเพื่อมองหาสถานที่พักชั่วคราว ระหว่างเดินทางฉินหยางได้ส่งกระแสเสียงสนทนากับเสวี่ยอวี๋เพื่อหาลือถึงเป็นการต่อไป แต่ในระหว่างทางที่เดินอยู่นั้นจู่ ๆ เขาก็เดินชนใครบางคนเข้าจนล้มลงก้นกระเเทกพื้น
"โอ้ย เจ็บ ๆ เจ้าเป็นใครกันเดินไม่ดูตาม้าตาเรือเลยหรือยังไง"
เสียงของชายที่ถูกชนล้มลงร้องโวยวายดังขึ้น
"เอ่อ..พี่ชายข้าขอโทษข้าไม่ได้ตั้งใจ พี่ชายเจ็บตรงไหนหรือไม่"
ฉินหยางเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกผิดชายตรงหน้าของเขาดูเป็นเด็กหนุ่มอายุ 15-16 ปี ไว้ผมยาวสีดำ สวมชุดสีขาว และสวมเสื้อคลุมสีม่วงทับอีกชั้นดูแล้วน่าจะเป็นลูกหลานของตระกูลร่ำรวยตระกูลหนึ่ง
หลังจากที่ฉินหยางเอ่ยขอโทษแต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะยังมีท่าทีไม่พอใจจึงเอ่ยด้วยความหงุดหงิดว่า
"ขอโทษ..ขอโทษแล้วจบงั้นรึ เจ้าไม่รู้หรือไงว่าข้าเป็นใคร"
"ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร ข้าเองก็ได้ขอโทษไปแล้ว แล้วดูท่าเจ้าก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก เช่นนั้นข้าขอตัว"
ฉินหยางตอบกลับน้ำเสียงเรียบเฉยเสียงเริ่มแฝงความไม่พอใจขึ้นมา หลังจากพูดจบเขาก็เตรียมตัวจะก้าวเท้าเดินออกไป แต่เด็กหนุ่มคนดังกล่าวยิ่งเกิดโทสะมากขึ้นและสบถด่าขึ้นว่า
"ขอตัวไอ้เด็กนี่เจ้าคิดว่าเจ้าอยากจะไปก็ไปได้งั้นรึ"
เด็กหนุ่มจะโกนขึ้นพร้อมง้างหมัดเตรียมซัดใส่หน้าฉินหยาง
ฉินหยางเห็นดังนั้นก็เริ่มมีโทสะ เขาหมุนตัวกลับมาใช้มือข้างขวารับหมัดของเด็กหนุ่มไว้ได้อย่างง่ายดาย เด็กหนุ่มพยายามออกแรงดึงมือกลับเพื่อจะซัดหมัดอีกครั้งแต่ก็ไม่สามารถทำได้เนื่องจากถูกฉินหยางกำมือเอาไว้แน่น เขาจึงคิดจะใช้มืออีกข้างซัดอีกมัดแต่ฉินหยางก็ใช้มือปัดออกอย่างง่ายดาย
ฉินหยางออกแรงบีบมือเล็กน้อยจนเด็กหนุ่มต้องร้องโอดโอยออกมาเพราะความเจ็บปวด
"ปะ ปล่อยข้า ปล่อยข้า ข้ายอมแล้ว..ยอมแล้ว โอ้ยย"
ฉินหยางเห็นว่าเด็กหนุ่มร้องโอดโอยด้วยความเจ็บก็คิดว่าเท่านี้คงลงโทษพอสมควรแล้วเขาจึงปล่อยมือของเด็กหนุ่มไปก่อนพูดว่า
"อย่าคิดว่าเจ้าจะรังเเกคนอื่นได้ง่าย ๆ ข้าได้เอ่ยคำขอโทษไปแล้ว แต่ถ้าเจ้าอยากมีเรื่องก็ตามมาได้"
ฉินหยางพูดจบก็สาวเท้าเดินออกไปจากตรงนั้นท่ามกลางสายตาตกตะลึงของชาวบ้านที่อยู่บริเวณหลังจากที่ฉินหยางเดินออกไปจากจุดนั้นไม่นานก็มีชายวัยกลางคนวิ่งออกมาด้วยสีหน้ากังวลพร้อมตะโกนเรียกหาใครบางคน
"นายน้อย..นายน้อย..เจอตัวแล้วทางนี้เร็วเข้า"
เสียงชายร่างกำยำสวมเสื้อคลุมสีเทาร้องตะโกนขึ้น ไม่นานชายคนดังกล่าวก็มาถึงจุดที่ฉินหยางเดินชนกับเด็กหนุ่มสวมชุดสีม่วงไปเมื่อครู่
"นายน้อยอยู่นี่นี่เองพวกข้าตามหาท่านเสียตั้งนาน เอ๊ะ? นายน้อยเป็นอะไรไปหรือขอรับ"
เสียงของชายรูปร่างกำยำบนใบหน้ามีรอยแผลเป็นเอ่ยถามเด็กหนุ่มสวมชุดสีม่วงด้วยความนอบน้อม ความจริงแล้วเด็กหนุ่มสวมชุดสีม่วงก็คือ "หลงอี้" บุตรชายคนโตของ "หลงห้าว"ผู้ที่เป็นผู้นำตระกูลเฉินคนปัจจุบันและเป็นเจ้าเมืองที่ปกครองเมืองเฉินตู่แห่งนี้
"พวกบัดซบ!! พวกเจ้าหายหัวไปไหนกันมาเอาป่านนี้ ข้าถูกให้เด็กเวรนั่นมันเหยียดหยามแถมยังถูกทำร้ายร่างกายอีก มันคิดว่ามันเป็นใครกันถึงกล้าทำกับข้าเช่นนี้ พวกเจ้า 2 คน ไปจัดการสั่งสอนมันให้ข้าซะ ให้มันรู้ซะบ้างว่าข้าเป็นใครในเมืองแห่งนี้"
เด็กหนุ่มนามหลงอี้ออกคำสั่งกับชายวัยกลางคนทั้งสองด้วยสีหน้าโกรธแค้น
"ขอรับนายน้อย"
ชายรูปร่างกำยำตอบรับพร้อมกัน
ตัดไปทางฝั่งของฉินหยางตอนนี้เขายังคงเดินทอดน่องไปตามถนนเส้นหลักของเมืองอย่างไม่เร่งรีบ เขาเดินชำเลืองสำรวจร้านค้าต่าง ๆ ทั้งสองข้างทางด้วยความตื่นตาตื่นใจ นั่นเพราะเขาเป็นเด็กหนุ่มที่ใช้ชีวิตอยู่แต่ในป่าเขาตั้งแต่ยังเด็ก ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เขาได้เดินทางออกมายังโลกภายนอกเช่นนี้
ฉินหยางเดินสำรวจไปตามทางพบว่ามีของวางขายอยู่หลากหลายมีทั้งสมุนไพร เนื้อสัตว์ป่า ข้าวของเครื่องใช้หรือเเม้แต่อัญมณีล้ำค่าเองก็มีวางขายอยู่ในที่แห่งนี้
ฉินหยางเดินดูสิ่งของต่าง ๆ ไปเรื่อยเปื่อยจนไปพบเข้ากับร้าน ๆ หนึ่งซึ่งเป็นร้านขายของเก่ามีทั้งอาวุธ มีด ดาบ สร้อย แหวน กำไลต่าง ๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นวัตถุโบราณวางขายอยู่
ฉินหยางเดินเข้าไปเดินดูด้วยความสนใจหยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งขึ้นมาเล่มหนึ่ง มีดเล่มนี้มีขนาดไม่ยาวมากเพียง 10 ชุ่น ด้ามจับมีสนิมเกาะนิดเล็กน้อย แต่ตัวใบมีดยังเผยให้เห็นความคมอยู่
ฉินหยางรู้สึกถูกใจกับมีดเล่มนี้จึงคิดอยากจะซื้อติดตัวไว้เพื่อป้องกันตัว หลังจากเขาตกลงราคาซื้อขายกับเจ้าของร้านเสร็จเรียบฉินหยางก็หยิบเงินจากกระเป๋าเงินที่มารดาของเขามอบตั้งแต่ก่อนที่จะออกเดินทางเขายื่นเงินตามราคาสินค้าให้เจ้าของร้านและกำลังจะเตรียมตัวเดินออกไปจากร้านแต่ในตอนนั้นจู่ ๆ เสวี่ยอวี๋ก็เอ่ยขึ้นว่า
"เด็กน้อย..หยุดก่อน"
"มีอะไรงั้นรึ"
ฉินหยางเอ่ยถามกลับ
"ซื้อแหวนสีเขียววงที่วางอยู่ตรงนั้นมาซะ"
เสวี่ยอวี๋กล่าวแนะนำ
"แหวน? แหวนอะไรงั้นรึ?"
ฉินหยางเอ่ยถามพร้อมหมุนตัวกลับมาทางร้านเขามองสำรวจหาแหวนสีเขียวตามที่เสวี่ยอวี๋บอกไม่นานเขาก็พบ แหวนวงนั้นภายนอกเหมือนแหวนโบราณธรรมดา ๆ ทั่วไป ตัวแหวนเป็นสีเงินสลักลวดลายมังกรเอาไว้ ตรงกลางเป็นอัญมณีสีเขียวมรกตรูปทรงสีเหลี่ยมประดับอยู่ ฉินหยางหยิบแหวนวงนั้นขึ้นมามองสำรวจแต่กลับไม่พบว่ามีสิ่งใดพิเศษจึงเอ่ยถามกับเสวี่ยอวี๋ว่า
"แหวนวงนี้มันมีอะไรงั้นรึ ข้าไม่เห็นเห็นว่ามันจะมีความพิเศษที่ใดเลย"
"เรื่องนั้นข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังทีหลัง ซื้อมันมาก่อนซะ"
"ได้ยินเช่นนั้นฉินหยางก็ไม่ได้ถามอะไรต่อเขาตกลงราคากับคนขายและจ่ายเงินเรียบร้อยแล้วก็เดินออกจากร้านไปพร้อมกับแหวนวงนั้น"
ฉินหยางเดินออกมาได้ระยะหนึ่งก็ส่งกระเเสเสียงไปยังเสวี่ยอวี๋ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
"เสวี่ยอวี๋เจ้าจะบอกข้าได้หรือยังว่าตกลงแหวนวงนี้มันมีอะไรพิเศษกันเเน่"
ฉินหยางถามขึ้นพร้อมกับหยิบแหวนวงนั้นขึ้นมาสำรวจดูอีกครั้งด้วยท่าทีสงสัย
"ไม่มีอะไรพิเศษ? แหวนวงนี้มันพิเศษแน่นอนเพราะมันคืออุปกรณ์วิเศษยังไงล่ะ"
เสวี่ยอวี๋กล่าวขึ้นพร้อมยกยิ้มเล็กน้อยราวกับตนเป็นบัณฑิตผู้มีสติปัญญาสูงส่ง
"อุปกรณ์วิเศษ? เช่นนั้นแหวนวงนี้ก็.."
"ถูกต้องแหวนวงนี้เป็นอุปกรณ์วิเศษเช่นเดียวกับไข่มุกจิตวิญญาณที่ข้าอาศัยอยู่ตอนนี้ แต่คุณสมบัติของในแหวนวงนี้คือมิติ"
"มิติ?"
"ถูกต้องเเหวนวงนี้มีช่องมิติขนาดเล็กอยู่เจ้าสามารถนำสิ่งใดใส่ลงไปก็ได้ขอแค่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตและไม่เกินขนาดที่ช่องมิติของแหวนวงนี้จะรับได้"
เสวี่ยอวี๋กล่าวอธิบาย
"นี่มันสุดยอดไปเลย โลกของผู้วิเศษนี่ช่างสะดวกดีจริง ๆ "
"เช่นนั้นเจ้าลองใช้มันดูสิ สวมแหวนไว้ที่นิ้วของเจ้า จากนั้นลองหยิบเหรียญออกมาแล้วเพ่งสมาธิให้พลังปราณห่อหุ้มเหรียญเอาไว้หลังจากนั้นพูดคำว่าเก็บเบาๆในใจก็พอ"
ฉินหยางได้ยินก็สวมแหวนวงนั้นลงไปที่นิ้วชี้ข้างซ้ายจากนั้นหยิบเหรียญขึ้นมาทำตามวิธีที่เสวี่ยอวี๋บอกทันใดนั้นเงินเหรียญในมือของเขาก็หายลับไป
เอาละทีนี้เจ้าลองตั้งสมาธิไปที่แหวนและนึกภาพแหวนวงนั้นในหัวแล้วพูดว่า "ออกมา"เบา ๆ ในใจ ฉินหยางทำตามที่เสวี่ยอวี๋บอกอีกครั้งแหวนก็ปรากฏตัวขึ้นบนฝ่ามือของฉินหยางอีกครั้ง
ฉินหยางเดินพูดคุยและทดลองทำสิ่งต่าง ๆ กับอุปกรณ์วิเศษที่พึ่งได้มาอย่างสนุกสนาน แต่ในระหว่างนั้นจู่ ๆ เสวี่ยอวี๋ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
"เด็กน้อยมีคนกำลังสะกดรอยตามเข้ามา"
ฉินหยางได้ยินก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเขาไม่คิดว่าแค่พึ่งเดินทางเข้ามาในเมืองก็เจอปัญหาเข้าเสียแล้ว
"พวกมันเป็นใคร? มากันกี่คน?"
ฉินหยางเอ่ยถามด้วยเสียงเคร่งขรึม
"3 คน และดูเหมือน 1 ในนั้นจะเป็นเด็กหนุ่มที่เจ้าเดินชนเข้าเมื่อตอนเข้าเมืองมา"
"เช่นนั้นรึ"
ฉินหยางตอบกลับพลางครุ่นคิดเขาเดินไปอีกราว 5 จั้ง ก็พบเข้ากับซอยเล็ก ๆ อยู่ทางขวามือเขาไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปในซอยนั้นในทันที
ชาย 3 คนที่สะกดรอยตามฉินหยางมาเห็นว่าฉินหยางเลี้ยวเข้าไปในซอยดังกล่าวก็รีบวิ่งตามไปด้วยความเร่งรีบหลังจากที่ทั้ง 3 มาถึงซอยที่ฉินหยางเลี้ยวเข้ามาก็ไม่พบว่ามีผู้ใดอยู่แล้ว
"บัดซบ!!มันหายไปไหนแล้ว"
เด็กหนุ่มชื่อหลงอี้สบถด่าออกมาเสียงดัง
"ทางนี้เป็นทางตันมันไม่น่าไปไหนได้ไกลเราลองหาดูก่อนเถอะ"
ชายรูปร่างกำยำที่มีแผลเป็นบนใบหน้ากล่าวเสนอความคิดเห็นขึ้น
"พวกเจ้ากำลังตามหาข้าอยู่งั้นรึ"
จู่ ๆ ก็มีเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลังของพวกเขา
ทั้ง 3 หันหลังกลับมาพร้อมกันด้วยใบหน้าตื่นตกใจก่อนที่ชายชุดม่วงจะตั้งสติได้และวางท่าพูดขึ้นว่า
"เหอะอยู่นี้เองงั้นรึ นึกว่าจะหนีไปไหนแล้วซะอีก?"
"หนี? เหตุใดข้าต้องหนีพวกเจ้าด้วยงั้นรึ"
ฉินหยางเอ่ยถามด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
"เหอะ!! ทำเป็นปากดีไปเถอะ วันนี้ที่หน้าทางเข้าเมืองเเกทำให้ข้าต้องขายหน้า เพราะฉะนั้นแกต้องชดใช้ พวกเจ้าสองคน..จัดการมันให้ข้าซะ"
หลงอี้เอ่ยออกคำสั่ง
"ขอรับนายน้อย"
ชายรูปร่างกำยำทั้งสองกล่าวตอบรับพร้อมกันก่อนจะทำท่าทีเดินเข้ามาเพื่อเตรียมทำร้ายฉินหยาง
แต่ในช่วงที่ชายร่ากำยำทั้งสองกำลังจะปรี่ตัวเข้าไปทำร้ายฉินหยางนั้นจู่ ๆ ก็มีร่าง ๆ หนึ่งมายืนขวางอยู่ทางด้านหน้าของฉินหยางไว้...
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 29
Comments