เสียงเรียกของเอมิเลียดังขึ้นด้วยความร้อนรน ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความกังวลขณะที่รีบเร่งเข้ามา
“นาน่าจัง! นาน่าจัง!”
โคมาริหันมาทางเอมิเลีย สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตกใจและเป็นห่วง
“เกิดอะไรขึ้น?”
เอมิเลียก้มหน้าลงเล็กน้อย ก่อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“องค์หญิงสูญเสียมานาโลหิตเยอะเกินไปค่ะ”
โคมาริขมวดคิ้ว ความกังวลที่มีเพิ่มพูนขึ้นทันที
“นี่ไม่ได้ให้นาน่าจังดื่มเลือดเลยเหรอ?”
เอมิเลียส่ายหน้าช้า ๆ สีหน้าของเธอยิ่งดูไม่สู้ดี
“องค์หญิงปฏิเสธการดื่มเลือดค่ะ”
โคมาริเม้มปากแน่น หัวใจของเธอเต้นแรงด้วยความกังวล
“แบบนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยนะ! ถ้านาน่าจังยังไม่ดื่มเลือด มานาของเธอก็จะไหลออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นาน่าอาจจะไม่รอดก็ได้นะ!”
เธอไม่ลังเลเลยที่จะถอดแขนเสื้อขึ้น แล้วยื่นแขนไปตรงหน้านาน่าจัง หวังให้องค์หญิงตัวน้อยดื่มเลือดเพื่อฟื้นฟูพลัง แต่มือของเธอกลับถูกหยุดไว้โดยอาเนส
“ไม่ต้อง”
คำพูดของเขาดังขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น โคมาริหันไปมองด้วยสายตาไม่เข้าใจ
“อาเนส! นี่นายทำบ้าอะไรของนายกัน? นาน่าจังกำลังจะแย่ นายจะให้เธอตายรึไง!?”
“ก็บอกว่าไม่ต้อง!” อาเนสย้ำเสียงแข็งก่อนจะจ้องมองนาน่าจังที่ยังหมดสติอยู่
“นาน่าปฏิเสธการดื่มเลือดเอง แล้วเราจะไปบังคับเธอทำไม? ถ้าเธอเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ เธอจะดื่มเอง”
จากนั้น อาเนสก็ชี้นิ้วไปที่ห้องที่มีเซเลสเทียอยู่ ดวงตาของเขาฉายแววเคร่งเครียด
“แต่ตอนนี้ ชั้นสังหรณ์ใจไม่ดี ว่าท่านแม่จะถูกลอบสังหารจากพวกมัน”
โคมาริตาเบิกกว้างทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ฝ่าบาท! ท่านแม่!”
เธอพุ่งตรงไปที่ห้องของเซเลสเทียโดยไม่รอช้า
ทันทีที่โคมาริพุ่งไปถึงห้อง ภาพที่เธอเห็นทำให้ลมหายใจของเธอสะดุด
ในห้องนั้นกำลังเกิดการต่อสู้อย่างดุเดือด!
อาเนสที่อยู่ข้างเธอก่อนหน้านี้ กลับมีบางอย่างแปลกไป
เขายืนนิ่ง ไม่หวั่นไหวต่อภาพที่อยู่ตรงหน้า
“เผยตัวออกมาได้แล้ว นายไม่ใช่อาเนส”
โคมาริประกาศกร้าว ดวงตาของเธอจับจ้องชายตรงหน้าที่เริ่มหัวเราะเบา ๆ
“หึ ไม่คิดว่าจะโดนจับได้โดยง่ายขนาดนี้”
ร่างของ อาเนส สั่นไหว ก่อนจะเปลี่ยนกลายเป็นชายอีกคน—หนึ่งในผู้บริหารอันดับที่ 8 ของ ฟอร์ดเทส
“คนอย่างอาเนสไม่มีทางจะหยุดฉันเเบบนี้หรอก”
เขายิ้มเหี้ยมเกรียม และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“การกวาดล้างเผ่าพันธุ์ที่ล้าหลัง เป็นการปรับสมดุลของโลกใบนี้ ความลับที่พวกเจ้าซ่อนไว้ มันอาจเป็นโชคชะตาที่กำหนดให้เกิดการชำระล้าง”
“โซลลันญ่าเลือกจะปฏิเสธข้อเสนอของเราเมื่อ 500 ปีก่อน นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เผ่าของพวกเจ้ายังคงถูกกวาดล้างต่อเนื่อง และนี่คือเวลาที่เราจะนำพลังของพวกเจ้าไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด”
โคมาริกำดาบแน่น ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยว
“ปรับสมดุลของโลก? โลกมันก็ดีอยู่แล้ว! พวกนายกำลังใช้ข้ออ้างเพื่อทำตามความต้องการของตัวเองต่างหาก!”
ชายผู้นั้นยิ้มเย็นชา ก่อนจะเรียกดาบออกมา
โคมาริไม่รอช้า เธอเรียกอาวุธของตัวเองออกมาทันที
'ธาตุใบไม้? แปลกจัง... แต่คงประมาทไม่ได้'
ออร่าสีเขียวเปล่งประกายออกมาจากร่างของเขา โคมาริสูดลมหายใจลึก ก่อนที่ทั้งสองจะพุ่งเข้าใส่กัน!
เสียงโลหะปะทะกันดังกึกก้อง ออร่าพลังมหาศาลปะทะกันไปมาในอากาศ
แต่แล้ว เสียงกระแทกหนักหน่วงก็ดังขึ้นจากอีกมุมของห้อง
ผู้บริหารอีกคนหนึ่งที่กำลังต่อสู้กับเซเลสเทีย ถูกซัดกระเด็นออกมา!
เซเลสเทียยืนตระหง่าน มือของเธอจับเคียวอันใหญ่ที่เปล่งประกาย
“กล้ามากนะที่คิดจะหลอกลวงเรา ถ้าไม่ต้องการซื้ออาวุธกับเรา ก็ควรจะพูดตรง ๆ ไม่ใช่ใช้วิธีสกปรกแบบนี้”
เสียงของเธอเยือกเย็น และดุดัน
“พวกเราจะไม่มีวันร่วมมือกับพวกเจ้า และหากยังกล้ากลับมาอีก เราจะจัดการพวกเจ้าโดยไม่ลังเล”
หลังจากการต่อสู้จบลง นาน่าจังก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาช้า ๆ
เธอกระพริบตาเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงเบา ๆ
“พี่เอเทอร์...”
เอเทอร์ยิ้มอ่อนโยน พลางลูบศีรษะของเธอ
“นาน่า เจ้าขี้เซา”
นาน่าจังหันไปมองรอบ ๆ ก่อนเอ่ยด้วยความสงสัย
“เกิดอะไรขึ้นหรอคะ?”
เอมิเลียถอนหายใจอย่างโล่งอก
“องค์หญิงใช้มานาไปจนหมด จึงหมดสติไปค่ะ”
นาน่าจังทำหน้าสับสน ก่อนจะสังเกตเห็นบาดแผลบนร่างของเซเลสเทียและโคมาริ
“แม่จ๋า! ทำไมแม่จ๋ามีรอยแผลล่ะคะ?”
เซเลสเทียเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มอ่อน ๆ
“อุบัติเหตุน่ะ แม่เซ็นเอกสารอยู่ แล้วดันตกเก้าอี้”
แต่ทันใดนั้น นาน่าจังก็กล่าวบางสิ่งที่ทำให้ทุกคนในห้องเงียบงัน
“หนูอยากไปที่เก็บร่างของบรรพบุรุษโซลลันญ่าได้ไหมคะ?”
ทันทีที่เธอพูดจบ ทุกคนกลับหยุดนิ่ง
ความเงียบอันน่าอึดอัดแผ่ปกคลุมไปทั่วห้อง
'นี่ชั้นพูดอะไรผิดไปรึเปล่า?
เสียงปะทะดังสนั่นก่อนจะเงียบลงทันที โคมาริกับอีกฝ่ายหยุดมืออย่างไม่ทันตั้งตัว แต่ในชั่วขณะนั้นเอง ผู้บริหารทั้งสองกลับฉวยโอกาสโจมตี พลังเวทมหาศาลพุ่งเข้าใส่ โคมาริพยายามตั้งรับ แต่แรงกระแทกก็ทำให้เธอลอยกระเด็นออกไปทางหน้าต่าง
“เราพลาดจนได้...”
เธอพยายามจะกางปีกออกมาเพื่อชะลอการร่วงหล่น แต่ร่างกายกลับหนักอึ้ง ผิดปกติ ปีกของเธอไม่ยอมตอบสนองเหมือนถูกตรึงด้วยคำสาป
ก่อนที่ร่างของโคมาริจะตกถึงพื้น ลมแรงก็ดึงเธอกลับขึ้นไป เอเทอร์กางปีกรับตัวเธอไว้ได้อย่างฉับไว
“ไม่เป็นอะไรเเล้วนะ” เสียงของเอเทอร์นุ่มนวลแต่นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
เขาพาเธอลงมาอย่างปลอดภัยก่อนจะแก้คำสาปที่ติดอยู่กับปีกของเธอ สัมผัสอุ่นจากเวทมนตร์ของเขาทำให้โคมาริรู้สึกเบาขึ้น
“พวกนั้นมันคืออะไร? ทำไมถึงจู่โจมพวกเราแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย?” โคมาริถามพลางมองไปยังสนามรบที่ยังคงมีควันจางๆ ลอยขึ้น
“พวกฟอร์ดเทส”
เพียงได้ยินชื่อนี้ เอเทอร์ก็เบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ
“ฟอร์ดเทส!?”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึง
“พวกนั้นยังไม่ล้มเลิกอีกหรือ? ผ่านมาตั้ง 500 ปีแล้ว…”
เสียงกระพือปีกดังขึ้น เซเลสเทียบินตามลงมา สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวล
“ไม่เป็นอะไรนะ โคมาริ?”
“ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ ฝ่าบาท… ฉันประมาทเอง”
เซเลสเทียยิ้มบางๆ ก่อนจะเอื้อมมือแตะไหล่ของโคมาริอย่างอ่อนโยน
“ไม่ต้องกังวล เราทุกคนมีพลาดกันได้เสมอ แต่ศัตรูครั้งนี้…ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก”
ก่อนที่ใครจะพูดอะไรต่อ เสียงกรีดร้องก็ดังมาจากคฤหาสน์ ค้างคาวตัวใหญ่บินพุ่งออกมาพร้อมกับร่างของหนึ่งในผู้บริหารที่กระเด็นออกมา เซเลสเทียรีบตวัดสายตามอง ก่อนจะเร่งความเร็วเข้าหาหมายปิดฉากศัตรูอย่างรวดเร็ว
แต่ทันใดนั้น…
“ถึงแกจะเก่ง แต่ถ้าเราเหนือกว่าในเรื่องจำนวนล่ะ?”
ผู้บริหารคนนั้นแสยะยิ้ม ก่อนที่ร่างของเขาจะแตกกระจายออกเป็นเงาทมิฬกว่าร้อยร่าง และยังคงเพิ่มจำนวนต่อไปเรื่อยๆ
เอเทอร์ขมวดคิ้วมองสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
“ท่านแม่ ถึงแม้พวกนั้นจะมีเยอะ แต่พลังเวทของแต่ละร่างก็ต้องถูกแบ่งลดลงเรื่อยๆ”
“จริงอยู่ที่พวกมันอ่อนแอลง แต่มันก็ทำให้เราจัดการลำบากขึ้น…”
โคมาริกำหมัดแน่น “ฝ่าบาท ฉันจะเข้าร่วมอีกครั้งค่ะ”
แม้ว่าพวกเขาจะสามารถจัดการร่างแยกของศัตรูได้โดยง่าย แต่เมื่อร่างแยกแตกกระจายออกมาเรื่อยๆ พวกเขาก็เริ่มถูกรุมล้อม
ณ จุดหนึ่ง ร่างจริงของศัตรูเบนสายตาไปยังเป้าหมายสำคัญ นาน่าจังที่ยังไม่ได้สติ
เขาพุ่งตรงเข้าไปหานาน่าจังพร้อมกับรอยยิ้มแห่งชัยชนะ
“สุดท้ายฝ่ายของข้าก็เป็นผู้ที่ได้ร่างนี้ไป”
แต่ก่อนที่เขาจะได้แตะต้องร่างของเด็กสาว ร่างของเขากลับหยุดนิ่งกลางอากาศ
เสียงคมมีดเฉือนผ่านอากาศดังขึ้น
ในเสี้ยววินาที หัวของเขาก็ถูกตัดขาดออกจากร่าง…
เลือดสาดกระเซ็น
ดวงตาของเขาเบิกกว้างก่อนที่ร่างจะร่วงหล่นลงไปพร้อมกับร่างแยกที่สลายหายไป
ร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางเงามืด มีดในมือของเธอเปื้อนเลือดของศัตรู
“ดิฉันไม่ใช่สาวใช้ธรรมดาหรอกค่ะ”
—เอมิเลีย
เธอชักมีดกลับไปเก็บที่น่องก่อนจะหันกลับมามองพวกเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เอเทอร์จ้องมองเธออย่างไม่อยากเชื่อ “เอมิเลีย…จัดการร่างจริงได้?”
“หน้าที่ของดิฉันคือปกป้ององค์หญิงค่ะ”
เมื่อศัตรูถูกกำจัดไปแล้ว ทั้งสามก็บินลงมาหาเอมิเลีย
เธอหันกลับไปมองร่างของนาน่าจังที่ยังไม่ได้สติ สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเป็นกังวล
“แย่แล้วค่ะ…องค์หญิงยังไม่ฟื้นเลย”
เซเลสเทียก้าวเข้ามา ใช้มีดกรีดมือตัวเองก่อนจะป้อนเลือดให้กับนาน่าจัง
“เท่านี้ก็น่าจะพอแล้ว เลือดของฉันเป็นเลือดที่พิเศษ”
“พวกฟอร์ดเทสต้องการอะไรกันแน่ถึงตามไล่ล่าพวกเรามาตลอด 500 ปี?”
เซเลสเทียหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“พวกนั้นต้องการร่างของจักรพรรดินีคนแรกของเผ่าเลือด—โซลลันญ่า”
“บรรพบุรุษของเรา…ยายทวดของเรา…”
เธอทอดสายตามองท้องฟ้าที่มืดมิด ราวกับกำลังมองย้อนกลับไปยังอดีตที่ไกลแสนไกล
เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเธอจะพูดต่อ
“ยายทวดของเราเป็นผู้ครอบครองพลังงานที่สามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงได้…”
“…และนั่นคือสิ่งที่พวกมันต้องการ”
ทุกคนตกอยู่ในความเงียบเมื่อได้ยินความจริงนี้
เสียงเบาๆ ดังขึ้นจากร่างของนาน่าจัง
เปลือกตาของเธอสั่นไหวก่อนที่เธอจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
“อรุณสวัสดิ์นาน่า เจ้าขี้เซา” เอเทอร์เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มบาง
นาน่าจังกะพริบตาปริบๆ มองพวกเขาสลับกันไปมา
“เกิดอะไรขึ้นหรอคะ…?”
ขณะที่พวกเขาพยายามกลบเกลื่อนเรื่องที่เกิดขึ้น นาน่าจังก็มองไปรอบๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“หนูขอไปที่เก็บร่างของบรรพบุรุษโซลลันญ่าได้ไหมคะ?”
ทันทีที่เธอพูดจบ—
ทุกคนหยุดนิ่งทันที ความเงียบโรยตัวลงในอากาศ
ดวงตาของนาน่าจังไหววูบไปชั่วขณะ
'นี่ชั้นพูดอะไรผิดไปรึเปล่า?'
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 36
Comments