“เคร้ง!!”
เสียงกระทบกันของมีดดังขึ้นกึกก้อง ท่ามกลางเงามืดภายในห้อง เสียงลมหายใจหนัก ๆ ดังแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยความตึงเครียด
ชายร่างสูงในชุดดำ กวัดแกว่งมีดสั้นไปมา ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังเป้าหมายตรงหน้า—เด็กสาวที่อยู่ในท่าตั้งรับ
“โอ้ว... ทักษะไม่เลวเลยนะ ไม่คิดเลยว่านักฆ่าอย่างผมจะต้องมาตึงมือให้กับเด็กแบบนี้”
เขายิ้มเยาะเล็กน้อย แต่มือยังคงกำด้ามมีดแน่น เตรียมจู่โจมอีกครั้ง
“มิ้วส์! เกิดอะไรขึ้น!?”
เสียงของชายหญิงคู่หนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง พ่อและแม่ของมิ้วส์วิ่งเข้ามาด้วยความตกใจ หลังจากได้ยินเสียงดัง แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะเข้าใกล้—
ฉึก!
ปลายมีดถูกชี้ตรงมาที่ทั้งสองด้วยความคมกริบ ดวงตาของชายชุดดำเป็นประกายเย็นชา
“ถ้าพวกแกคิดจะเข้ามา... ผมจะฆ่าทิ้งโดยไม่ลังเล”
“…กล้าดียังไงถึงมาทำร้ายลูกสาวของชั้น…”
เสียงของพ่อของมิ้วส์เย็นเยียบ ราวกับน้ำแข็งที่พร้อมจะบดขยี้ศัตรูให้แหลกเป็นเสี่ยง ๆ
ชายชุดดำที่ถือมีดรู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติ—
ร่างกายของทั้งสองคนตรงหน้า...
—กำลังเปลี่ยนไป...
ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก
“อะไรกัน...!?”
เขามองเห็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย—
พ่อของมิ้วส์งอก เขาและปีก ออกมาจากแผ่นหลัง ส่วนแม่ของเธอ ผิวกายซีดขาวราวกับศพ ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน
—ทั้งสองคนไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา!
“ตายซะ— แสงทำลายล้าง!!”
ตู้มมมมมมมมม!!!
ลำแสงพุ่งทะลุผ่านบ้านพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ส่องสว่างไปทั่วทั้งเมือง
ปัจจุบัน - อาณาจักรมนุษย์
“ฝ่าบาท มีผู้ต้องการเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ”
กษัตริย์เซ็นเทิร์น (ตัวจริง) นั่งอยู่บนบัลลังก์ ท่ามกลางแสงจากคบเพลิงที่ริบหรี่ รอบตัวเขามีทหารองครักษ์ยืนเรียงราย คอยเฝ้าระวังภัย
เขาเหลือบตามองไปที่ทหารที่มาแจ้งข่าวด้วยสีหน้าว่างเปล่า แต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยอะไร—
ฉัวะ!!
เลือดสาดกระเซ็นออกมา
ร่างของทหารที่มาแจ้งข่าว... ถูกตัดหัวในพริบตา...
เสียงฝีเท้า...
ดังก้องในความเงียบงัน
ชายปริศนาเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า—เขาสวมหน้ากากตัวตลกที่เปื้อนเลือด
เขามาคนเดียว
มือซ้ายของเขาถือ...
หัวของทหารที่มาแจ้งข่าวเมื่อครู่
“ขอบคุณที่ยังมองผลงานของพวกเรา”
เสียงแหบพร่าของเขาดังขึ้น ราวกับเป็นเพียงเสียงกระซิบเบา ๆ แต่กลับก้องกังวานไปทั่วทั้งห้อง
เหล่าทหารที่เหลืออยู่ในท้องพระโรง ค่อย ๆ หันมองร่างไร้วิญญาณของสหายตัวเองที่กองอยู่บนพื้น
เลือดสีแดงฉานไหลนองไปทั่ว
ความเงียบงันโรยตัวลงมา—
“ไอพวกขยะชั้นต่ำ...”
เสียงของเซ็นเทิร์นดังขึ้น ดวงตาของเขาเปล่งประกายวาวโรจน์
“กล้ามาเหยียบพื้นที่ของข้า... แล้วยังจะฆ่าคนของข้าไปมากมาย...”
ชายหน้ากากตลกไม่ได้แสดงความหวาดกลัวแม้แต่น้อย กลับหัวเราะในลำคอเบา ๆ
“ใจเย็นก่อนท่าน...”
เขาเหวี่ยงมือเบา ๆ และโยนกระดาษแผ่นหนึ่งไปให้เซ็นเทิร์น
กระดาษนั้นตกลงมาบนตักของกษัตริย์
“นี่คือใบคำเชิญที่ท่านฉีกทิ้งไป...”
ชายหน้ากากตลกเอียงคอเล็กน้อย พลางแสยะยิ้มภายใต้หน้ากาก
“แต่พวกเราได้รวบรวมมันกลับมาอีกครั้ง...”
เขาก้าวเข้าไปใกล้
“และพวกเรา... ขอทำบางอย่างเพื่อเป็นการตอบแทนสิ่งที่ท่านต้องการ”
ความเงียบโรยตัวลงมาอีกครั้ง
...และนี่คือจุดเริ่มต้นของบางสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวกว่าที่เคยมีมา—
ตัดมา
เสียงฝีเท้าดังก้องในตรอกแคบ ๆ ตัวตลกสวมหน้ากากเปื้อนเลือดเร่งฝีเท้าอย่างบ้าคลั่ง ความจริงถูกเปิดเผยแล้ว—การปลอมตัวของมันล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
“ให้ตายสิ... บ้าเอ๊ย! พลาดท่าแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด!”
มันกัดฟันกรอด หันหลังกลับไปมอง—เงาของหญิงสาวผมสีเงินยาวสะบัดพลิ้วไหวอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์
“นึกว่าจะใจกล้ากว่านี้ซะอีก... ไม่ปล่อยให้หนีไปได้หรอก”
เสียงของ เซเลสเทีย ดังก้อง ร่างของเธอพุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็ว
ฉัวะ!
เลือดสาดกระจาย เสียงเนื้อถูกเฉือนดังขึ้น แต่ไม่ใช่ของตัวตลกพันศพ...
“...อึก!”
พวกพ้องของมันโผล่ออกมาขวางทางเซเลสเทีย มือของพวกมันถืออาวุธสูบโลหิต ดวงตาเต็มไปด้วยความคลุ้มคลั่ง
“เป็นตัวที่มีปัญหาเยอะจริง ๆ เลยนะ...”
เซเลสเทียกระชับดาบของเธอ ดวงตาสีแดงฉานส่องประกาย
ขณะที่สถานการณ์กำลังตึงเครียด—
เสียงก้าวเท้าของเหล่าอัศวินก็ดังก้อง
กองทัพแห่งสกาเล็ต เอมไพร์ ปรากฏตัว
ร่างในชุดเกราะสีแดงทมิฬยืนเรียงรายท่ามกลางแสงจันทร์
“ฝ่าบาท โปรดให้พวกเราได้รับคำบัญชาด้วย”
อเล็กซ์เซีย (18) นักบุญแห่งสกาเล็ต เอมไพร์
เอมิเดีย (19) นักรบแห่งสกาเล็ต เอมไพร์
คาสโตรัส (20) ปรมาจารย์ดาบแห่งสกาเล็ต เอมไพร์
ไฮโตซีน (22) อสูรจอมทำลาย
ไนท์เพนท์ (25) มหาจอมเวทย์แห่งสกาเล็ต เอมไพร์
เอนาซ่า (26) เงาของผู้พิทักษ์
คลาน่า (21) ผู้ส่งสาร
อาร์ลัน (24) แม่ทัพแห่งสกาเล็ต เอมไพร์
อัสต้า (28) ผู้บัญชาการแห่งผู้บัญชาการ
—
“พวกเราจะรับคำบัญชาต่อฝ่าบาท”
เซเลสเทียยกดาบขึ้น และกล่าวเสียงเย็น
“จงชำระล้างบาปให้กับราชอาณาจักรโลหิต”
“รับคำบัญชา!”
ตัวตลกพันศพรู้ทันทีว่าตัวเองไม่มีทางรอด
“...ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ...”
มันหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะยกมือขึ้นเหนือศีรษะ
“จงถวายชีวิตและบูชาแก่ท่าน ซาราเลซ่า!—”
เสียงกรีดร้องดังขึ้น พร้อมกับเสียงโลหะกระทบกันอย่างรุนแรง
การปะทะได้เริ่มขึ้น—
ขณะที่สมรภูมิกำลังร้อนระอุ—
บรอนล่ากำลังอพยพผู้ที่ไม่มีพลังออกจากพื้นที่ แต่เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“...อมตะหายไปไหน?”
ขณะที่กำลังครุ่นคิด
“คุณบรอนล่ามาทางนี้หน่อยค่ะ”
เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้าง
บรอนล่าหันไปมองทันที—
“ท่านนาน่า!?”
หญิงสาวผู้มีเส้นผมสีขาวประกายเงินยืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความแน่วแน่
“หนูยังไม่ได้บรรเลงบทเพลงเลยนะคะ”
บรอนล่าขมวดคิ้ว
“แต่ตอนนี้ฉันกำลังอพยพผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องอยู่นะคะ”
นาน่ายิ้มบาง ๆ
“หนูต้องการบรรเลงบทเพลงค่ะ... เรื่องนั้นปล่อยให้พี่เอเธอร์ทำแทนเถอะค่ะ”
สีหน้าของนาน่าเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น บรอนล่าจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจพยักหน้า
“โคมาริซัง, แอนนา, เอมิเลีย, ลิลลี่, คุณบรอนล่า... ไปบรรเลงบทเพลงกันเถอะค่ะ”
“รับทราบค่ะ!”
นาน่ากระพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะคิดในใจ
'เอ๋? ทำไมเราดูเหมือนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ขึ้นมาซะงั้น?'
ทั้งห้าคนมุ่งหน้าไปยังเวทีแสดง
เมื่อไปถึง พวกเธอได้เห็นเครื่องดนตรีที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว
“นี่ค่ะ เครื่องดนตรีของแต่ละท่าน”
แอนนาหยิบเครื่องดนตรีชิ้นหนึ่งขึ้นมา ดวงตาสีฟ้าของเธอฉายแววสงสัย
“นี่เรียกว่าอะไรเหรอคะ?”
นาน่ายิ้มอ่อนโยน
“นั่นเรียกว่าเปียโนค่ะ”
บรอนล่าขมวดคิ้วมองแซกโซโฟนในมือของตัวเอง
“ท่านนาน่า ฉันคิดว่าฉันเล่นแซกโซโฟนไม่เป็นนะคะ...”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ แค่ทำตามเสียงที่หนูส่งให้ในหัวก็พอ”
นาน่าหันมองหาเครื่องดนตรีอีกชิ้น แต่กลับไม่พบสิ่งที่เธอต้องการ
'เราไม่ได้สั่งทำคลาริเนตไว้เหรอ?'
หญิงสาวพึมพำ ก่อนจะยิ้มบาง ๆ และยกมือขึ้น—
“เวทมนตร์แห่งการสร้าง...”
พริบตาเดียว คลาริเนตที่สวยงามก็ปรากฏขึ้นในมือของเธอ ก่อนจะยื่นให้ โคมาริ
โคมาริจ้องมันด้วยความตื่นเต้น
“เป็นเครื่องดนตรีที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
“นั่นคือโอโบค่ะ”
เอมิเลียได้รับฮาร์ปมาไว้ในมือ และจ้องมันอย่างหลงใหล
“ฉันเคยเห็นสิ่งนี้อยู่นะคะ... คาดไม่ถึงว่าฉันจะได้มาเล่นเอง”
นาน่าหัวเราะเบา ๆ
“ฮิฮิ~”
ส่วนลิลลี่ได้รับ บาสซูน มาถือไว้ เธอเงยหน้าขึ้นด้วยแววตามุ่งมั่น
“ดิฉันจะทำให้เต็มที่เลยค่ะ!”
นาน่าหยิบคลาริเนตขึ้นมาแนบริมฝีปาก ก่อนจะยิ้มให้ทุกคน
“มาเริ่มกันเลยค่ะ—”
—เสียงเพลงแห่งสงครามกำลังจะบรรเลง—
บทเพลงนิรันดร์แห่งสงคราม
กลางสมรภูมิอันโหดร้าย เสียงของศาสตราและเสียงกรีดร้องของศัตรูสอดประสานกันเป็นซิมโฟนีแห่งการทำลายล้าง แต่ในท่ามกลางความวุ่นวายนั้น—เสียงบทเพลงหนึ่งได้กังวานขึ้น ดุจแสงนำทางให้เผ่าเลือด
นาน่าและเหล่านักดนตรีทั้งห้าเชื่อมจิตเป็นหนึ่งเดียวกัน เสียงดนตรีไพเราะโอบอุ้มสนามรบ ประสานด้วยมนตราแห่งวิญญาณ บทเพลงปลุกเร้าแรงใจของเหล่าทหารเผ่าเลือด พลังแห่งการต่อสู้ของพวกเขาถูกกระตุ้นขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“จู่ๆ พวกมันก็แข็งแกร่งขึ้น! นี่มันเกิดจากอะไรกัน?”
หนึ่งในตัวตลกพันศพร้องอย่างแตกตื่น ดวงตาสีโลหิตของมันฉายแววตระหนก
“มันคือบทเพลงขององค์หญิง—เสียงของเธอปลุกจิตวิญญาณของเผ่าเลือดให้ลุกโชนขึ้น!”
เผ่าเลือดยังคงยืนหยัด แม้ตัวตลกพันศพจะลดลงเรื่อยๆ แต่กองทัพของพวกเขายังคงอยู่ครบถ้วน และที่สำคัญ—ยิ่งแข็งแกร่งกว่าเดิม
ท่ามกลางเสียงดนตรีอันงดงาม เงาร่างหนึ่งก้าวเข้ามาใกล้เวทีที่นาน่ากำลังบรรเลง
“ท่านอาเนส?”
เสียงเรียกของนาน่าดังขึ้น ดวงตาของเธอเบิกกว้างเมื่อเห็นพี่สาวของตน
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ ท่านพี่ ฮิฮิ...ช่วงนี้หนูไม่ไ—”
ก่อนที่ประโยคนั้นจะจบลง ความเจ็บปวดแล่นผ่านกลางอกของนาน่า มีดสีดำทะลุร่างของเธอ เสียบลึกเข้าไปถึงหัวใจ พลังชีวิตของเธอถูกดึงออกมาพร้อมกับแสงสีทองที่ส่องประกายบนคมมีด
เสียงบทเพลงหยุดลงทันที ความเงียบงันปกคลุมสนามรบ ทุกสายตาจับจ้องไปยังร่างของนาน่าที่ค่อยๆ ทรุดลง
“ท่านพี่...นี่มัน...มีดสูบวิญญาณ ไม่ใช่เหรอคะ...?”
เสียงของเธอแผ่วเบา หัวใจของเธอเต้นช้าลง ดวงตาสีทับทิมที่เคยเปล่งประกายกำลังหม่นแสงลงอย่างช้าๆ
บรอนล่าที่เห็นภาพนั้นก็พุ่งเข้าโจมตีทันที
“แสงศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพธิดาฟราเรน่า!!”
แสงสว่างปกคลุมไปทั่วบริเวณ พลังโจมตีของบรอนล่าปลดปล่อยเต็มกำลัง กระแทกใส่อาเนสอย่างจัง
ร่างของอาเนสแตกกระจายออก—เผยให้เห็นร่างของตัวตลกที่ซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกนอก
มันหัวเราะเบาๆ ก่อนที่ร่างจะสลายไป ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้ ยกเว้นสิ่งที่มันได้ทำลงไป
นาน่า...ไร้ลมหายใจ
สายฝนโปรยปรายลงมาแทนหยาดน้ำตา เสียงหยดน้ำกระทบพื้นดินดังก้องไปทั่วราวกับเสียงหัวใจที่แตกสลาย
โคมาริทรุดลงข้างร่างของนาน่า มือของเธอสั่นสะท้าน ริมฝีปากขบกันแน่น
“ฉันไม่คิดมาก่อนเลยว่าฉันจะต้องมาเจอกับสิ่งนี้...”
น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลลงบนแก้มของเธอ
“ทำไมต้องเป็นนาน่าจัง...ทำไมนาน่าจังถึงต้องจากไปแบบนี้...”
รอบข้างมีเพียงความเงียบงัน มีเพียงสายลมที่พัดผ่านราวกับต้องการปลอบโยน แต่ไม่มีสิ่งใดสามารถเติมเต็มช่องว่างที่ปรากฏขึ้นในหัวใจของพวกเขา
เซเลสเทียก้าวเข้ามาช้าๆ มือของเธอลูบแก้มลูกสาวที่ไร้ชีวิต
“ลูกแม่...”
หยดน้ำตาหนึ่งหยดของเธอร่วงลงบนหน้าผากของนาน่า
ในห้วงแห่งความว่างเปล่า นาน่าลืมตาขึ้น
รอบตัวเธอเต็มไปด้วยผืนน้ำใสสะอาด ทุกสิ่งเป็นสีขาวบริสุทธิ์ เธอยืนอยู่บนน้ำ แต่ไม่มีเงาสะท้อนของเธอเอง
“ที่นี่...คือที่ไหน?”
เธอหมุนตัวมองไปรอบๆ แล้วสายตาก็สะดุดเข้ากับเงาร่างหนึ่ง
มันคือเธอเอง—อีกคนหนึ่งที่เหมือนเธอทุกอย่าง
“นั่นมัน...ตัวเราเอง?”
เธอพยายามก้าวไปข้างหน้า แต่ยิ่งเดินเข้าใกล้ ร่างนั้นก็ยิ่งไกลออกไป
เธอเร่งฝีเท้า พยายามเอื้อมมือออกไป แต่ทันใดนั้น—
เธอจมหายลงไปในผืนน้ำ
“นี่มันอะไรกัน?! ทำไมเรา—!”
ความเย็นเยียบปกคลุมร่างกาย หายใจไม่ออก ราวกับมีบางสิ่งกำลังกดเธอลงไปในห้วงลึกแห่งความมืด
เสียงของโลกภายนอกเลือนหายไป มีเพียงเสียงหัวใจของเธอที่เต้นช้าลงเรื่อยๆ
'แบบนี้ก็ดีแล้ว...ในที่สุดเราก็จะได้กลับไปหามิ้วส์'
เธอยิ้มบางๆ ก่อนที่สติจะดับวูบลง
—จมดิ่งสู่ห้วงนิรันดร์—
เสียงระฆังโศกดังก้องสะท้อนไปทั่วอาณาจักรเผ่าเลือด มันเป็นเสียงที่แจ้งข่าวการจากไปขององค์หญิงนาน่า สัญลักษณ์แห่งความหวังของพวกเขา
เผ่าเลือด ไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์หรือสามัญชน ต่างสวมชุดไว้ทุกข์สีดำ เดินเรียงแถวอย่างเงียบงันภายใต้ฟ้าที่มืดครึ้ม ราวกับสวรรค์เองก็กำลังร่ำไห้
กลางมหาวิหารอันยิ่งใหญ่ โลงศพทองคำที่ประดับด้วยอัญมณีล้ำค่าถูกวางไว้ เส้นลายแกะสลักที่งดงามไม่ได้ช่วยลดทอนความเศร้าเลยแม้แต่น้อย แต่กลับเน้นย้ำให้ทุกคนตระหนักว่านาน่า…ไม่ได้อยู่กับพวกเขาอีกต่อไป
เธอจากไปแล้ว อย่างไม่มีวันหวนกลับ
เซเลสเทียทรุดตัวลงข้างโลงศพ มือของเธอกำสร้อยคอเส้นเล็กที่นาน่าชอบไว้แน่น น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าร่วงหล่นลงบนฝ่ามือ
“ลูกของแม่...ทำไมถึงจากแม่ไปเร็วเช่นนี้...”
เสียงของเธอแผ่วเบา ริมฝีปากสั่นระริก เธอพยายามคงความสง่างามในฐานะราชินี แต่ไม่อาจซ่อนความเจ็บปวดจากการสูญเสียลูกสาวเพียงคนเดียวได้
เธอยังจำได้ดี ภาพของเด็กหญิงที่วิ่งเล่นไปทั่วพระราชวัง หัวเราะสดใส ดวงตาสีแดงสดเต็มไปด้วยความฝันและความหวัง แต่วันนี้...ความสดใสนั้นได้หายไปแล้ว
เสียงสวดของนักบวชดังกังวานไปทั่วมหาวิหาร ผู้คนพากันก้มศีรษะ ส่งคำภาวนาให้ดวงวิญญาณขององค์หญิง แต่ไม่มีใครสามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้
โลงศพถูกล้อมรอบด้วยดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ ราวกับต้องการปกป้องเธอเป็นครั้งสุดท้าย
อธิบายสั้นๆจากไรท์ที่เเต่ละตัวละครผูกพันกับนาน่าเพราะว่าผูกพันมาตั้งเเต่นาน่าเกิดมาเเล้ว ตั้งเเต่ที่ไม่ได้มีคนอื่นมาเข้าร่างในตัวเธอ
“องค์หญิงผู้สูงศักดิ์และงดงามดังแสงจันทร์ แม้ดวงดาวต้องร่ำไห้เมื่อเธอจากไป ขอพระองค์ทรงเสด็จสู่สรวงสวรรค์อันเป็นนิรันดร์”
เสียงของนักบวชสั่นเครือ พิธีศพกำลังจะจบลง แต่ไม่มีใครอยากให้มันจบ...
เมื่อขบวนอัญเชิญร่างขององค์หญิงเคลื่อนไปยังสุสานหลวง ทันใดนั้น ลำแสงสีทองก็พุ่งทะยานลงมาจากฟากฟ้า
เสียงปีกกระพือดังสนั่นกลางท้องฟ้า พร้อมกับเปลวไฟสีฟ้าอมทองที่ลุกโชติช่วงกลางอากาศ สิ่งมีชีวิตผู้ยิ่งใหญ่ปรากฏตัวขึ้น—
ราชันย์นกฟีนิกซ์ ซาเฟียร์
ขนของมันเจิดจ้าดุจเปลวเพลิงแห่งนิรันดร์ ดวงตาสีอำพันลึกล้ำสะท้อนแววปัญญา และเสียงของมันทรงอำนาจดุจเทพเจ้า
“ทุกท่าน โปรดอย่าได้เสียใจนัก นี่ยังไม่ใช่เวลาขององค์หญิงที่จะจากไป ข้าสามารถชุบชีวิตเธอได้”
ทุกคนตื่นตระหนก ความโศกเศร้าที่ปกคลุมมหาวิหารพลันแปรเปลี่ยนเป็นความหวัง
โคมาริที่ยืนอยู่ใกล้โลงศพเงยหน้าขึ้น ดวงตาเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ
“ฉันได้ยินไม่ผิดใช่ไหม? นาน่าจัง...จะกลับมาได้จริงๆ เหรอ?”
“ข้าไม่ได้โกหก” ซาเฟียร์กล่าว น้ำเสียงหนักแน่น
แต่ก่อนที่ความยินดีจะเข้าครอบงำทั้งหมด นกฟีนิกซ์กลับเอ่ยคำหนึ่งที่ทำให้ทุกคนหยุดนิ่ง
“แต่มีเงื่อนไข”
ซาเฟียร์กางปีกอันสง่างามของมัน ดวงตาฉายแววจ้องมองไปที่เซเลสเทีย
“ข้าอยากให้เจ้าที่เป็นราชินี ไปนำอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของโซลลันญ่ามาให้ข้า”
เสียงกระซิบและความกังวลแพร่สะพัดไปทั่วมหาวิหาร แต่ไม่มีใครกล้าคัดค้าน
“ทำไมต้องเป็นอาวุธของโซลลันญ่าท่านทวดของเรา?” เซเลสเทียเอ่ยถาม
“เมื่อโซลลันญ่าจับอาวุธนั้น องค์หญิงจะได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง”
“ถึงแม้เธอจะสูญเสียหัวใจไปแล้ว หัวใจนั้นก็จะกลับคืนมา”
เงื่อนไขฟังดูเสี่ยงและเต็มไปด้วยความลึกลับ แต่เซเลสเทียไม่ลังเล เธอลุกขึ้น ยืนตระหง่านราวกับนักรบ
“ข้าจะไป”
การเดินทางสู่ทวีปมืด
เซเลสเทียเปลี่ยนชุดของเธอเป็นชุดประจำตัว เสื้อคลุมสีขาวปักลวดลายทองสะท้อนแสงเปลวเพลิง ดาบศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าเลือดถูกรัดแน่นที่เอว
บรอนล่าเองก็เปลี่ยนไปสวมชุดเกราะพร้อมเดินทาง ส่วนโคมาริ ผูกผมให้กระชับขึ้น เปลี่ยนเป็นชุดรัดกุมที่เหมาะกับการต่อสู้
“ไปกันเถอะค่ะ” เซเลสเทียเอ่ยขึ้น ดวงตาแน่วแน่
เอเธอร์มองร่างของนาน่าที่นอนสงบนิ่ง เขาตัดสินใจอยู่เฝ้าร่างขององค์หญิงที่นี่ เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
“ไปเปิดประตูสู่ทวีปมืดกันเถอะ!”
เสียงแห่งภารกิจเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางสายลมที่พัดแรงราวกับจะส่งสัญญาณถึงโชคชะตาที่กำลังจะเปลี่ยนแปลง
เบื้องหน้าของพวกเขา ไม่ใช่เพียงการเดินทางธรรมดา แต่มันคือการเดินทางสู่ความหวังและปาฏิหาริย์—
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 36
Comments