ฝืนชะตารัก ลิขิตสวรรค์

ฝืนชะตารัก ลิขิตสวรรค์

บทที่1 แรกพานพบ 1

ฮวาหลินหลิง สถานที่ที่เหล่าบุปผาแลพฤกษาถือกำเนิดและเติบโตขึ้น ในวันนี้ ณ ที่แห่งนี้ พวกเขาต่างมารวมตัวกันครั้งแรกในรอบหลายหมื่นปีเพื่อจัดงานเฉลิมฉลอง เพราะเป็นวันครบรอบ20,000ปีที่ประมุขน้อยทั้ง3ได้ถือกำเนิดขึ้นมา นับตั้งแต่เทพบุปผาดับสิ้นลง สรวงสวรรค์ก็ไร้สีสันมายาวนานถึง30,000ปี

"ดูนี่สิ เฟิงฉี ปักษาสวรรค์กว่า1,000ตัวมารวมตัวกันเช่นนี้ดูท่าอนาคตคงมีเรื่องน่ายินดีเสียกระมัง" เทพวารีกล่าวขึ้นขณะชื่นชมภาพตรงหน้า หลายหมื่นปีมาแล้วนับตั้งแต่นางถือกำเนิดขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นปักษาสวรรค์มารวมตัวกันมากมายเช่นนี้

"ข้าเห็นแล้ว ลู่เฟย เป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง นับตั้งแต่พี่บุญธรรมดับขันธ์ไป" เฟิงฉีหลุบตาต่ำลงขณะคิดถึงอดีตในวันวานที่เทพทั้ง4นั้นยังคงปรองดองกันอยู่

"หากพูดถึงเรื่องน่ายินดีที่สุดคงไม่พ้นประมุขน้อยคนที่3เสียกระมัง" เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลังของพวกเขา เทพชุดขาวโบกพัดในมืออย่างเชื่องช้าขณะเดินมาหาทั้งคู่

"หรงหยาง" ลู่เฟยเรียกชื่อคนผู้นั้น เขาหยุดฝีเท้าเมื่อเดินมาถึงทั้งสองพร้อมชมทิวทัศน์ที่แสนงดงามนี้

"นางมีชื่อว่าอะไรนะ"

"ฮวาหลัน"

"ใช่ ๆ ฮวาหลัน ดูจากดอกหลันอวี้บนหน้าผากของนางนั้นคงไม่พ้นเป็นประมุขสูงสุดแทนเจ้า"

"เป็นประมุขแทนข้าแล้วอย่างไร ตำแหน่งนี้ข้าเพียงรับดูแลชั่วคราวเพื่อรอเวลาที่เหมาะสมแล้วส่งต่อให้พวกเขาเท่านั้น" เขาถอนหายใจเล็กน้อยยามมองสหายตน ทั้งที่คออ่อนถึงเพียงนี้กลับชอบดื่มสุรามากกว่าเขาเสียอีก

"เจ้าเมามากแล้วหรงหยาง เดี๋ยวข้าจะให้คนเตรียมตำหนักรับรองไว้ให้ เจ้าไปพักเสีย"

"เดี๋ยวข้าดูแลหรงหยางเอง เจ้าไปร่วมงานของประมุขน้อยเถอะ" ลู่เฟยพูดขณะที่พยายามพยุงไม่ให้สหายตนล้มพับไป เฟิงฉีจึงทำได้เพียงถอนหายใจด้วยความหน่ายเท่านั้น

"รบกวนเจ้าแล้ว" ว่าจบ จึงเดินกลับไปยังสถานที่จัดงานดังเดิม

"คารวะเทพปฐพี" เมื่อเหล่าเซียนน้อยใหญ่เห็นประมุขของฮวาหลินหลิงย่างเท้าเข้ามายังสถานที่งัดงานเลี้ยงจึงทำความเคารพ

"ลุกขึ้นเถอะ" เฟิงฉีขยับมือเล็กน้อยเป็นการบอกให้ทำตัวตามสบายได้แล้วเดินไปหาทั้งสามคนที่นั่งอยู่ก่อนจะวางบางสิ่งไว้ตรงหน้าทั้งสามคน

"ท่านเทพ สิ่งนี้คือ..." เซียนชุดครามปักลายบงกชเหมันตกาลเอ่ยขึ้น ใบหน้าหวานขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อพิจารณาสิ่งที่วางอยู่หน้าตน

"แก่นเซียน20,000ปี ข้ายกให้พวกเจ้าทั้งสาม ฮวาเหลียน ฮวาหูเตี๋ย ฮวาหลัน"

"แก่นเซียน20,000ปีงั้นเหรอ ถูกใจข้ายิ่งนัก" เซียนชุดเหลืองที่นั่งข้างกันหยิบกล่องไม้ขึ้นมาเปิดแล้วยิ้มออกมา

"ถูกใจเจ้าก็ดีแล้ว จะว่าไปฮวาหลันไปไหน" เฟิงฉียิ้มออกมาด้วยความยินดี ทว่าเมื่อหันมามองอีกทางหนึ่ง เซียนน้อยเกศาขาวอาภรณ์แดงที่ควรนั่งอยู่ตรงนี้กลับหายไปเสียแล้ว

"นางออกไปตั้งแต่ท่านเทพวางกล่องไม้แล้วล่ะ"

"รู้รึไม่ว่านางไปไหน"

"เอ่อ..."

ทั้งสองกระอักกระอ่วนใจยากจะตอบ มองหน้ากันครู่หนึ่งฮวาหูเตี๋ยจึงยอมพูดออกมา

"จะที่ไหนอีกเล่า ก็ต้องโลกมนุษย์แน่นอนอยู่แล้วสิท่านเทพ" เมื่อได้ยินดังนั้นพัดในมือของเฟิงฉีก็ถูกหักออกเป็นสองท่อนก่อนจะแหลกสลายกลายเป็นผุยผง

อีกด้านหนึ่งนั้น ณ สถานที่ ๆ ห่างไกลจากแดนเทพ เซียนน้อยที่หนีพวกเขามานั้นกำลังเดินเล่นอยู่ในดินแดนแห่งนี้ นางเปิดกล่องที่เทพเฟิงฉีให้มาแล้วพิจารณาดู ก่อนจะตัดสินใจรวมเข้ากับแก่นเซียนตนทำให้พลังเซียนกล้าแกร่งขึ้น

"สมแล้วที่เป็นแก่นเซียนจากท่านเทพ" นางกล่าวอย่างอารมณ์ดี เดินไปไม่นานก็พบกับหมู่บ้านหนึ่ง นางจึงลดพลังเซียนลงเหลือไว้เทียบเท่ามนุษย์ ทว่าอาภรณ์สีเพลิงและเกศาสีขาวสะดุดตาของนางนั้นผิดแปลกไปจากชาวบ้าน ทำให้นางถูกจับตามองจากพวกเขา ยามที่นางย่างเท้าชาวบ้านต่างพากันถอยหนี ทว่านางหาได้สนใจไม่ เพราะตอนนี้นางให้ความสนใจกับสิ่งของแปลกตาที่อยู่ตรงหน้านางเท่านั้น

"สถานที่แห่งนี้ช่างแปลกตายิ่งนัก แม้จะไม่งดงามเท่าฮวาหลินหลิงแต่กลับน่าสนใจยิ่งกว่า" เซียนน้อยยิ้มออกมาเล็กน้อย ในตอนนั้นเองนางได้สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง เหตุใดชาวบ้านจึงหลบซ่อนตัวอยู่อย่างนั้น หรือมีสิ่งใดทำให้เกรงกลัวกัน

"เหตุใดพวกเจ้าจึงเอาแต่หลบซ่อนกัน หรือมีสิ่งใดทำให้เกรงกลัว" เมื่อชาวบ้านได้ยินนางเอ่ยถาม พวกเขาทุกคนต่างตัวสั่นงันงก จนกระทั่งมีผู้กล้าคนหนึ่งเอาชนะความกลัวนั้นแล้วตแบกลับมา

"เพราะเจ้า" ชายวัยกลางคนเอ่ยพร้อมชี้มาทางนาง

"ข้าเหรอ" นางได้แต่เอียงคอเล็กน้อยด้วยความไม่เข้าใจ นางมีสิ่งใดให้ต้องเกรงกลัว พลังเซียนตัวนางก็ลดจนถึงระดับมนุษย์แล้ว อาภรณ์ที่เคยสวมใส่ยามเป็นประมุขน้อยก็ผลัดเปลี่ยนเป็นสีเพลิงธรรมดาเท่านั้น เหลือแค่เพียงปานดอกหลันอวี้และเกศาสีขาวที่นางไม่อาจทำอะไรได้

"นี่เจ้าไม่รู้จริงหรือ เจ้าคิดว่าผู้ใดมีสีผมสีขาวเช่นเจ้ากัน เท่าที่ข้ารู้นั้นมีเพียงปีศาจเท่านั้นแล" หญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้นมา ฉับพลันนั้นได้มีเศษผักลอยมาใส่นางจนเปรอะเปื้อน

"ปีศาจ"

"ปีศาจ"

"ดะ เดี๋ยวสิ"

"ปีศาจ"

"ปีศาจ"

"ข้าไม่ใช่ปีศาจนะ" ชาวบ้านต่างพร้อมใจกันปาเศษผักใส่นาง หากนางกลับสู่ร่างเซียนโจมตีพวกเขาก็ย่อมได้ ทว่านั่นจะเป็นการทำลายชะตาชีวิตของพวกเขา สุดท้ายเป็นนางที่จะถูกสวรรค์ลงทัณฑ์เสียเอง

"เดี๋ยวสิ ฟังข้าก่อน" คำก่นด่านางดังทั่วบริเวณ แม้นางจะโต้แย้งอย่างไรก็ไม่เป็นผล

"โอ๊ย" ในตอนที่เริ่มมีหินปะปนมากับเศษผักนั้นเองก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งมาช่วยบังไว้ให้

"นี่พวกเจ้าทำอะไรแม่นางผู้นี้กัน" ฉับพลันชาวบ้านที่ขว้างปาเศษผักใส่ฮวาหลันนั้นก็หยุดมือ

"เสี่ยวชาง เจ้ามาขวางทำไม ไม่เห็นหรือว่าพวกข้ากำลังขับไล่นางปีศาจตนนั้นอยู่" สาวน้อยใบหน้างดงามนางหนึ่งพูดขึ้น หากนับแค่คนในหมู่บ้านนี้คงไม่มีผู้ใดงามเท่านางอีกแล้ว แต่นั่นกลับเทียบไม่ได้กับเซียนน้อยบนสวรรค์อย่างฮวาหลัน หากเปรียบเทียบกับมนุษย์เช่นนางนั้นคงเรียกได้ว่างามล่มเมือง

"อาอวี๋ แม้นางจะมีผมสีขาวแล้วอย่างไร สภาพนางที่อ่อนแอเช่นนี้เจ้าคิดจริงหรือว่านางจะเป็นปีศาจดังเช่นเจ้าว่า"

"แต่..."

"แม่นางลุกเถิด ข้าจะพาเจ้าไปทำแผล" เสี่ยวชางไม่ฟังคำโต้แย้งพร้อมยิ้มให้ฮวาหลัน ทันใดนั้นความรู้สึกแปลก ๆ ก็ปรากฏขึ้นในใจนาง

"อะ อืม" ฮวาหลันแตะมือที่เสี่ยวชางส่งมาให้อย่างแผ่วเบา จู่ ๆ ใบหน้าของนางก็แดงกร่ำโดยไม่รู้ตัว ในขณะนั้นเองได้มีบุคคลทั้งสองเฝ้ามองนางอยู่ในสถานที่แสนห่างไกลจากที่นี่มากนัก

"ท่านเทพ ฮวาหลันช่างไร้เดียงสานัก ปล่อยไปเช่นนี้ดีแล้วหรือ" ฮวาเหลียนเอ่ยขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง แม้จะถือกำเนิดมาแล้ว20,000ปี แต่เพราะถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมทำให้ฮวาหลันนั้นไม่ทันคน

"เป็นเช่นนี้ดีแล้ว บางสิ่งบางอย่างนั้นควรให้นางตัดสินใจด้วยตนเอง ในเมื่อนางเลือกจะมาเที่ยวเล่นแทนที่จะตั้งใจเรียนเช่นนี้ก็ให้สิ่งนี้เป็นบทเรียนแก่นาง"

"จิตใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึงนักข้าเกรงว่าจิตใจนางจะบอบช้ำเกินกว่าจะรับไหว"

"ตอนนี้นางโตแล้วฮวาเหลียน สิ่งที่เราทำได้มีเพียงอยู่เคียงคงข้างและสนับสนุนนางเท่านั้น นางควรรับผิดชอบการกระทำตนเองเสียบ้างมิใช่ก่อปัญหาแล้วปล่อยให้พวกเจ้าจัดการ" เมื่อฮวาเหลียนได้ยินดังนั้นสีหน้าจึงคลายกังวลลงเล็กน้อย เป็นเรื่องจริงที่ฮวาหลันนั้นโตแล้ว แม้ว่าพวกนางจะมีอายุเท่ากันแต่ฮวาหลันกลับเอาแต่ใจยิ่งกว่าฮวาหูเตี๋ยเสียอีก ทำให้นางเปรียบเสมือนพี่ใหญ่ต้องคอยดูแลน้องชายและน้องสาวทั้งสองคน

กาลเวลาผันผ่านฤดูกาลแปรเปลี่ยน วัสสานะฤดูเวียนมาบรรจบอีกรอบหนึ่ง แม้ที่โลกมนุษย์นี้จะผ่านมานานนับปีแล้ว แต่สำหรับเหล่าเทพเซียนบนสวรรค์นั้นกลับเป็นเวลาเพียงชั่วข้ามคืนเท่านั่น มนุษย์หนุ่มและเซียนสาวอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันนานนับปี ไม่แปลกที่จะสนิทสนมกลมเกลียวดังคู่รักคู่หนึ่ง แม้ไม่เป็นอย่างนั้นความรู้สึกเหล่านี้ยิ่งก่อตัวพอกพูนขึ้น นับว่าเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับเซียนสาวไร้เดียงสาอย่างฮวาหลันยิ่งนัก

"ฮวาหลัน นกน้อยตัวนี้งดงามหรือไม่" เสี่ยวชางนำนกเสี่ยวฮัวที่ถูกขังไว้ในกรงไม้มาให้ฮวาหลันดู ภาพนกน้อยในกรงขังนั้นบาดใจนางยิ่ง

"งดงามยิ่ง"

"งดงามไม่เท่าเจ้า"

"เช่นนั้นปล่อยนกน้อยได้หรือไม่"

"ได้แน่นอน" ทั้งคู่หยอกล้อกันหวานซึ้ง คำหวานที่ออกมาจากปากชายหนุ่มนั้นนับวันยิ่งทำให้เซียนน้อยอิ่มเอิบใจ ความรู้สึกถลำลึกไปไกลเกินกว่าจะรู้ตัว

"นี่ เสี่ยวชาง เจ้าเคยมีความรู้สึกเช่นนี้หรือไม่" ฮวาหลันเอ่ยออกมาขณะมองนภาครึ้มฝน

"ความรู้สึกใดกัน"

"ทุก ๆ วันข้าคนึงถึงแต่เจ้า จะยามตื่นหรือยามหลับก็เห็นเพียงใบหน้าเจ้า ข้าพึ่งเคยสัมผัสความรู้สึกนี้เป็นครั้งแรกจึงไม่อาจเข้าใจ" เมื่อเสี่ยวชางได้ยินดังนั้นก็ยิ้มอ่อนกลางผสานมือของเขากับฮวาหลันเข้าด้วยกัน มืออีกข้างลูบปอยผมที่หลุดออกมาตามกรอบหน้าด้วยความเอ็นดู

"ความรู้สึกนี้คือความรักยังไงล่ะฮวาหลัน"

"ความรักงั้นเหรอ"

"ใช่ ความรัก"

"เช่นนั้นหมายความว่าข้ารักเจ้าใช่หรือไม่เสี่ยวชาง" เซียนน้อยยิ้มออกมายามพูดถึงความรัก ดุจดั่งบุปผาแย้มแรกผลิบานยามวสันต์ ผีเสื้อนับร้อยรวมตัวกันโผบินอย่างเริงร่า

"ใช่แล้ว เจ้ารักข้า"

"เช่นนั้นเจ้ารักข้ารึไม่เสี่ยวชาง" เสี่ยวชางที่ได้ยินคำถามนั้นจึงชะงักเล็กน้อย ทว่าฮวาหลันที่กำลังยินดีกับความรักครั้งนี้อยู่นั้นไม่ได้สังเกตแม้แต่น้อย

"แน่นอน ข้ารักเจ้า" เสี่ยวชางจุมพิตที่ปานดอกหลันอวี้อย่างแผ่วเบา นั่นยิ่งทำให้ความรู้สึกของฮวาหลันพองโต

"เจ้ารักข้า และข้าก็รักเจ้า เราสองคนต่างเป็นคู่ที่เหมาะสมจริงแท้" เวลาล่วงเลยหลายวัน ในที่สุดเทพพิรุณก็หยุดพิโรธใส่เทพวารี ยามเทพทั้งสองทะเลาะกันทีไรมีเหตุให้เกิดพายุฝนอยู่ร่ำไป ทว่าทุกคราที่ทั้งคู่ทะเลาะกันนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองยิ่งแนบแน่นขึ้น เป็นคู่รักหวานซึ้งดุจนกยวนยางที่ซื่อสัตย์ต่อคนรักของตน

"เจ้ามาอยู่ที่นี่นานแล้วใช่หรือไม่แม่นางฮวา" ยายแก่คนหนึ่งเข้ามาทักขณะฮวาหลันเลือกของอยู่ นางเป็นคนเดียวที่ไม่ผลักไสไล่ส่งนางในเหตุการณ์ครั้งนั้น ทั้งยังคอยช่วยเหลือนางอย่างซื่อตรงสมกับใช้ชีวิตอยู่มานาน

"ยายโจว สวัสดีจ้ะ ไม่ได้พบกันหลายวันร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง"

"ข้าสบายดี นี่ผ่านมาแล้วหนึ่งปีเจ้ายังอาศัยใต้ชายคาเดียวกับเสี่ยวชางอยู่อีกรึ"

"ใช่จ้ะ มีอะไรหรือเปล่าจ้ะ" ยายโจวเงียบไปครู่นึงจึงพูดออกมา

"ข้าเพียงอยากเตือนเจ้าเท่านั้นแม่นางฮวา หนุ่มสาววัยแรกรุ่นใต้ชายคาเดียวกันคงไม่พ้นคำครหา อีกทั้งเสี่ยวชางนั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่าชายหนุ่มในหมู่บ้านนี้เลย" ฮวาหลันได้แต่มึนงง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเสี่ยวชางดีกับตนมาตลอด อีกทั้งสองคนยังรักกัน เหตุใดยายโจวจึงกล่าวเช่นนั้น

"ข้าเข้าใจแล้วจ้ะ เช่นนั้นข้าขอตัวเดี๋ยวจะมืดค่ำเสียก่อน" ฮวาหลันกลับมาถึงบ้านกลางป่าตอนพลบค่ำ เมื่อมาถึงแสงไฟจากตะเกียงก็ถูกจุดไว้เรียบร้อยแล้ว กลิ่นอาหารที่โชยออกมานั้นได้สลัดความขุ่นมัวในจิตใจสลายหายไปในบัดดล เพียงพริบตาหยาดฝนก็ตกลงมาโดยไม่ทันตั้งตัว

"ข้ากลับมาแล้วเสี่ยวชาง" ฮวาหลันกลับมาในสภาพตัวเปียกเล็กน้อย เสี่ยวชางเห็นดังนั้นจึงหยิบผ้ามาเช็ดผมให้

"กลับมาแล้วหรือฮวาหลัน" ราวกับมีฟ้าผ่ากลางใจ เสียงหญิงสาวที่สวมใส่อาภรณ์ตนอยู่นั้นทำให้ใจฮวาหลันตกลงไปยังตาตุ่ม เมื่อพินิจพิจมองดูกลับพบว่าเป็นคนที่ตนรู้จักเป็นอย่างดี

"เจ้าก็มาด้วยหรือ อาอวี๋"

ฮอต

Comments

Takahashi HitomiLửa

Takahashi HitomiLửa

หงุดหงิดไปกับตัวละคร

2023-07-30

0

Enoch

Enoch

แอดเขียนดีจนทำให้ผมติดเรื่องทุกวันเลยครับ 🤪

2023-07-30

0

ทั้งหมด

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!