ตึก ๆ !!ตึกๆ !!
วินาทีเเรกที่ฉินหยางจ้องมองไปยังใบหน้าของไป่ เสวี่ยอวี๋เป็นครั้งแรกจู่ ๆ หัวใจภายในส่วนลึกของจิตวิญญาณของเขาก็กรีดร้องคร้ำครวญราวกับได้พบคนรักที่พลัดพรากจากกันมานานแสนนาน
แต่พริบตาต่อมาความรู้สึกเหล่านั้นกลับหายวับไปราวกับความฝัน
"นี่มันอะไร"
จู่ ๆ ฉินหยางก็
"ข้าร้องไห้งั้นรึ เหตุใดข้าจึงร้องไห้กัน?"
"แล้วก็ความรู้สึกเมื่อครู่มันอะไร ทำไมชั่วพริบตาหนึ่งข้าถึงรู้สึกราวกับหัวใจของข้ากำลังร่ำไห้อาวรณ์"
จู่ ๆ คำถามมากมายก็ถาโถมเข้าหาจนไม่สามารถประมวณเหตุการณ์ใด ๆ ได้
"เด็กน้อย เจ้าเป็นอะไรของเจ้า?"
ไป่ เสวี่ยอวี๋ที่สังเกตเห็นอาการแปลก ๆ ของฉินหยางจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
"อ่อ ปะ เปล่า ไม่มีอะไร ข้าแค่รู้สึกล้านิดหน่อยน่าจะเพราะก่อนหน้าที่ข้าใช้ปราณมากไป"
"เช่นนั้นรึ"
เสวี่ยอวี๋หลี่ตาลงเล็กน้อย เขาหยุดชะงักไปสักครู่ก่อนเอ่ยต่อว่า
"หากไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว เช่นนั้นเรามาคุยเรื่องข้อตกลงของเราก่อนหน้านี้กันดีหรือไม่?
เสวี่ยอวี๋เอ่ยเปลี่ยนบทสนทนา
"แต่ก่อนอื่นเพื่อความสนิทสนมเจ้าสามารถเรียกข้าว่า เสวี่ยอวี๋ เฉย ๆ ก็ได้ยังไงซะหลังจากนี้เจ้ากับข้าก็ต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน ส่วนเจ้าข้าจะเรียกเจ้าว่า เด็กน้อยละกัน "
"เด็กน้อย? เหตุใดชื่อข้าถึงเป็นเด็กน้อยได้กัน"
ฉินหยางกล่าวขึ้นด้วยความขุ่นเคืองเล็ก ๆ
"เด็กน้อยมันไม่ดีอย่างไร เจ้าก็ดูยังเป็นเด็กมันไม่ดีเช่นนั้นรึ"
ฉินหยางกรอกตามองบนกับคำพูดของเสวี่ยอวี๋ แต่เขาก็ขี้เกียจจะโต้เถียงจึงเอ่ยตอบไปว่า
"เอาเถอะ จะเรียกข้าว่าอย่างไรก็แล้วแต่เจ้า แล้วเราจะคุยเรื่องข้อตกลงกันได้หรือยัง"
ฉินหยางถามขึ้น
"เด็กเจ้านี่ช่างเข้าใจอะไรได้ง่ายดี!!
"งั้นมาเข้าเรื่องกันเลย...เนื่องจากเจ้าได้ช่วยข้าออกมาจากผนึกได้สำเร็จ ตามข้อตกลง ข้าจะติดตามเจ้าไปเพื่อรักษาอาการป่วยของเเม่เจ้าเป็นการแลกเปลี่ยน แต่ก่อนอื่นเรามาคุยเรื่องข้อตกลงที่เหลือก่อนหน้ากันเสียก่อน"
"อื้ม เชิญเจ้าว่ามาได้เลย"
ฉินหยางพูดพร้อมผายมือ
"ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกเจ้าว่าหลังจากเจ้าช่วยข้าออกจากผนึกได้แล้ว เจ้าจะต้องช่วยข้าตามหาเศษเสี้ยวดวงจิตที่เหลือของข้า เจ้ายังจำได้หรือไม่"
เสวี่ยอวี๋กล่าวถาม
"แน่นอน ข้าจำได้"
ฉินหยางพยักหน้าตอบรับ
"เช่นนั้นก็ดี ความจริง แล้วดวงจิตของข้านั้นถูกแบ่งออกทั้งหมด 7 ดวง ซึ่งข้าเองก็ไม่รู้ว่าเศษเสี้ยวดวงจิตอีก 6 ดวงนอกจากข้าจะถูกผนึกอยู่ที่ใดบ้าง แต่ข้าสามารถรับรู้ถึงทิศทางลาง ๆ ของดวงจิตแต่ละดวงได้ แต่หากจะสัมผัสเพื่อให้รับรู้ตำแน่งที่ชัดเช่นข้าต้องอยู่ห่างจากดวงจิตดวงอื่นในระยะไม่เกิน100 ลี้เท่านั้น แต่ข้าในตอนนี้เป็นสิ่งมีชีวิตรูปแบบจิตข้าไม่สามารถเคลื่อนออกห่างจากไข่มุกจิตวิญญาณได้เกิน 20 ลี้ ไม่เช่นนั้นดวงจิตของข้าจะไม่สามารถคงสภาพเอาไว้ได้และดวงจิตอาจแตกสลายไปในที่สุด ดังนั้นข้าจำเป็นต้องพึ่งพาเจ้าให้ช่วยตามหาดวงจิตอีก 6 ดวงที่เหลือหลังจากนี้"
เสวี่ยอวี๋กล่าวจบก็กวาดมือไปด้านข้างลูกแก้วโปร่งใสที่ลอยอยู่กลางอากาศจู่ ๆ ก็หมุนวนเคลื่อนตัวมาหยุดอยู่ในฝ่ามือของเขาหลังจากนั้นจึงส่งต่อให้แก่ฉินหยางพร้อมเอ่ยว่า
"รับไว้สิ สิ่งนี้คือ "ไข่มุกจิตวิญญาณ" เป็นของวิเศษสำหรับกักเก็บจิตวิญญานมันสามารถเป็นสถานที่อาศัยของดวงจิตแม้ว่าบรรยากาศด้านในจะไม่ได้น่าอยู่อะไรมากก็เถอะ แต่เอาเถอะหลังจากนี้ไปข้าจะอาศัยอยู่ในนี้ชั่วคราว แต่หากเจ้ามีเรื่องเร่งด่วนอันใดเจ้าสามารถสื่อสารกับข้าได้ตลอดเวลาเพียงเพ่งความคิดไปที่มัน"
ฉินหยางยืนฟังที่เสวี่ยอีกพูดอย่างตั้งใจ แต่ในขณะที่ เสวี่ยอวี๋ ก้มลงและยืนมือมอบไข่มุกจิตวิญญาณให้เขา จู่ ๆ ความรู้สึกประหลาดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง หัวใจของเขาเต้นแรงความรู้สึกอาลัยอาวรณ์และคิดถึงผุดขึ้นมาอีกครั้ง เขาพยายามข่มความรู้สึกดังกล่าวไว้ก่อนจะยื่นมือไปรับไข่มุกลูกนั้นมาอย่างรวดเร็ว ไม่นานความรู้สึกที่เหล่านั้นก็หายลับไปราวกับเข้าสู่กันลับไหลอีกครั้ง
"นะ นี่มันเป็นอะไรกันเหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าข้ารัก เมื่ออยู่ต่อหน้าชายคนนี้ เขาพยามควบคุมอารมณ์อีกครั้งก่อนจะทำหน้าเคร่งขรึมจริงจังแล้วพูดว่า
"ข้าไม่มีปัญหาหากเจ้าคิดว่าข้าจะสามารถทำได้ ข้าก็จะลองทำดู แต่ก่อนอื่นข้าขอถามได้หรือไม่ว่าเหตุใดเจ้าถึงถูกผนึก ทั้งยังถูกผนึกด้วยวิธีการแยกจิตวิญญาณออกมาเป็นส่วนเพื่อผนึก แม้ว่าข้าจะยังไม่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับโลกของผู้วิเศษมากนัก แต่ข้าก็มั่นใจว่าการที่ถึงขั้นต้องแยกส่วนจิตวิญญาณเพื่อผนึกมันต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดา ๆ ทั่วไปอย่างแน่นอน"
ฉินหยางเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง เสวี่ยอวี๋ได้ยินคำถามก็มีสีหน้ามืดครึ้มขึ้นมาทันทีเขาแอบหลี่ตาลงเผยจิตสังหาออกมาเล็กน้อยจนแทบจะไม่สังเกตเห็นก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าเจ็บปวดและถอนหายใจกล่าวว่า"
"จริง ๆ แล้วตัวข้าในอดีตเมื่อนานมาแล้ว เคยทำให้ 7 ตระกูลใหญ่แห่งแดน ๆ หนึ่งต้องขุ่นเคือง ในตอนนั้นตระกูลใหญ่ทั้ง 7 ได้ส่งคนมาหวังจะสังการข้าให้สิ้น แต่พวกมันก็ต้องผิดหวัง ข้าต่อสู้กับพวกมันนานกว่า7วัน7คืน แต่พวกมันทั้ง 7 ตระกูลกลับเล่นวิธีสกปรกแอบรอบใช้อาวุธพิษเล่นงานข้า แม้ว่าพิษนั้นจะไม่ส่งผลถึงชีวิตข้า ณ ตอนนั้นแต่นั่นก็ทำให้ข้าสูญเสียพลังไปหลายส่วน พวกมันถึงใช้จังหวะที่ข้าอ่อนแอใช้วิชาลับแยกดวงจิตของข้าออกทั้งหมด 7 ส่วน และนำไปผนึกไว้ในสถานที่ต่าง ๆ
เสวี่ยอวี๋เล่าเรื่องราวในอดีตของเขาให้ฉินหยางฟัง ด้วยท่าทีเจ็บปวดและแค้นใจ ฉินหยางเห็นดังนั้นจู่ ๆ ในใจก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาราวกับเป็นเขาเองที่ถูกกระทำ
"เอ่อ เสวี่ยอวี๋ ข้าขอโทษ ข้าไม่น่าถามคำถามนี้"
ฉินหยางกล่าวขอโทษด้วยความรู้สึกผิดจากใจ เสวี่ยอวี๋ โบกมือปัดไปมาก่อนจะพูดว่า
"ข้าไม่เป็นไรเจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง เอาล่ะเรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลังก่อนอื่นข้าต้องบอกเจ้าให้รับรู้เกี่ยวกับโลกของผู้วิเศษให้เจ้าได้รับรู้เพราะในโลกของผู้วิเศษนั้นพลังและความแข็งแกร่งคือทุกสิ่ง หากเจ้าแข็งแกร่งมากพอเจ้าจะสามารถเปลี่ยนผิดเป็นถูก เปลี่ยน เปลี่ยนถูกเป็นผิด ตามแต่เจ้าพอใจ"
เสวี่ยอวี๋เปลี่ยนหัวข้อสนทนา เขาเริ่มอธิบายเรื่องโลกขอผู้วิเศษให้ฉินหยางฟังว่า
ในโลกของผู้วิเศษมีการแบ่งลำดับขั้นการฝึกตน 7 ขั้น คือ
...ระดับดูดซับลมปราณ ...
...ระดับหลอมรวมลมปราณ...
...ระดับผู้ใช้ปราณแท้จริง...
...ระดับเหนือมนุษย์ ...
...ระดับราชันย์มนุษย์ ...
...ระดับจักรพรรดิมนุษย์ ...
และสุดท้ายระดับบรรพชนมนุษย์เป็นขอบเขตที่สูงที่สุดบนโลกมนุษย์ระดับที่สูงขึ้นไปกว่านี้จะเป็นผู้วิเศษที่อยู่ในแดนที่สูงขึ้นซึ่งเรื่องนี้เจ้าจะรู้เองในภายหลัง"
เสวี่ยอวี๋หยุดไปสักพักก่อนพูดต่อว่า
"ในแต่ละระดับพลังของแต่ละขั้นจะเเบ่งแยกย้อยออกเป็น 9 ขั้น ก่อนจะทะลวงสู่ขั้นถัดไปได้
นอกเหนือจากนี้ในหมู่ผู้ฝึกตนต่างคนต่างเกิดมากับพรสวรรค์ที่แตกต่างกันซึ่งจะมีมากมีน้อยนั้นขึ้นอยู่กับระดับของรากวิญญาณที่มีติดตัวมาแต่กำเนิด ได้แก่
รากปราณระดับมนุษย์
รากปราณระดับพสุธา
รากปราณระดับสวรรค์
และรากปราณระดับตำนาน
ส่วนคนที่เกิดมาไม่มีรากปราณก็จะไม่สามารถฝึกตนได้เป็นได้เพียงมนุษย์ทั่ว ๆ ไปยังไงละ
แต่มันก็ยังมีกรณียกเว้นอยู่คือนอกเหนือจากผู้มีพรสวรรค์แล้วก็ยังมีคนจำพวกหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในกฏเกณฑ์ทั่วไป คนเหล่านี้ตอนเกิดมาดูราวกับเป็นมนุษย์ธรรมดา ๆ ทั่วไปคนหนึ่งบางคนเกิดมาไม่มีแม้แต่รากปราณ แต่หากวันใดวันหนึ่งพลังของคนเหล่านี้ตื่นขึ้น พวกเขาเหล่านี้จะกลายเป็นผู้ที่อยู่เหนือผู้คนทั้งมวลเป็นผู้ที่เกิดมาพร้อมกับกายาศักดิ์สิทธิ์และถือครองพลังศักดิ์สิทธิ์ ตัวอย่างเช่นเจ้า"
"ผู้ถือครองกายาศักดิ์สิทธิ์และเพลิงชำระล้างศักดิ์สิทธิ์"
พูดถึงตรงนี้ไปเสวี่ยอวี๋ก็หยุดชะงักไปชั่วขณะ
ฉินหยางได้อินก็รู้สึกตกตะลึงในใจเพราะไม่คิดว่าตนจะเป็นผู้ถือครองกายาศักดิ์สิทธิ์เพลิงชำระล้าง แต่ก็ก็ไม่ได้เอ่ยเเทรกถามแต่อย่างใดเขาจะคงยืนนิ่งตั้งใจฟังสิงที่เสวี่ยอวี๋หกล่าวต่อ
หลังจะหยุดชะงับไปขณะหนึ่งเสวี่ยอวี๋ก็พูดต่อว่า
"กายาศักดิ์สิทธิ์คือร่างกายที่สุดแสนวิเศษมีไว้เพื่อบรรจุพลังศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนั้นกายาศักดิ์สิทธิ์ยังมีความสามารถในการดูดซับปราณฟ้าดินได้ด้วยตัวเอง ทำให้ผู้ที่ครอบครองมีระดับฝึกตนก้าวล้ำกว่าคนทั่ว ๆ ไปอย่างเทียบไม่ติด
แต่ถึงอย่างนั้นกายาศักดิ์สิทธิ์ก็ถือว่ายังมีจุดอ่อน คือ หากผู้ที่ครอบครองกายาศักดิ์สิทธิ์ปล่อยให้ระดับพลังของตนเลื่อนระดับเร็วเกินไปก็อาจจะส่งผลเสียต่อรากฐานการฝึกตนได้ ส่วนพลังศักดิ์สิทธิ์คือพลังปราณทั่วไปที่มีปราณศักดิ์สิทธิ์รวมอยู่ หากนำพลังธาตุเดียวกันมาปะทะกันฝั่งที่ไม่มีปราณศักดิ์จะไม่ใช่คู่ต่อสู้แม้แต่น้อย
เเต่เนื่องจากคนเหล่านี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือขอบเขตของฟ้าดินทำให้ทุกครัังที่เลื่อนระดับขั้นจะต้องรับทัณสวรรค์ที่รุนแรงกว่าผู้ฝึกตนทั่วไปหลาย 10 เท่า หากไม่มีการเตรียมตัวเพื่อรับทัณฑ์สวรรค์นั้นก็คงเดาเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก เสวี่ยอวี๋พูดพร้อมปลายตามองไปยังฉินหยาง ฉินหยางที่กำลังตั้งใจฟังก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยและเอ่ยถามว่า
"เช่นนั้นเจ้าหมายความว่าก่อนที่จะเลื่อนขั้นแต่ละขั้นข้าต้องกดพลังไว้ให้พลังเสถียรเสียก่อนงั้นสินะ"
"ไม่เลว เจ้าเข้าใจได้ถูกต้องแต่นั่นก็ถูกเพียงครึ่งเดียวนอกจากจะกดพลังไว้แล้วเจ้าต้องบีบอัดมันยิ่งเจ้าบีบอัดได้หนาแน่นเพียงใดพลังปราณของเจ้าก็จะยิ่งมันคงและทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น"
"แต่ไม่ใช่ว่าพูดแล้วจะสามารถทำได้อย่าดูถูกพลังของกายาศักดิ์สิทธิ์แม้ในยามเจ้าหลับหากเจ้ากดพลังไม่อยู่แล้วเผลอทะลวงระดับตอนยังไม่ได้เตรียมพร้อมนั่นก็เป็นหายนะเช่นกัน"
เสวี่ยอวี๋เงียบไปอีกครั้งก่อนจะพูดต่อว่า
"เเต่เจ้ายังไม่ต้องกังวลไป ปกติแล้วผู้ที่จะชักนำทัณฑ์สวรรค์ได้ต้องก้าวเข้าสู่ระดับราชันย์มนุษย์เสียก่อนหรือต่อให้เป็นผู้อยู่เหนือกฏฟ้าดินก็ต้องก้าวเข้าสู่ระดับเหนือมนุษย์เพราะฉะนั้นยังมีเวลาให้เจ้าได้เตรียมตัวอีกมาก"
ฉินหยางที่ได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว เขาพึ่งก้าวเข้าสู่วัฏจักรของผู้ฝึกตนไม่นานเรียกได้ว่าแค่คืนเดียว การที่เขาต้องมาย่อยข้อมูลเหล่านี้แน่นอนว่าสำหรับเด็ก 15 ปี อาจรู้สึกหนักหนา ก่อนจะเอ่ยถามบางอย่างขึ้นมา
" เสวี่ยอวี๋ เจ้าพอจะรู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้ามีพลังระดับใด"
จู่ ๆ ฉินหยางก็โพร่งคำถามขึ้นมา
"ดูดซับลมปราณขั้นที่ 5 เจ้าสามารถรับรู้ด้วยตัวเองได้ลองตั้งสมาธิเพ่งจิตไปมีาจุดตันเถียรของเจ้า"
ฉินหยางลองทำตามที่ เสวี่ยอวี๋พูดในทันทีหลังจากที่เขาเพ่งจิตสมาธิไม่นานเขาก็พบเข้ากับเเสง 5 จุดที่มีเปลวเพลิงห่อหุ้มอยู่ภายในจุดตันเถียรของเขา
"เจ้าเห็นแล้วใช่หรือไม่ กลุ่มก้อนพลังนั่นคือปราณฟ้าดินที่เจ้าดูดซับเข้าไปยังไงล่ะ โดยระดับดูดซับลมปราณขั้นที่ 5 คือการดูดซับปราณฟ้าดินเข้าไปกักเก็บในร่ากาย จนสามารถกักเก็บในร่างกายได้ 5 จุด ซึ่งผู้วิเศษระดับดูซับลมปราณทั่วไปต้องดูดซับและกักเก็บปราณฟ้าดินให้ได้ 9 จุด หรือที่เรียกว่าดูดซับลมปราณขั้นที่ 9 จึงจะสามารถยกระดับพลังถัดไป "
เสวี่ยอวี๋พูดแทรกขึ้นมาในขณะที่ฉินหยางกำลังเพ่งสมาธิ ฉินหยางครุ้นคิดตามคำพูดของเสวี่ยอวี๋และดูเหมือนเขาจะคิดอะไรได้บางอย่างจู่ ๆ เขาก็นั่งลงขัดสมาธิ
"เจ้าคิดจะทำอะไร"
เสวี่ยอวี๋เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยในการกระทำของฉินหยาง
"ข้าอยากจะทดลองทำบางสิ่งบางอย่าง"
พูดจบฉินหยางก็หลับตาลงเข้าสู่สมาธิ เขาเพ่งจิตสมาธิไปยังกลุ่มก้อนปราณทั้ง 5 จุด ก่อนจะควบคุมให้พลังงานทั้ง 5 จุด หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
"บีบอัด!!"
ฉินหยางตะโกนขึ้นในใจ กลุ่มก้อนปราณทั้ง 5 จุด ที่อยู่ภายในตันเถียรของฉินหยางเริ่มมีการขยับเคลื่อนไหวช้า ๆ และต่อมาไม่นาน ก้อนปราณทั้ง 5 จุด ก็หมุนวนโคจรเป็นวงกลมและค่อย ๆ เคลื่อนที่เข้าหากันมากขึ้นเรื่อย ๆ
เสวี่ยอวี๋สังเกตเห็นพลังงานภายในร่างกายของฉินหยางเขาถึงกับตกตะลึงและอุทานอยู่ในใจ
"บ้าน้า..เด็กนี่ อย่าบอกว่าเขาคิดจะ.."
ยังไม่ทันที่เสวี่ยอวี๋จะตกตะลึงเสร็จจู่ ๆ กลุ่มก้อนปราณ 4 ใน 5 ก้อนก็ถูกฉินหยางบีบอัดจนกลายเป็นก้อนเดียวกันได้ในที่สุด ก้อนปราณที่ถูกบีบอัดเปล่งแสงสว่างจ้ามากกว่าก้อนปราณทั่วไปหลายเท่า
แต่ยังไม่จบเเค่นั้นฉินหยางพยายามจะรวมอีกก้อนเข้าไป แต่ทำอย่างไรเขาก็ไม่สามารถทำให้มันหลอมรวมได้ ถึงอย่างนั้นในตอนนี้ร่างกายของฉินหยางก็เกิดการเปลี่ยนแปลงมหาศาล กลิ่นอายรอบตัวเขาที่แผ่ออกมานั้นแตกต่างจากตอนก่อนหน้าอย่างชัดเจน หลังจากพยายามอยู่นานก้อนปราณก็ไม่ยอมหลอมรวมเข้ากับส่วนที่เหลือ ฉินหยางก็ลืมตาขึ้น เขาจึงถอนหายใจออกมาก่อนบ่นพึมพำว่า
"น่าเสียดายจริง ๆ ข้าไม่สามารถหลอมรวมทั้ง 5 จุด ให้เป็นก้อนเดียวได้ไม่เช่นนั้นละก็…"
เสวี่ยอวี๋ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ฉินหยางมาตลอดได้ยินสิ่งที่ฉินหยางพูดก็ได้แต่เบ้ปากพูดขึ้นในใจ
"เด็กนี่มันปีศาจชัด ๆ แค่คิดจะทำก็ทำได้เลยงั้นรึ..ก็พอเข้าใจว่าเป็นตัวตนเหนือกฏฟ้าดินแต่แบบนี้มันเกินไปหน่อยหรือไม่ต่อให้เป็นข้าในยุคนั้นก็ไม่สามารถทำได้ถึงขนาดนี้อย่างมากข้าคงบีบอัดเข้าด้วยกันได้เพียง 2 ลูกเท่านั้น แต่นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดียิ่งเด็กคนนี้แข็งแกร่งเท่าไหร่ก็จะยิ่งเป็นผลดีต่อแผนการของข้าในอนาคตมากเท่านั้น"
เสวี่ยอวี๋พึมพำกับตัวเอง ก่อนจะยกยิ้มมุมปากราวกับมีแผนการในใจ
"อะ แฮ่ม ยอดเยี่ยมมากทำได้ไม่เลว เจ้าช่างทำให้ข้าประหลาดใจจริง ๆ หากเป็นเช่นนี้เรื่องการตามหาดวงจิตที่เหลือของข้าคงไม่ต้องห่วงอันใดแล้ว"
ฉินหยางได้ยินก็ทำเพัยงยกยิ้มเบา ๆ ก่อนจะพูดตัดบทขึ้นว่า
"เอาละข้าว่าถึงเวลาที่จะต้องเดินทางกลับบ้านแล้วข้ารู้สึกเป็นห่วงแม่ข้าเหลือเกินหวังว่าจะสามารถรักษาอาการป่วยของแม่ข้าได้"
ฉินหยางพูดพร้อมลุกขึ้น
"เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องกังวล"
เสวี่ยอวี๋ตอบกลับเพียงสั้น ๆ ก่อนจะสบัดแขนเสื้อเบา ๆ หนึ่งครั้งร่างของเขาค่อย ๆ เลือนรางและหายไปอย่างสมบูรณ์
"ข้าจะอาศัยอยู่ในไข่มุกนี้เพื่อคงพลังวิญญาณไว้ หากเจ้ามีปัญญาใดเพียงเพ่งสมาธิมาที่ไข่มุก เจ้าจะสามารถคุยกับข้าได้"
เสียงของ เสวี่ยอวี๋ที่หายตัวไปดังขึ้นมาอีกครั้งจากไข่มุกในมือของฉินหยาง
ฉินหยางพยักหน้าตอบตกลง เขาเก็บไข่มุกจิตวิญญาณเข้าไว้บริเวณอกเสื้อแล้วออกเดินทางกลับเพื่อไปรักษาแม่ของตน...
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 29
Comments