เสียงประกาศผ่านทางโทรทัศน์ดังก้องไปทั่วห้องประชุมหรูหราของทีมชาติ
“มิ้วส์ ตัวแทนนักกีฬาทีมชาติ ได้ขอถอนตัวออกจากทีมครับ”
ทันทีที่คำพูดเหล่านั้นจบลง เสียงกระแทกดังลั่นก่อนที่แก้วไวน์จะแตกกระจายไปทั่วพื้น
“อะไรนะ!?”
ผู้จัดการทีมที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานสีเข้มกระแทกมือเข้ากับโต๊ะด้วยความโกรธ นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความเดือดดาล
“ฉันคาดหวังในตัวยัยนั่นว่าจะเอามาใช้ประโยชน์... แต่เธอกล้ามาหักหลังฉัน?”
มือของเขากำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นมาบนหลังมือ ก่อนจะตวาดเสียงดังลั่น
“ไปฆ่ามันทิ้งซะ! มันหมดประโยชน์แล้ว!”
หน้าบ้านของมิ้วส์ — เวลา 20:45 น.
ท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบสงัด ร่างของชายคนหนึ่งยืนหลบอยู่ในเงามืด เขาสังเกตบ้านสองชั้นตรงหน้าอย่างใจเย็น แสงไฟจากหน้าต่างชั้นล่างเผยให้เห็นเงาร่างของคนสองคน—พ่อและแม่ของมิ้วส์
เสียงกระซิบจากชุดหูฟังดังขึ้นเบา ๆ
“บ้านมีขนาดสองชั้น ชั้นล่างมีพ่อกับแม่อยู่ เป้าหมายอยู่ที่ชั้นสองครับ น่าจะยังไม่รู้ตัวว่าผมมา”
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมีเสียงทุ้มต่ำตอบกลับมา
“ดี... ฟังให้ดี เป้าหมายคือยัยนั่นเท่านั้น แต่ถ้ามีใครมาขวาง... ก็ฆ่าทิ้งได้เลย”
เสียงของอีกฝ่ายเย็นชาและไร้ความปรานี
“เรื่องข่าวฉันจะจัดการเอง ตำรวจที่อยู่ใต้เท้าฉันจะเป็นคนเคลียร์เรื่องนี้ให้ หาวิธีฆ่ามันให้ได้”
ชายคนนั้นรับคำสั่งทันที
“เข้าใจแล้วครับ”
เขาลอบมองไปที่หน้าต่างห้องของมิ้วส์ที่ชั้นสอง ดวงตาของเขาวาวโรจน์ก่อนจะคิดแผนการบางอย่าง
“ผมจะปลอมเป็นพนักงานส่งพิซซ่า แล้วเข้าไปในบ้าน”
การลอบสังหารเริ่มต้นขึ้น
ไม่กี่นาทีต่อมา รถจักรยานยนต์คันเล็กขับมาจอดที่ตรอกมืดข้างร้านพิซซ่า ชายคนนั้นเดินตรงไปหาพนักงานส่งพิซซ่าที่กำลังเช็กออร์เดอร์
ฉึก!
เสียงมีดเสียบเข้าไปที่ด้านหลังของพนักงานหนุ่ม ก่อนที่ร่างของเขาจะทรุดลงกับพื้น เลือดสีแดงเข้มไหลนองบนพื้นซีเมนต์
“ผมจัดการพนักงานส่งพิซซ่าแล้ว”
ชายคนนั้นพูดผ่านชุดสื่อสาร ก่อนจะเริ่มปลอมตัวเป็นพนักงานคนนั้น เขาเก็บศพไปซ่อนและทำความสะอาดรอยเลือดอย่างแนบเนียน
ในเวลาต่อมา...
เขากดกริ่งหน้าบ้านของมิ้วส์ พร้อมกับถือกล่องพิซซ่าในมือ
ติ๊งต่อง
เสียงกริ่งดังขึ้น และไม่นานนัก ประตูบ้านก็เปิดออก เผยให้เห็นหญิงวัยกลางคนที่มีใบหน้าสงบ เธอยิ้มต้อนรับเขาด้วยท่าทางเป็นมิตร
“ฮาย~”
ชายคนนั้นเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยเล่ห์กล
“สวัสดีครับ คุณเป็นคุณแม่ของมิ้วส์ใช่ไหมครับ? พอดีว่าผมเป็นพนักงานร้านพิซซ่าและเป็นเพื่อนของมิ้วส์ เลยเอาพิซซ่ามาฝากครับ”
หญิงสาวเอียงคอเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้สงสัยอะไรมากนัก
“มิ้วส์จังอยู่บนห้องชั้นสองนะ”
“ขอบคุณมากครับ”
ชายคนนั้นยิ้มก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน ขณะที่เขาก้าวขึ้นบันไดช้า ๆ สายตาของผู้เป็นพ่อจับจ้องมาที่เขาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
สัมผัสแห่งความอันตราย
เมื่อขึ้นมาถึงหน้าห้องของมิ้วส์ ชายคนนั้นเคาะประตูเบา ๆ
“มิ้วส์จัง มีเพื่อนเอาพิซซ่ามาให้นะ”
เสียงเงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่เสียงของมิ้วส์จะดังออกมาเบา ๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้หนูยังไม่ได้หิว วางไว้ที่หน้าประตูได้เลยค่ะ”
น้ำเสียงของเธอฟังดูปกติ แต่ในความเป็นจริงแล้ว มิ้วส์กำลังจ้องมองประตูด้วยสายตาตึงเครียด
ผู้เป็นแม่ที่ยืนอยู่ข้างล่างถอนหายใจเบา ๆ
“หลังจากที่ไคลน์จากไป... มิ้วส์ก็ไม่ได้ออกจากห้องเลย”
“อย่างนั้นหรอครับ”
ชายคนนั้นพึมพำเบา ๆ ในใจกำลังคิดหาวิธีเข้าไปในห้องของเธอ
ทันใดนั้นเอง—
แกร๊ก!
เสียงประตูถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว ร่างของมิ้วส์พุ่งออกมาด้วยความเร็วสูง ในมือของเธอมีมีดคมกริบที่สะท้อนแสงไฟ เธอพุ่งเข้าแทงชายคนนั้นด้วยท่าทางที่ไม่ลังเล
ฉึก!
แต่ชายคนนั้นกลับหลบไปได้อย่างง่ายดาย ร่างของเขาหมุนตัวหลบ ก่อนจะถอยออกมาตั้งหลัก
เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ
“หืม... ไม่คิดว่าเธอจะรู้ตัวตั้งแต่แรกว่าผมจะมาฆ่าเธอ”
มิ้วส์ไม่พูดอะไร นัยน์ตาของเธอฉายแววเย็นชา เธอกำด้ามมีดแน่น เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น—
และนี่... คือจุดเริ่มต้นของการไล่ล่าที่ไม่มีวันถอยหลังกลับไปอีกแล้ว—
อีกโลกนึง
ในห้องโถงอันโอ่อ่าของปราสาท ร่างเล็กของ นาน่าจัง กำลังยืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัด แสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างกระจกสีตกกระทบกับเส้นผมของเธอ ทำให้เรือนผมสีอ่อนสะท้อนประกายราวกับอัญมณี
ในมือของเธอมีไวโอลินที่สลักลวดลายวิจิตรงดงาม เครื่องดนตรีชิ้นนี้คือของล้ำค่าที่เธอรักที่สุด และในค่ำคืนนี้—เธอกำลังจะบรรเลงบทเพลงที่แต่งขึ้นเองเป็นครั้งแรก
'การเล่นไวโอลินของเรานั้นเป็นพรสวรรค์มาตั้งแต่ยังเด็ก...'
นาน่าจังคิดในใจ พลางนึกย้อนถึงวันวาน
เธอจำได้ว่าเมื่อตอนเป็นเด็ก ครูสอนดนตรีมักจะชมเธออยู่เสมอ ทุกครั้งที่เธอจับคันชักขึ้นมา เสียงดนตรีที่เปล่งออกไปนั้นสามารถสะกดทุกคนให้หยุดฟังได้
ค่ำคืนนี้ เธออยากลองบรรเลงบทเพลงที่เธอแต่งขึ้นเอง—
บทเพลงโลหิตแห่งนิรันดร์
เสียงแรกของไวโอลินดังขึ้น กังวานและนุ่มนวล เสียงเพลงแผ่ซ่านไปทั่วทั้งห้อง บรรยากาศรอบตัวพลันเงียบสงัดลง มีเพียงท่วงทำนองที่สะท้อนก้องไปมา
ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงต่างเงียบฟังด้วยความตื่นตะลึง สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่ร่างของเด็กสาวที่กำลังบรรเลงไวโอลินด้วยท่วงท่าสง่างาม
“เป็นการแสดงที่งดงามมากเลยค่ะ ดิฉันประทับใจจนอยากจะเก็บช่วงเวลานี้ไปชั่วชีวิตเลย”
“ดิฉันไม่เคยได้รับฟังบทเพลงที่ดีขนาดนี้มาก่อนเลยค่ะ... ในตอนที่ดิฉันตาย ฉันจะขอให้เสียงบทเพลงนี้บรรเลงในงานศพของดิฉันค่ะ”
'เดี๋ยว!'
คำพูดสุดท้ายของผู้ฟังทำให้นาน่าจังสะดุดไปชั่วขณะ เธอเกือบหลุดหัวเราะออกมา แต่แล้ว...
— ความทรงจำของเธอ พลันปรากฏขึ้นมาในหัวอย่างกะทันหัน
'มิ้วส์... พ่อ... แม่...'
ภาพใบหน้าของครอบครัวที่เธอจากมาโดยไม่ได้บอกลาลอยเข้ามาในจิตใจ เธอจำได้ว่ามิ้วส์เป็นคนที่ติดเธอมากเพียงใด และการหายไปของเธอคงทำให้มิ้วส์ต้องเสียใจอย่างมาก
เสียงของไวโอลินที่บรรเลงอยู่ พลันเปลี่ยนไปจากเดิม—
ท่วงทำนองที่เคยสง่างามเริ่มแฝงไปด้วยความเศร้าโศกและความเจ็บปวด มันเป็นเสียงเพลงที่ไม่สามารถแสดงออกมาทางสีหน้าได้ แต่หัวใจของเธอกำลังสื่อสารผ่านเสียงดนตรี
เสียงเพลงนั้นกรีดลึกลงไปในจิตใจของผู้ฟัง หลายคนเริ่มรู้สึกถึงความเศร้าสร้อยที่แฝงอยู่ในบทเพลง
ท่ามกลางเสียงดนตรีที่เศร้าสร้อย เสียงของ เซเลสเทีย ก็ดังขึ้นเบา ๆ
“นาน่าจัง ถึงเวลาแล้วนะคะ”
นาน่าจังหยุดบรรเลงไวโอลินอย่างช้า ๆ ก่อนจะถอนหายใจเล็กน้อย
“ค่ะ ท่านแม่ เดี๋ยวหนูจะไปเดี๋ยวนี้ละค่ะ”
เธอวางไวโอลินลงอย่างระมัดระวัง ก่อนจะก้าวเดินไปหาเซเลสเทีย
เซเลสเทียเผยรอยยิ้มอ่อนโยนก่อนจะจูงมือนาน่าจังอย่างทะนุถนอม
ระหว่างเดินไป นาน่าจังอดไม่ได้ที่จะถาม
“ท่านพี่ไม่ได้มาด้วยเหรอคะ?”
“มาสิคะ แต่ตอนนี้กำลังฝึกซ้อมกับบรอนล่าอยู่ค่ะ”
เซเลสเทียชี้ไปด้านนอก และที่สนามฝึกซ้อม นาน่าจังเห็นร่างของ เอเทอร์ กำลังดวลกับ บรอนล่า อย่างจริงจัง
สนามฝึกซ้อม
เสียงดาบปะทะกันดังสนั่นในสนามฝึก เอเทอร์พยายามโจมตีบรอนล่าด้วยความเร็วและพลังที่มากขึ้นกว่าครั้งก่อน แต่บรอนล่ายังคงรับมือได้อย่างง่ายดาย
“เข้ามาเลยค่ะ ท่านเอเทอร์! ท่านยังโจมตีฉันไม่ได้เลยนะคะ ถ้าเป็นแค่นี้ก็คงไม่ต่างจากครั้งที่แล้ว”
เอเทอร์กัดฟันแน่น ก่อนจะกระชับดาบในมือ เขามุ่งมั่นยิ่งขึ้น
“ถ้าฉันไม่ได้เก่งขึ้น... ฉันก็จะไม่สามารถปกป้องน้องได้”
บรอนล่ามองเขาด้วยสายตาชื่นชม ก่อนจะกล่าวขึ้น
“พยายามได้ดีมากค่ะ... นึกถึงสิ่งที่อยากปกป้องเอาไว้นะคะ มันจะทำให้ตัวเองเติบโตได้”
เซเลสเทียที่ยืนอยู่ด้านบน มองลงไปยังสนามฝึกซ้อมด้วยสายตาภูมิใจ
“เอเทอร์วันนี้ดูมุ่งมั่นกว่าวันก่อนเยอะเลย”
นาน่าจังเหลือบมองพี่ชายของเธอ ก่อนจะถามเซเลสเทีย
“ท่านพี่ไม่มีงานต้องทำเหรอคะ?”
“ทำเสร็จหมดแล้วค่ะ”
“เอ๋!?”
นาน่าจังเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“เป็นพี่ที่ขยันดีจังนะคะ”
เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกเคารพพี่ชายของเธอที่ขยันฝึกฝนอย่างหนัก
'ถ้าท่านพี่ฝึกจนเสร็จแล้ว... เราอยากจะลองประชันฝีมือกับท่านพี่จัง'
เธอกำมือแน่นอย่างมุ่งมั่น
'แต่ว่า... เราไม่สามารถทำให้เกิดรอยบาดบนตัวบรอนล่าได้เลยนี่นา'
เธอเสียเปรียบในเรื่องพละกำลัง แต่ถ้าเธอใช้เวทมนตร์ร่วมด้วยล่ะ?
เมื่อถึงเวลางาน นาน่าจังสังเกตเห็นว่า เอเทอร์ ดูเหนื่อยกว่าปกติ
“วันนี้ท่านพี่ดูเหนื่อย ๆ นะคะ”
“เพิ่งกลับมาจากการฝึกน่ะ”
เอเทอร์ตอบพลางถอนหายใจ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็รีบมาร่วมงานโดยที่ยังไม่ได้พักเลย
นาน่าจังมองพี่ชายของเธอ ก่อนจะเผยรอยยิ้มอ่อนโยน
'ท่านพี่พยายามขนาดนี้เพื่อพวกเรา...'
เธอรู้สึกอบอุ่นในใจ
ค่ำคืนนี้... เป็นอีกคืนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความสงบสุข ทว่า... ในใจของนาน่าจัง ยังคงมีความรู้สึกบางอย่างที่กดทับอยู่
ณ ท้องพระโรงอันโอฬาร ของ ราชอาณาจักรสกาเล็ต เอมไพร์ เวอร์มิเลี่ยนโดมิเนียน เสียงฝีเท้ากึกก้องดังก้องกังวานไปทั่วห้องโถง ทหารองครักษ์ของราชอาณาจักรยืนเรียงรายอย่างสง่างาม พลัน—ประตูบานมหึมาก็ค่อย ๆ เปิดออก
ชายร่างสูงในชุดคลุมสีทองเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างาม ท่ามกลางข้าราชบริพารที่เฝ้ารออยู่ ทุกสายตาจับจ้องไปที่บุคคลผู้นี้—
กษัตริย์แห่งอาณาจักรมนุษย์ เซ็นเทิร์น
เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างสงบนิ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ
“ข้า เซ็นเทิร์น เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบราชินีแห่งราชอาณาจักรสกาเล็ต เอมไพร์ เวอร์มิเลี่ยนโดมิเนียน”
ราชินีของเผ่าเลือด เซเลสเทีย นั่งอยู่บนบัลลังก์สูง เธอจ้องมองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น ก่อนจะเอ่ยตอบกลับ
“เป็นเกียรติที่ได้พบเช่นกันค่ะ”
ทั้งสองจับมือกันเบา ๆ เป็นการแสดงความเคารพตามมารยาท ทว่าภายใต้รอยยิ้มนั้น กลับซ่อนความตึงเครียดและความระแวงแฝงอยู่ในทุกการเคลื่อนไหว
'ท่านแม่ยังคงใช้คำพูดที่ไม่เป็นทางการ...'
นาน่าจัง ยืนอยู่ข้างหลังเซเลสเทีย มองไปยังเซ็นเทิร์นด้วยสายตาสงสัย สิ่งที่ทำให้เธอแปลกใจคือ
'เขามาเพียงลำพัง ไม่มีผู้กล้าคุ้มครอง แปลกเกินไป'
เธอเพ่งมองเหล่าองครักษ์ของเขาอย่างละเอียด—
'อัศวินศักดิ์สิทธิ์... และเหล่าอมตะ'
'พวกอมตะ... มันมีตัวตนมาตั้งแต่ยุคของโซลลันญ่า พวกมันแข็งแกร่งกว่าพวกอัศวินศักดิ์สิทธิ์มาก'
เธอเริ่มรู้สึกถึงอันตรายบางอย่างที่แฝงตัวอยู่
ขณะที่นาน่าจังกำลังคิดอยู่นั้น เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นข้างหู
“นาน่า มาคุยกับพี่หน่อย”
“เอ๋?”
เอเทอร์ ดึงมือนาน่าจังออกมาจากที่นั้น ห่างออกไปจากสายตาของฝูงชน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“พี่ไม่อยากคุยเรื่องแบบนี้หรอกนะ... แต่พี่สังเกตว่า อาเรส หายไปสักพักแล้ว”
“...?”
“พี่สงสัยว่า อาเนส อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำให้นาน่าอยู่ในสภาพป่วยก่อนหน้านี้”
นาน่าจังเบิกตากว้าง เธอเริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร—
"!!"
เอเทอร์พลันรู้สึกถึงอันตรายบางอย่าง!
ดวงตาของเขาเบิกกว้าง หัวใจเต้นแรงขึ้นทันที
“นาน่า! อยู่ที่นี่ก่อนนะ!”
เขารีบพุ่งตัวกลับไปยังห้องโถงอย่างรวดเร็ว
เมื่อเขากลับไปถึงที่นั่น—
ฉัวะ!
ภาพที่เขาเห็นทำให้หัวใจแทบหยุดเต้น—
ร่างของ เซเลสเทีย ถูกแทงเข้าไปที่หัวใจ!
“ท่านแม่!!”
เขาตะโกนสุดเสียง ก่อนที่สายตาจะจับจ้องไปยังมีดเล่มนั้น
“มีดสูบวิญญาณ...”
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง
บรอนล่า โผล่ตัวออกมาทันที สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยโทสะ
“เอิร์ธเดธ”
ออร่าของเธอเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท!
นัยน์ตาของเธอเปลี่ยนเป็นสีดำทมิฬพวยพุ่งไปด้วยพลังมหาศาล บรอนล่าฟาดดาบลงไปสุดแรง แต่
พวก อมตะ สามารถต้านพลังของเธอได้!
“รีบพาฝ่าบาทออกไปจากที่นี่ค่ะ!!”
เซเลสเทียยังคงยืนอยู่ได้แม้จะถูกแทงเข้าไปที่หัวใจ เธอค่อย ๆ ดึงมีดเล่มนั้นออกจากร่างด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“เเกน่ะ... ถูกล้อมไว้หมดแล้ว”
พวกอัศวินรอบ ๆ พลันเคลื่อนไหว พร้อมล้อมตัว เซเลสเทีย และ บรอนล่า เอาไว้
“...”
กษัตริย์ เซ็นเทิร์น จ้องมอง บรอนล่า อย่างเงียบงัน ราวกับกำลังพิจารณาอะไรบางอย่าง
บรอนล่าค่อย ๆ ลดดาบลง—
เธอรู้ดีว่าถ้าปะทะกันตอนนี้ มันไม่ใช่ผลดี เซเลสเทียเป็นผู้นำของเผ่าเลือด ให้เธอออกหน้าจะดีกว่า เพราะถ้าบรอนล่า ซึ่งเป็นมนุษย์ เริ่มการต่อสู้ก่อน มันจะเป็นข้ออ้างให้พวกมนุษย์บิดเบือนความจริงได้
“แล้วพวกเราทำอะไรผิด?”
เซเลสเทียกล่าวขึ้น
“เราก็เชิญพวกเจ้ามาอย่างดี จัดสถานที่ให้เรียบร้อย แล้วทำไมถึงตอบแทนเราด้วยการทรยศ?”
เสียงของเธอเย็นชา
“เราจะหั่นพวกแกให้เป็นชิ้น ๆ”
“โลหิต ฟรีไนท์”
ฉัวะ!!
โลหิตสีแดงฉานไหลออกมาจากพื้นใต้ฝ่าเท้าของพวกอัศวิน ก่อนจะพุ่งแทงพวกมันอย่างรวดเร็ว!
เสียงกรีดร้องดังขึ้น ทหารมนุษย์หลายคนร่วงลงไปนอนกองกับพื้น
“เรารู้อยู่แล้วว่าเจ้ามิใช่กษัตริย์ตัวจริง”
เซเลสเทียจ้องไปที่เซ็นเทิร์น
“เผยตัวออกมาได้แล้ว ตัวตลกพันศพ!”
"...!!"
ร่างของ เซ็นเทิร์น พลันบิดเบี้ยวอย่างน่าขนลุก—
เงาทมิฬค่อย ๆ แผ่ออกมาจากร่างของเขา
และแล้ว ตัวตลกพันศพ ก็เผยร่างที่แท้จริงออกมา
พวกอัศวินที่ล้อมรอบอยู่ ก็พลันกลายเป็นเหล่าตัวตลกพันศพเช่นกัน ดวงตาของพวกมันส่องประกายสีแดงฉานราวกับปีศาจที่ถูกปลุกขึ้นมาจากขุมนรก
“หึหึหึ... ช่างน่าขันจริง ๆ”
ตัวตลกพันศพหัวเราะเสียงแหบพร่า ดังก้องไปทั่วทั้งห้องโถง
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 36
Comments